1.กำหนดการสอบครูผู้ช่วย (กรณีปกติ)
3.เครื่องแบบพนักงานราชการ 2557
- คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
-นโยบาย รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ
- ครม.ประยุทธ์ 1 ที่ http://tuewsob.blogspot.com/2014/08/blog-post_29.html
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2557/A/055/1.PDF
-นโยบาย รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ
- ครม.ประยุทธ์ 1 ที่ http://tuewsob.blogspot.com/2014/08/blog-post_29.html
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2557/A/055/1.PDF
ข้อสอบออนไลน์ ( สอบครู - ผู้บริหาร - บุคลากรการศึกษา) ชุดใหม่ล่าสุด
เตรียมสอบ บน ยูทูป ทั้งหมด ได้ที่
เตรียมสอบครูผู้ช่วย 5 ภาค ปี 2558
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ
เตรียมสอบครูผู้ช่วย 5 ภาค ปี 2558
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2558 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน
วันสงกรานต์ วันปีใหม่ไทยเพิ่งผ่านพ้นไป หลายคนคงได้มีโอกาสไปเที่ยวพักผ่อน เดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อพบปะญาติมิตร กราบผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือกัน สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ก็มีเรื่องที่น่ายินดีหลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวแรงงานประมงไทย 68 คน ที่รัฐได้ช่วยเหลือให้เดินทางกลับประเทศตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2558 ทันวันครอบครัวช่วงสงกรานต์พอดี คงมีความสุขมากเพราะว่าหลายปีมาแล้ว ที่ต้องไปตกระกำลำบากอยู่ต่างประเทศ ฉะนั้นทุกคน รัฐบาลจะนำเข้าสู่ระบบการเยียวยาของรัฐ มีการตรวจสุขภาพเบื้องต้น จัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ การมอบเงินช่วยเหลือกลับภูมิลำเนา และการจัดหาสถานที่พักชั่วคราว หากจำเป็น โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จะบูรณาการ ร่วมกับอีกหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วก็จะติดตามช่วยเหลือ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์อย่างต่อเนื่อง ก็ยังมีหลายคนที่ยังตกระกำลำบากอยู่ คงต้องทยอยช่วยเหลือต่อ ๆ ไป จนกว่าจะครบถ้วน และจะมุ่งเน้นการป้องกันการถูกล่อลวง ทำลายกระบวนการทั้งหมด ทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งผู้ที่ทำผิดกฎหมายด้วย ไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ในอนาคตต่อไปให้ได้
ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พนักงานส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) อาสาสมัคร ตำรวจ ทหาร ที่ช่วยกันดูแลความปลอดภัย ส่งพี่น้องประชาชน และลูกหลานไทย เดินทางไป-กลับโดยสวัสดิภาพ ในห้วงสงกรานต์ ขอขอบคุณทุกภาคส่วน ร่วมมือ ร่วมใจกัน อนุรักษ์และสืบสานประเพณีสงกรานต์อันงดงามของไทยเรา มีการปฏิบัติตามข้อแนะนำของภาครัฐ ในการร่วมกันแต่งกายตามประเพณี รดน้ำคลายร้อนไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น รวมทั้งการโซนนิ่งพื้นที่เล่นน้ำไร้แอลกอฮอล์ อันจะเป็นสาเหตุของการทะเลาะเบาะแว้งและอุบัติเหตุ นานแล้วที่เรารณรงค์เพียงแค่การออกนโยบาย แต่ไม่เน้นการปฏิบัติ เราก็เริ่มเน้นการปฏิบัติให้มากขึ้น การบังคับใช้กติกาสังคมอย่างจริงจัง ในบางครั้งเยาวชนรุ่นใหม่หลงลืมวัฒนธรรมอันดีงาม แล้วกลับคุ้นชินกับสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งอาจจะไม่ใช่อารยธรรมไทย การสนุกสนานต้องมีขอบเขต มีขีดจำกัด อย่างที่รัฐบาลได้กำหนดข้อแนะนำไป 8 ประการ ก็เห็นมีคนต่อว่าเหมือนกันว่าทำไมต้องไปกำหนดด้วย ผมก็ไม่เห็นว่า 8 ข้อมีผลเสียกับใครเลย เพียงแต่ว่าไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ไม่ให้เกิดการเสื่อมเสียต่อประเพณีของเรา หรือใครคิดว่าถูกต้อง ก็บอกรัฐบาลก็แล้วกัน เช่น ห้ามแต่งกายโป๊ ล่อแหลมต่าง ๆ เหล่านี้ ผมไม่เห็นสร้างสรรค์อะไรเลย คนที่มาติ ๆ อยู่ทุกวันนี้ บอกว่าการท่องเที่ยวปีนี้ สงกรานต์ปีนี้หงอย เพราะว่า มี 8 มาตรการของรัฐมาเลยทำให้ไม่สนุก ก็ไปคิดกันเอาเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราทำต่อไปเหล่านั้น เอกลักษณ์ความเป็นไทย ก็จะไม่หลงเหลืออีกเลย ให้ภาคภูมิใจ
