ขบวนการฮามาส ชื่อย่อมาจากคำอาหรับว่า ขบวนการขัดขืนแห่งอิสลาม เป็นกลุ่มการเมืองที่ควบคุมกาซาในปัจจุบัน เริ่มจากการเป็นสาขาภราดรภาพมุสลิมในปาเลสไตน์ ก่อนก่อตั้งเป็นองค์กรโดยชี้ค อาเหม็ด ยัสซิน ผู้นำทางศาสนา หลังการลุกขึ้นสู้ของชาวปาเลสไตน์(อินติฟาเฏาะฮ์)ครั้งแรก เพื่อต่อต้านการยึดครองดินแดนของอิสราเอลปลายปี 2530
เป้าหมายหลักของฮามาส คือยุติการยึดครองเวสต์แบงก์และฉนวนกาซาของอิสราเอล กับเป้าหมายระยะยาว คือการก่อตั้งรัฐในดินแดนที่เรียกว่า ปาเลสไตน์ ก่อนการมีอยู่ของอิสราเอลในปี 2491 จึงคัดค้านการลงนามข้อตกลงสันติภาพระหว่างอิสราเอลอย่างหัวชนฝาเพราะถือว่าปาเลสไตน์เป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ฮามาสได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้สนับสนุนจากภายในและนอกดินแดน ตลอดจนรัฐบาลอาหรับหลายประเทศ รวมถึงอิหร่าน
เหตุที่ได้รับความนิยมและสนับสนุนอย่างกว้างขวาง มาจากการช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ผู้ยากไร้ สร้างโรงเรียน โรงพยาบาลและมัสยิด นอกจากนี้ ความสำเร็จในการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยในฉนวนกาซาที่เต็มไปด้วยปัญหาวุ่นวาย ในช่วงทศวรรษหลังปี 2533 ยังทำให้ฮามาสได้รับการสนับสนุนจากชาวคริสต์ปาเลสไตน์ และอีกหลายกลุ่ม ประกอบกับจุดยืนเรื่องการปราบทุจริต ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังในกลุ่มฟาตะห์ ที่ผูกขาดอำนาจการเมืองปาเลสไตน์มานาน
แต่สำหรับอิสราเอล สหรัฐ สหภาพยุโรป แคนาดาและญี่ปุ่น ฮามาสคือผู้ก่อการร้าย เนื่องจากปีกทหารอย่างกองกำลังเอสเซดีนอัล กัสซัม ต่อสู้ด้วยวิธีรุนแรง โจมตีอิสราเอลนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งระเบิดพลีชีพโจมตีพลเรือน วางระเบิด และยิงจรวดข้ามแดนเข้าไปในอิสราเอล ขณะผู้สนับสนุน นี่คือขบวนการเคลื่อนไหวอันชอบธรรมเพื่อล้างแค้นการสูญเสียดินแดน และการสร้างนิคมชาวยิวในเวสต์แบงก์ที่ชาวปาเลสไตน์ต้องการให้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐตนเองในอนาคต
พัฒนาการที่น่าสนใจสำหรับฮามาส คือ เป็นกลุ่มอิสลามนิยมกลุ่มแรกในโลกอาหรับ ที่ได้อำนาจตามครรลองประชาธิปไตย (ก่อนตกอยู่ในภาวะจำยอมให้เหลือการควบคุมพื้นที่กาซา ซึ่งเป็นฐานที่มั่น)
จากที่เคยปฏิเสธกระบวนการเลือกตั้ง ไม่ร่วมงานกับทางการปาเลสไตน์ (พีเอ) เพราะมองว่าพีเอคือผลผลิตของกระบวนการสันติภาพออสโลปี 2536 ที่ฮามาสต่อต้าน แต่หลังการลุกขึ้นสู้ของชาวปาเลสไตน์ครั้งที่สอง พีเออ่อนแอลงมาก ฮามาสจึงได้ตัดสินใจที่จะลงเลือกตั้งสภานิติบัญญัติ ในฐานะพรรคการเมืองหนึ่งในปี 2549
ด้วยคำสัญญาล้างบางทุจริตและต่อต้านการยึดครองของอิสราเอล ฮามาสชนะเลือกตั้งกวาดเสียงส่วนใหญ่ 72 ที่นั่งจาก 132 ที่นั่ง ปิดฉากการผูกขาดการเมืองปาเลสไตน์มานานหลายทศวรรษของพรรคฟาตะห์ และทำให้ฮามาสอยู่ในสถานะแข็งแกร่งในการต่อต้านการเจรจากับอิสราเอล