วันนี้ มีทั้งชาวต่างชาติเข้ามาประเทศของเรา คนไทยมาเที่ยวกันเอง ถ้าต่างชาติเขาต้องการสัมผัสธรรมชาติอันบริสุทธิ์งดงามชองชาติ เพราะฉะนั้นการต้อนรับขับสู้ ด้วย “ยิ้มสยาม” และความมีน้ำใจของคนไทยแล้ว และให้รับทราบถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม อันงดงาม ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งเดียวในโลก และจะเป็นสิ่งดึงดูดให้ชาวโลกเดินทางมาพักผ่อน มาศึกษาความเป็นไทย วัฒนธรรมแบบไทย ๆ ซึ่งอาจจะหาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว แต่คนไทยอยากจะเป็นอย่างเขา ผมก็ไม่เข้าใจอีกเหมือนกัน
สำหรับ ตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรม พิสูจน์แล้วว่ายอดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะนี้เพิ่มขึ้น 20 กว่า % ในไตรมาสแรกของปีนี้ ฉะนั้นอย่าไปเชื่อตัวเลขอื่น ๆ และเพิ่มขึ้น 30 กว่า % ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ก็ไปดูแล้วกันว่าเขานำข้อมูลมาจากไหน ถ้าหากว่าเราเลิกขัดแย้งกันเอง เป็นเจ้าบ้านที่ดี มีเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล ผู้ที่มาเยือนก็จะรู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ระหว่างใช้ชีวิตในเมืองไทย ก็ช่วยกันชักชวนกันกลับมาเที่ยวใหม่อีกครั้งปีหน้า เราก็อาจจะมีอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นไปตามวัฒนธรรมประเพณีของไทย เราจัดการท่องเที่ยวทั้งปี ปีนี้เป็นปีแห่งท่องเที่ยว วิถีไทย ช่วยกันเชิญมา หรือช่วยกันไปเที่ยวด้วย เวลาวันว่าง หยุดจากราชการต่าง ๆ
ในส่วนของการสร้างจิตสำนึกนั้น คำว่า “ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ” จะเป็นสิ่งที่ทำได้เลย ทำทันที ส่วนสิ่งที่ต้องใช้ระยะเวลา อาศัยความร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคเอกชนก็คือในเรื่องของการปฏิรูปประเทศในทุก ๆ ด้าน ซึ่งวันนี้เรามีความพร้อมที่จะเริ่มการปฏิรูป บ้านเมืองสงบร่มเย็นพอสมควร รัฐบาลมีเอกภาพในการบริหารงานแผ่นดิน สามารถที่จะบูรณาการงานทุกกระทรวงให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วก็ทุกคนจะต้องมองผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ก็ขอให้พี่น้องทุกคน ทุกภาคส่วน ช่วยกันหยิบยื่นความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ เพื่อใช้โอกาสนี้ ในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ ซี่งเราเริ่มต้นมาได้แต่เพียงเล็กน้อย ถ้าพูดถึงการบริหารราชการทำไปได้มาก แต่เกี่ยวกับเรื่องการปฏิรูปที่ต้องทำใหม่ อะไรเหล่านี้ เพียงเริ่มต้นเท่านั้นเอง ต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร เราต้องเดินหน้าปฏิรูปประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่า และหลุดพ้นจากคำว่ากับดักทางการเมืองอย่างยั่งยืน
วันนี้ ผมมีบุคคลตัวอย่าง ที่หลายคนอาจรู้จักกันดีมานานแล้ว ในนาม “มนุษย์เพนกวิน” เป็นตัวอย่างของการไม่ยอมแพ้ สู้ชีวิต คิดบวก และที่สำคัญคือ การไม่ทำตนให้เป็นภาระสังคม แต่กลับช่วยสร้างสรรค์สังคม ประเทศชาติให้งดงาม ในขีดความสามารถของตนเอง ถึงแม้ว่าจะมีข้อจำกัดด้านร่างกายของเขาเอง
คนดีที่ผมอยากจะพูดถึง คือ คุณเอกชัย วรรณแก้ว แม้ไร้แขนทั้งสองข้าง แต่เขากลับสามารถสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เขาจบปริญญาตรี คณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตเพาะช่าง จากนั้นก็อาศัยวิชาชีพ ออกไปวาดรูปตามงานต่าง ๆ ได้รายได้มาช่วยปลดหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้แม่ ปลูกบ้านหลังใหม่ให้ครอบครัว ส่งเสียเงินให้แม่ทุกเดือน
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณเอกชัยฯ ยึดถือในการดำรงชีวิต ก็คือ“โอกาสคนเราไม่เท่ากัน ต้องใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์มากที่สุด” ส่วนการทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ อันได้แก่ “ช่วยกันทำคนละนิด พอรวมกัน มันก็เยอะเอง” และทวงถามสำนึกความเป็นคนไทยว่า “มือของพวกคุณ ทำอะไรให้ประเทศดีขึ้นบ้าง” เปรียบเทียบกับตัวเขา
ผมก็หวังว่าจะเป็นคติ สร้างความตระหนักรู้ และเรียกร้องให้พี่น้องทุกท่าน กลับมาสำรวจความพร้อมของตนเอง ว่า “วันนี้ เราได้ทำอะไร ที่เป็นประโยชน์ เพื่อประเทศชาติ หรือส่วนรวมหรือยัง” โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังหลงผิดอยู่ ไม่หวังดีอยู่เหมือนเดิม คอยบ่อนทำลาย สร้างสถานการณ์ ประสงค์ร้าย ป้ายสีต่าง ๆ ทุกเรื่อง เหมือนจะต้องการให้กลับไปสู่ความขัดแย้ง ไปสู่วังวนเก่า ๆ เหมือนที่ผ่านมา ผมไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ขอให้หันกลับมาใช้ชีวิตด้วยศักยภาพของท่านในทางสร้างสรรค์ดีกว่า พัฒนา ปฏิรูปประเทศ ร่วมมือกัน ไม่ใช่ศัตรูกันอยู่แล้ว กฎหมายก็คือกฎหมาย แต่เราเป็นคนไทยด้วยกัน เพราะฉะนั้นขอให้ความร่วมมือกับทางการ ยุติความขัดแย้ง ร่วมมือในการปฏิรูป เดินหน้าประเทศไทยต้องมีกติกา ถ้าจะปฏิรูปให้ได้ ถ้าท่านไม่ยอมรับกติกาเลย ก็ไปไม่ได้อยู่ดี รัฐธรรมนูญจะเขียนอย่างไร ถ้าไม่ทำไม่ร่วมมือก็ไปไม่ได้อยู่ดี ผมบอกไว้ก่อน เพราะประเทศเพื่อนบ้านเขาไม่รอคอยเรา ประชาคมโลกเขาก็มีการพัฒนาก้าวหน้าไปทุกประเทศยกระดับตัวเองมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ แล้วเราจะรอเขาอยู่อย่างไร แล้ววันหน้าถ้าเขาแซงเราไปแล้ว เขาก็ไม่รอเราแล้ว เราก็จะเสียทั้งโอกาส เสียทั้งตำแหน่ง ในบทบาทที่สำคัญของเวทีการเมือง – เศรษฐกิจโลก อย่างน่าเสียดาย
อีกประการหนึ่งขอขอบคุณ กลุ่ม “มะโน ละเมอ” (Manoramer Group) ที่สร้างสรรค์คลิปและนำมาเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ (เมื่อ 30 มีนาคม 2558) ซึ่งเป็นการสร้างขึ้นมา โดยไม่ได้หวังผลกำไร และเพื่อเตือนคนไทยทุกคนว่า “เราสามารถทำให้ประเทศนี้ ดีขึ้นได้ ขอเพียงทำกันคนละนิด ในแบบที่ตนเองถนัด”
เรื่องความคืบหน้าการริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล
เมื่อเช้านี้ (17 เมษายน 2558) มีการสรุปผลงานของรัฐบาลในห้วง 6 เดือน ก็ต่อจาก 3 เดือนแรก ตามแนวทางนโยบาย ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ของรัฐบาลได้ประกาศไว้ 11 ด้าน ได้แถลงไปแล้ว กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2557) โจทย์ที่สำคัญของประเทศและรัฐบาลคือ การสร้างความรัก ความสามัคคี ปรองดองของคนในชาติให้ได้ แล้วก็แก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจของประเทศ ที่ไม่ได้มีการสร้างความเข้มแข็งไว้เพียงพอ ยังไม่มีความพร้อม ไม่มีมาตรการลดความเสี่ยงต่าง ๆ มาเป็นเวลาเกือบ 10 กว่าปีแล้ว ทำให้ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกนั้น มีผลกระทบกับเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นอย่างมาก หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เราไม่เตรียมการไว้ ก็คงยังทำแบบเดิมมาตลอด วันนี้ต้องแก้ไขทั้งหมด