แต่ฮามาสเจอบททดสอบสุดหิน เมื่อ "มิดเดิลอีสต์ ควอเท็ต" ที่ประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา รัสเซีย สหภาพยุโรป (อียู) และสหประชาชาติ ประกาศจะยุติความช่วยเหลือแก่ปาเลสไตน์ หากฮามาสไม่ยกเลิกจุดยืนใช้ความรุนแรง ยอมรับการดำรงอยู่ของรัฐอิสราเอล และยอมรับข้อตกลงที่อิสราเอลกับปาเลสไตน์ได้ทำร่วมกันก่อนหน้านี้ เมื่อฮามาสปฏิเสธ สหรัฐและอียูประกาศยุติความช่วยเหลือรัฐบาลปาเลสไตน์ภายใต้ฮามาส เมื่อเมษายน 2549 (แต่ไม่ได้ระงับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่านองค์กรเอกชนและองค์กรระหว่างประเทศ)
ส่วนอิสราเอลก็ระงับการโอนเงินภาษีและศุลกากรที่เก็บให้แก่ปาเลสไตน์เดือนละ 50 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ในช่วงเวลานั้น ความช่วยเหลือจากต่างประเทศบวกรายได้ภาษีส่วนนี้คิดเป็น 2 ใน 3 ของรายได้ปาเลสไตน์ อีกทั้งยังไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้ เนื่องจากสถาบันการเงินทั่วโลกปฏิเสธหรือไม่สามารถทำธุรกรรมได้ เพราะจะขัดกฎหมายต่อต้านก่อการร้ายสหรัฐอเมริกา
ทางการปาเลสไตน์ภายใต้ฮามาสจึงเผชิญวิกฤติการเงิน ไม่มีเงินจ่ายค่าจ้างประจำ รวมถึงกองกำลังความมั่นคง นำไปสู่ความตึงเครียดระหว่างฮามาสกับฟาตาห์ สองฝ่ายเปิดศึกชิงอำนาจนองเลือด มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตกว่าร้อยคนจากเหตุรุนแรง ในปี 2550
หลังเจรจาหลายเดือน สองฝ่ายทำความตกลงจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ในปี 2551 หวังยุติความรุนแรงและปลดล็อกความช่วยเหลือจากนานาชาติ แต่อยู่ได้ไม่นานก็ล่ม และจับอาวุธห้ำหั่นกันอีกรอบ ลงเอยด้วยการที่ฮามาสยึดครองฉนวนกาซา ฝ่ายนายมาห์มูด อับบาส ปะธานาธิบดีปาเลสไตน์และผู้นำกลุ่มฟาตาห์ คุมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนหรือเวสต์แบงก์
นับจากนั้น อิสราเอลเพิ่มการโดดเดี่ยวกาซาที่ฮามาสควบคุม ด้วยการเพิ่มมาตรการแซงชั่นเศรษฐกิจ ตัดไฟฟ้าที่จ่ายไปยังพื้นที่
อิสราเอลถือว่าฮามาสอยู่เบื้องหลังการโจมตีทุกครั้งที่มาจากกาซา และเปิดปฏิบัติการโจมตีสามครั้งใหญ่ในปี 2551 2555 และล่าสุด 2557 ขณะเดียวกัน ฮามาสสูญเสียผู้นำหลายคนจากการลอบสังหารของอิสราเอล รวมถึงชี้คยัสซิน ผู้ก่อตั้งซึ่งนั่งรถเข็น เสียชีวิตเมื่อมีนาคม 2547 ผู้นำคนใหม่ที่ขึ้นมาแทนก็ถูกลอบสังหารเช่นกันในเดือนถัดไป ผู้นำปีกการเมืองคนปัจจุบัน คือนายคาหลิด เมชาล ลี้ภัยในซีเรีย
ฮามาสถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น หลังการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในภูมิภาคท่ามกลางกระแสอาหรับสปริงในซีเรีย และการโค่นล้มอดีตประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด มอร์ซี ของอียิปต์จากภราดรภาพมุสลิมที่ผูกพันกันทางอุดมการณ์ อียิปต์มีผู้ปกครองใหม่ที่เป็นศัตรูกับฮามาส และสั่งปิดด่านผ่านแดนราฟาห์ ซึ่งเป็นทางออกหลักเดียวของกาซาสู่โลกภายนอกขณะถูกอิสราเอลปิดล้อม นอกจากนี้ ยังปิดอุโมงค์ใต้ดินบริเวณชายแดนกาซากับอียิปต์ที่มีความสำคัญต่อการอยู่รอดของฮามาส