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล เข้ามาบริหาราชการแผ่นดิน ก็ทำให้เศรษฐกิจ เมื่อปีที่แล้วติดลบอยู่ อย่าลืมตัวเลขติดลบไม่ใช่นำตัวเลขปีที่ไม่มีเหตุการณ์มาเทียบไม่ได้ เรารับมาติดลบอยู่ จาก 22 พฤษภาคม แล้ววันนี้เศรษฐกิจโลกก็แย่ลง แต่วันนี้ก็ตัวเลขก็ดีขึ้น โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 (ตุลาคม – ธันวาคม 2557) เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.3 เดิมเราตั้งไว้แค่ 2 ก็เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 (กรกฎาคม – กันยายน 2557) ขยายตัวร้อยละ 0.6 เอง เพราะฉะนั้นก็แสดงว่าความความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ
ในด้านเสถียรภาพของทางด้านเศรษฐกิจ ใน 2 เดือนแรกของปีนี้ มกราคม ถึง กุมภาพันธ์ 2558 ทั้งดุลการค้าและดุลบริการของประเทศยังคงเกินดุลอยู่ จำนวน 3,960 ล้านบาท และ 2,054 ล้านบาท ตามลำดับ และเมื่อรวมกับดุลเงินทุนแล้ว ประเทศเรายังมีดุลการชำระเงินที่เกินดุลจำนวน 2,889 ล้านบาท ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทอยู่บ้าง แต่ทางแบงค์ชาติ ก็ดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด ก็มีมาตรการที่รองรับไว้ตลอดเวลา
ในด้านเสถียรภาพภาคการคลัง รัฐบาลยังคงมีการจัดเก็บรายได้ที่สูงกว่าปีที่แล้ว โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ (ตุลาคม 2557- มีนาคม 2558) จัดเก็บรายได้สุทธิจำนวน 973,952 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 3.5 ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมจะเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัญหาที่มีผลกระทบโดยตรงต่อพี่น้องเกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย ธุรกิจ SME เหล่านี้ รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ หาทางทุกอย่าง ไม่ได้หยุดคิดเลยว่าทำอย่างไร ราคาสินค้าทางการเกษตรที่ตกต่ำจะทำอย่างไร การค้าขายภายนอก คือปริมาณมากกว่าเก่า แต่ราคาน้อยกว่าเก่า เป็นประเด็น ก็พยายามจะหาทาง ว่าทำอย่างไร จะใช้ในประเทศได้หรือไม่ อยู่ในตลาดชุมชนบ้างได้หรือไม่ แล้วไปสู่การแปรรูปได้หรือไม่ กำลังทำอยู่ ต้องใช้เวลา ตั้งโรงงานอะไรต่าง ๆ อย่างน้อยก็ ปี ถึงสองปี สามปี ก็จะทยอยมาตามลำดับ
เราก็ได้เร่งรัดจัดเตรียมมาตรการต่าง ๆ บางอย่างก็ทำไปแล้ว ผลักดันเม็ดเงินผ่านโครงการต่าง ๆ ให้เกิดการหมุนเวียนของเงินลงสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น เร่งรัดให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย ช่วยกันดำเนินการก่อสร้างถนนหนทางในพื้นที่ชนบท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการจัดหาแหล่งกักเก็บน้ำ ให้มีน้ำเพียงพอต่อการเกษตร กระทรวงการคลัง ดูแลเรื่องการให้กู้ยืมแก่ธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งตอนนี้ขาดสภาพคล่องให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว อันนี้ต้องดูแลธุรกิจขนาดเล็กด้วย การค้าปลีกอะไรต่าง ๆ ก็มีความเดือดร้อน กำลังจะให้เชิญธนาคารพาณิชย์ แล้วก็ธนาคารรัฐมาดูซิว่าจะช่วยเหลือกันอย่างไร
อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อมในการที่จะพัฒนาไปสู่ความยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องมีกฎ กติกาใหม่ เพื่อจะจัดทำกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับประเทศด้วย และได้รับการยอมรับว่าเราจะต้องปฏิรูปหรือไม่อย่างไร ถ้าประชาชนคิดว่าวันนี้เราดีอยู่แล้ว ผมก็ลำบากใจ ผมคิดว่าปัญหามีมาก ถ้าคนมาอยู่อย่างที่ผมอยู่ จะรู้ว่ามากขนาดไหน ไม่ใช่ข้อแก้ตัวพยายามทำเต็มที่แล้ว ไม่ได้หยุดเลย ก็ยังทำได้เท่านี้ เพราะฉะนั้นถ้าหากเราจะแก้ปัญหาที่ผ่านมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วประชาชนก็จะได้รับผลประโยชน์ที่เท่าเทียมเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำด้วยเหล่านี้ กำลังเดินมาถูกทาง ที่ให้เราได้มีโอกาสทำงานตรงนี้ แต่ต้องดูกันว่าจะร่วมมือกันต่อไป อย่างไร แก้ไขอย่างไร Road map ที่ว่าเป็นอย่างไร จะปฏิรูปได้หรือไม่ สำหรับการวางรากฐานที่มั่นคงในทุกมิติ 6 เดือนที่ผ่านมานั้น รัฐบาลดำเนินการไปแล้วเบื้องต้น แล้วก็พร้อมจะส่งต่อให้รัฐบาลต่อ ๆ ไป ถ้าสามารถได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล แล้วก็ยอมรับในกติกา เรื่องการปฏิรูป เราก็สามารถบรรลุวิสัยทัศน์ของประเทศได้คือ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ในทุกระดับ
สัปดาห์นี้ ผมขอชี้แจงความคืบหน้าบางประการ ให้พี่น้องได้รับทราบ ดังนี้
ด้านเกษตรกรรม อันนี้สำคัญลำดับต้น ๆ ของเรา ประเทศของเราเป็นประเทศเกษตรกรรม ปัญหาคือ เกษตรกรมีรายได้น้อย ราคาผลผลิตตกต่ำ ขาดความรู้เรื่องการตลาด น้ำแล้ง ขาดที่ดินทำกินเป็นของตนเอง รัฐบาลจึงได้กำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาอย่างครบวงจร และบูรณาการทุกหน่วยงาน ให้เป็นไปในแนวทางอันเดียวกัน เช่น
- การ Zoning ด้านพืช ปศุสัตว์ ต้องมีการนำร่อง ประมง ก็ต้องมีระบบส่งเสริมการเกษตรมิติใหม่ ทั้งพืช ปศุสัตว์ ประมง หรือจะหาอาชีพเสริมอะไรก็แล้วแต่ ก็ได้แก่การนำ MRCF System มาใช้ ได้แก่ M-Mapping คือเรียกว่า “ระบบแผนที่และฐานข้อมูล” ในการบริหารจัดการพื้นที่ทั่วประเทศ รวมทั้ง R-Remote Sensing “คือการเข้าถึงข้อมูลระยะไกล” ผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ ระหว่างบุคลากรภาครัฐ – เกษตรกร และ C-Community Participation “การมีส่วนร่วมของชุมชน” ด้วยการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ จำนวน 882 ศูนย์ เป็นของชุมชนเอง มีนักส่งเสริมการเกษตรเข้าไปจัดกระบวนการเรียนรู้ มีเกษตรกรต้นแบบ มีสินค้าจริง มีแปลงสาธิต และ F-Specific Field Service “มีจุดเน้นเฉพาะ” ไม่ไร้ทิศทาง สร้าง OTOP ให้เข้มแข็ง ก็ต้องเลือกกันมาว่าจะทำอะไร ทำแล้วขายได้ ทำแล้วมีลูกค้า ถ้าทำแล้วไม่มีลูกค้าก็เปล่าประโยชน์ เสียเวลา
- การจัดกิจกรรม Business Matching เพื่อสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ และพัฒนาสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวสินค้าท้องถิ่นและสินค้า OTOP และจัดให้มีตลาดชุมชนกว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ ในปัจจุบัน เพื่อลดกลไกพ่อค้าคนกลาง สร้างทักษะ ความรู้ด้านการตลาดให้แก่เกษตรกร รวมทั้งส่งเสริมการรวมกลุ่ม ตั้งสหกรณ์การเกษตร เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง และกำหนดราคาสินค้าในตลาดเองได้ อันนี้เราต้องทำควบคู่ไปกับในเรื่องของการบริหารจัดการน้ำ ตามยุทธศาสตร์ 10 ปี ก็คือทำทุกปี ทำไปเรื่อย ๆ จะไปจบในปี 2569 ก็เป็นไปตามงบประมาณที่มีอยู่ เราก็จะมองปัญหาน้ำทั้งระบบ จะไปดำเนินการแบบบูรณาการ ทุกกระทรวงเพื่อยุติปัญหาอย่างยั่งยืน ที่ผ่านมาไม่ต่อเนื่อง ไม่เป็นพื้นที่ ไม่เชื่อมโยง ก็ไม่จบกันซะที วันนี้เราจะทำให้จบ ก็ขนาดนี้ยัง 69 เลย งบประมาณเราก็จำกัด
ปัญหาการขาดแคลนน้ำภาคการผลิต น้ำอุปโภคบริโภค การป้องกันและบรรเทาอุทกภัย ต้องทั้ง 3 งานให้ได้พร้อมกัน และปัญหาคุณภาพน้ำ จากแหล่งกำเนิด 22 ลุ่มน้ำ และน้ำที่จะต้องเตรียมการ สำหรับผลักดันน้ำทะเลหนุน ด้วย 5 เขื่อนหลัก กับ 4 ลุ่มน้ำภาคกลาง การฟื้นฟูป่าต้นน้ำและป้องกันการพังทลายของดิน รวมทั้ง ระบบโทรมาตร และศูนย์ระบบป้องกันภัยน้ำท่วม โดยคาดว่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมในสิ้นปี 2558 นี้ เช่น