ทั้งยังเพิ่มความเดือดร้อนแก่ชาวปาเลสไตน์มากขึ้นอีก อัตราการว่างงานสูงอยู่แล้ว 40% การก่อสร้างหยุดชะงัก การส่งออกทำได้ลำบาก ขาดแคลนเชื้อเพลิง ไฟฟ้าขาดแคลนกระทบโรงพยาบาล โรงเรียน ระบบสาธารณูปโภค เชื่อกันว่า สภาพความเดือดร้อนอันสุดจะทานทน ทำให้ฮามาสตกลงกับกลุ่มฟาตาห์ ตั้งรัฐบาลแห่งชาติอีกครั้งหนึ่งเมื่อเมษายนปีนี้ และชาวปาเลสไตน์มีความหวังเรืองรองขึ้นมาอีกครั้ง
แต่อิสราเอลตอบโต้ ด้วยการยุติเจรจาสันติภาพกับทางการปาเลสไตน์นำโดยฟาตาห์ ทั้งยังประกาศขยายนิคมชาวยิวในดินแดนยึดครองในเวสต์แบงก์อีกด้วย บีบให้ฟาตะห์เลือกระหว่างสันติภาพกับอิสราเอล หรือจะญาติดีกับฮามาส นอกจากนี้ ฟาตะห์กับฮามาสเองก็ยังเห็นขัดแย้งกันในหลายเรื่อง
การอุ้มฆ่าวัยรุ่นอิสราเอล 3 คนในเวสต์แบงก์เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ที่ถูกมองว่าเป็นชนวนเหตุสำคัญของปฏิบัติการโจมตีของอิสราเอล แต่อันที่จริงเป็นอีกเรื่องที่มาซ้ำเติมสถานการณ์เปราะบาง
นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูอิสราเอลกล่าวหาทันทีว่าฮามาสอยู่เบื้องหลังและต้องชดใช้ ทั้งที่มีรายงานว่า การลักพาตัววัยรุ่นยิว ไม่ใช่การสั่งการจากฝ่ายการเมืองของฮามาส แต่เป็นฝีมือของกลุ่มติดอาวุธขาใหญ่ในเมืองเฮบรอน เขตเวสต์แบงค์ ที่มีประวัติโจมตีโหดเหี้ยมและต่อต้านความเป็นผู้นำของฮามาสในกาซาด้วย
หลังเกิดเหตุ อิสราเอลจับกุมสมาชิกฮามาสร่วม 200 คนในเวสต์แบงก์ กับปิดองค์กรทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง ทำให้ฮามาสมองว่าเป้าหมายที่แท้จริงของอิสราเอลคือ การกำจัดการมีอยู่ของฮามาสในเวสต์แบงก์
เมื่อการตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลแห่งชาติ เพื่อหวังหลุดพ้นจากวังวนความยากแค้นหลังการปิดล้อมและแซงชั่น ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น การต่อสู้ด้วยอาวุธ อาจเป็นวิถีทางที่
ฮามาสจะฟื้นความเข้มแข็งขึ้นมาอีกครั้ง
ผลสำรวจจากสถาบันที่เชื่อถือได้เมื่อมิถุนายนพบว่า ชาวปาเลสไตน์จำนวนมากยังให้การสนับสนุนฮามาส แม้ต้องดิ้นรนอย่างหนักภายใต้การปิดล้อมรอบด้าน จนทำให้กาซาถูกขนานนามว่าเป็น "คุกเปิดขนาดใหญ่สุดของโลก"
หากใช้การเปิดศึกกับอิสราเอลครั้งก่อนๆ เป็นตัวบ่งชี้แล้ว หลังจากนี้ฮามาสจะเข้มแข็งขึ้นอีกแม้สูญเสียครั้งใหญ่กับปฏิบัติการ "ป้องกันตนเอง" ของอิสราเอล แต่ก็มีชาวปาเลสไตน์อีกจำนวนไม่น้อย ที่ไม่อยากทนทุกข์กับสภาพเดิมอีกต่อไป สถานะของฮามาสหลังศึกใหญ่หนนี้ อาจต้องขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการต่อรองทำความตกลงหยุดยิง ที่มีเงื่อนไขหลักคือยุติการปิดล้อมกาซา และเงื่อนไขอื่นๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวปาเลสไตน์
ข้อมูลจาก อัลจาซีรา และ บีบีซี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น