1. น้ำเพื่อการผลิต ได้แก่ การปรับปรุงระบบชลประทานเดิม 35,000 ล้านไร่ พัฒนาแหล่งน้ำใหม่ 1.6 ล้านไร่ ฟื้นฟูแหล่งน้ำและทางน้ำธรรมชาติ 2,000 กว่าแห่ง สระน้ำในไร่นา 50,000 บ่อ รวมทั้งสระน้ำชุมชนและระบบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร กว่า 1,500 แห่ง ครอบคลุมพื้นประมาณ 2 แสนไร่ เป็นต้น
2. น้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค ได้แก่ ประปาหมูบ้าน 2,310 หมู่บ้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบประปาชนบท 683 แห่ง จัดหาน้ำดื่ม น้ำบาดาลให้โรงเรียนและชุมชน 700 แห่ง โดยแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ทั้งระบบนี้ ได้รับความชื่นชมจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ครั้งที่แล้วมีการจัดวันน้ำโลก ก็จัดที่ประเทศไทยส่วนหนึ่ง เขาเห็นว่าเราเสนอแผนนี้ออกไป เขาพอใจเพราะเขาเห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ การเข้าถึงแหล่งน้ำของประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งหลายประเทศในโลกนี้ยังเข้าไม่ถึงเลย 70 กว่าเปอร์เซ็น เหมือนกัน เขาเห็นของเราเป็นรูปธรรมมากที่สุด อยากให้เราเป็น ตัวอย่าง เป็นแบบอย่างในการเตรียมความพร้อม และป้องกันสภาวะการขาดแคลนแหล่งน้ำของโลกในอนาคตได้ ถ้าเราไม่มีน้ำมาจากหิมะ มาจากน้ำแข็งเราก็ลำบาก เราต้องเตรียมการตั้งแต่วันนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถทำได้ ประชาชนคนไทยก็จะไม่เดือดร้อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงเป็นห่วงอยู่แล้ว พูดมาหลายปี รับสั่งมาหลายปีกับเราแล้วว่า เราจะมีปัญหาเรื่องน้ำในอนาคต คนมากขึ้นการเพาะปลูกถ้ายังทำแบบนี้อยู่ ใช้น้ำมาก ต้องแก้ทั้งหมด ทั้งใช้ที่ให้น้อย ใช้น้ำให้น้อย ได้ผลผลิต
ในเรื่องนี้เรื่องการเกษตรสำคัญที่สุด คือเรื่องของการลดต้นทุน วันนี้ผมสั่งการไปแล้วชัดเจนว่าต้องทำให้ได้ภายในปีการผลิตนี้ โดยเริ่มจากสหกรณ์ที่เข้มแข็งก่อน สหกรณ์ต้องเข้าไปดูแล ผมอาจจะจัดเครื่องไม้เครื่องมือให้สหกรณ์ที่เข้มแข็งอยู่แล้วในเวลานี้ ไปรวมกลุ่มมา แล้วก็ทั้งเมล็ดพันธ์ ทั้งปุ๋ยอินทรีย์ เครื่องจักรเครื่องมืออะไรต่าง ๆ รวมความถึงเรื่องโรงสีขนาดกลาง ขนาดเล็ก รวมความไปถึงโรงอบข้าวอะไรทำนองนี้ ไม่อย่างนั้นไปอยู่กับโรงสีใหญ่ ๆ หมด เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยตัวเองสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ให้ได้ เพราะฉะนั้น ทุกคนกรุณาไปขึ้นบัญชีสหกรณ์ ให้ได้ เราจะได้ดูแลตามลำดับความเร่งด่วนต่อไป ถ้าเอาพร้อมกันทั้งหมด ผมไม่มีสตางค์ให้อยู่แล้ว ตังก็ไม่พออยู่แล้วที่จะให้แบบเดิมไม่ได้แล้ว
เพราะฉะนั้น เราจะต้องทำให้เกิดความเข้มแข็งในชุมชนอย่างยั่งยืน และการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรน้ำอย่างเท่าเทียม
ด้านระบบโครงสร้างคมนาคมพื้นฐาน การสัญจรของคนในเมือง ระหว่างเมืองขนส่งสินค้าผลผลิตทางการเกษตรและโรงงาน – นิคมอุตสาหกรรม จากแหล่งผลิตสู่เมืองหลวง เมืองสำคัญ เมืองท่า หรือเมืองการค้าชายแดน และเพื่อเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยว และการเชื่อมโยงเมืองสำคัญของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
รัฐบาลได้จัดทำแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง 7 ปี พ.ศ. 2558–2565 ก็ทำเป็นรายปีไป อันไหนผูกพันได้ก็ผูกพัน อันไหนมีเงินพอ ก็ทำให้จบ ทำนองนี้ มีการร่วมทุนกัน ทั้ง จี ทู จี กับต่างประเทศ และอาจจะลงทุนร่วมกันกับภาคเอกชนขอเราเองด้วย ก็ขอเรียนว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ภายในปี 2558 นี้ มีอะไรบ้าง
1. การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง จะมีการส่งมอบรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) 489 คัน จาก 3,183 คัน ในเดือนกรกฎาคม 2558
2. Motorway 3 เส้นทาง ได้แก่ บางปะอิน – นครราชสีมา (196 กม.) บางใหญ่ – กาญจนบุรี (96 กม.) และ พัทยา – มาบตาพุด (32 กม.) ทั้งนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม สำรวจ ออกแบบเส้นทาง เพื่อจะลงมือก่อสร้างทันที ให้พร้อมใช้งานในปี 2562
3. รถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล 10 เส้นทาง 464 กิโลเมตร โดยสายสีน้ำเงินตะวันออกเปิดให้บริการแล้วสายสีม่วงเหนือจะเปิดบริการในปีหน้า สายสีน้ำเงินตะวันตกและสายสีเขียวใต้ อยู่ระหว่างก่อสร้าง จะแล้วเสร็จตามกำหนด พร้อมใช้งานในปี 2563 ส่วนสายที่เหลือ 6 สาย จะอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอน ตามกฎหมายจนแล้วเสร็จในปี 2563 ทั้งหมด
4. โครงข่ายรถไฟทางคู่ระหว่างเมือง ระยะเร่งด่วน 6 เส้นทาง 903 กิโลเมตร ได้แก่ เส้นทางฉะเชิงเทราคลอง 19 แก่งคอย 106 กิโลเมตร เส้นทางมาบกะเบา ถนนจิระ 132 กิโลเมตร เส้นทางถนนจิระ ขอนแก่น 185 กิโลเมตร เส้นทางลพบุรี ปากน้ำโพ 148 กิโลเมตร เส้นทางประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร 167 กิโลเมตร เส้นทางนครปฐม หัวหิน 165 กิโลเมตร ทั้งหมดจะเริ่มก่อสร้างในปี 2558 โดยประมาณ และจะแล้วเสร็จในปี 2561
5. ระบบขนส่งโดยสารทางน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ให้สามารถรองรับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวได้ 200,000 คนต่อวัน และเชื่อมโยงการเดินทางกับระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภทได้ มีการยกระดับท่าเทียบเรือ ทั้ง 19 แห่งให้เป็น “สถานีเรือ”
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล อันนี้ก็ขอความกรุณาว่าอย่าขัดแย้งกันมากเลย เราพยายามที่จะดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบ เยียวยาให้สบายใจ ถ้าเราไม่สร้างตรงนี้ก็เป็นปัญหาอีก ประตูการค้าฝั่งอันดามันเราจะไม่มีแล้วก็เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าสู่ทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกาไม่ได้
ต่อไปก็คือโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง ท่าเทียบเรือ A ท่าเรือแหลมฉบังโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 2 ทั้งนี้ เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้ 30 ล้านคนต่อปี โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร 12.5 ล้านคนต่อปี และโครงการพัฒนาท่าอากาศยานทหารอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานนานาชาติแห่งที่ 3 เป็นต้น รวมทั้ง ความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างไทย จีน ไทย ญี่ปุ่น ผมได้เรียนให้พี่น้องทราบเป็นระยะ ๆ แล้ว
โครงการเหล่านี้ทั้งหมดเป็นเสมือน “เส้นเลือด” ที่หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจของเราทั้งภายในและระหว่างประเทศ รัฐบาลนี้ได้ริเริ่ม เร่งรัด ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้ คือ ต้องบอกประชาชนให้ทราบไว้ก่อนไม่มาบอกทีหลัง ทำอะไรต้องบอกก่อนแล้วก็มั่นใจว่าถ้าทำสำเร็จก็จะเป็นสิ่งที่ดี ถ้ามาบอกทีหลังก็เหมือนเราไปงุบงิบ ๆ ทำ ไม่ใช่ ผมก็บอกมาตลอดก็ขอให้เข้าใจด้วย เราจะต้องยกฐานะขีดความสามารถในการแข่งขันของเราให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจในภูมิภาคในเวทีโลกให้ได้
การจัดตั้งศูนย์บริการด้านธุรกิจ (One Stop Service) นั้น เราก็ได้ “พลิกโฉม” การให้บริการภาครัฐ ที่เคยเป็นอุปสรรควงจรธุรกิจต่าง ๆ ขจัดช่องทางการทุจริตได้ด้วย การจ่ายเงินใต้โต๊ะของเจ้าหน้าที่บางส่วน อันนี้จะต้องไม่ให้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เราจะเปิดให้บริการข้อมูลอำนวยความสะดวกมีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนแก่ผู้ประกอบการและนักลงทุนในหลากหลายช่องทาง
ขอเรียนอีกทีว่า ตรงนี้หลายท่านก็ยังบอกว่าไม่รู้อะไรที่ไหนอย่างไร ได้ยินแต่พูดแต่ไม่รู้จะไปไหน นี่ผมพูดให้ฟังแล้ว ได้แก่ 1. ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน (One Start One Stop Investment Center) โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับด้านธุรกิจและการลงทุนมากกว่า 20 หน่วยงานร่วมบริการให้คำปรึกษา และให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจจะเป็นการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการขออนุมัติ อนุญาตต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการลงทุน การจดทะเบียนนิติบุคคล การขออนุญาตประกอบธุรกิจคนต่างด้าว อันนี้ก็จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการจัดตั้งอยู่
2. ศูนย์บริการต่อวีซ่าใบอนุญาตทำงาน (One - stop Service Center for Visas and Work Permits ) ให้บริการต่ออายุวีซ่า การขอใบอนุญาตทำงาน ขยายระยะเวลาใบอนุญาตทำงาน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) สำนักงานตรวจสอบคนเข้าเมือง กระทรวงแรงงานร่วมให้บริการ
3. ในเรื่องของศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนในภูมิภาค 6 แห่ง อันนี้ถ้าใครจะไปลงทุนต่างจังหวัดก็มีอยู่ 6 แห่ง ที่จังหวัดเชียงใหม่ นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี สงขลา และสุราษฎร์ธานี ก็จะให้บริการข้อมูลตลอดจนรับคำร้องและพิจารณาอนุมัติตามที่ได้รับมอบอำนาจ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น อันนี้เป็นตัวอย่างเท่านั้น ในการแจ้งผลงานของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกพวกทุกฝ่ายอย่างดียิ่งก็จะเป็นการเริ่มต้นในการวางรากฐานของประเทศที่ดี ที่มั่นคง ในทุกมิติ ขอขอบคุณในการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน หวังว่าจะได้รับการสานต่อ จากทุก ๆ รัฐบาลต่อไป โดยพี่น้องคนไทยทุกคน ข้าราชการทุกท่าน ต้องช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของชาติ เพื่อให้แผนยุทธศาสตร์ต่าง ๆ สำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วยครับ
อีกเรื่องหนึ่งอยากจะคุยกับพวกเราเท่านั้น ไม่ได้ไปตำหนิติเตียนใครมีคนเขียนมาในสื่อ หนังสือพิมพ์ ผมก็อ่านมาก็เข้าท่าดีเหมือนกันไม่รู้ว่าจะเห็นเป็นอย่างไร เขาบอกว่านิสัยที่ไม่ดี ๆ ของคนไทยก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่ดีอยู่แล้ว ดีมากกว่าไม่ดี ไม่อย่างนั้นก็เราคงเป็นประเทศไทยมาถึงทุกวันนี้ไม่ได้ ส่วนที่ไม่ดีแต่สำคัญหรือไม่ ไม่รู้ ท่านลองฟังดู
1. ไม่ชอบศึกษาอะไรที่เป็นรายละเอียด ที่มีปีกย่อยมาก ๆ คือ ไม่คิดแล้วก็เร่งรีบวิจารณ์ไปก่อน เช่น พูดเรื่องภาษีก็โวยมาก่อนว่าเก็บเงินอีกแล้วอะไรทำนองนี้ ไม่ดูว่าจะดีหรือไม่ดี จำเป็นต่อประเทศหรือไม่ ประเทศจะพัฒนาได้อย่างไร พอเห็นพาดหัวข่าวจากสื่อที่ค่อนข้างจะเลือกข้างบ้างอะไรบ้างหรือหัวเว็บไซต์ต่างก็ด่ารัฐบาลบ้าง ด่าคนคิดบ้าง คือยังไม่รู้เลยว่าเขาจะทำเพื่ออะไร บางทีมีวาทกรรม เดี๋ยวผมจะพูดให้ฟังวาทกรรม
2. นักการเมืองที่เป็นนักเลือกตั้ง คนดี ๆ มากแต่บางคนก็ยังใช้วิธีการเดิม ๆ อยู่ วัน ๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตารอว่าใครจะพลาดตรงไหนจะเก็บคะแนนได้ตรงไหนแล้วก็ฉวยโอกาสโจมตีทุกคนที่พลาด ไม่ว่าจะนักการเมืองด้วยกัน ไม่ว่าจะรัฐบาลหรือใครก็แล้วแต่ที่ตั้งใจจะมาทำความดีก็ด่าไปหมด ใช้วาทกรรมเจ็บ ๆ
วันนี้รัฐบาลพยายามจะทำเพื่อคนจนก็มาหาว่ารัฐบาลแกล้งคนจน ไม่มีจะกินอยู่แล้ว เอาแต่ขูดรีด เก็บภาษี ซึ่งก็ยังไม่ได้ไปเก็บตรงไหนเลย ถ้าเราต้องการให้ประเทศก้าวหน้าต้องปฏิรูปคนสองพวกนี้ก่อน นิสัยไม่ดี คือ นิสัยไม่ศึกษาอะไรให้ละเอียดแล้วก็ตำหนิติเตียน อันที่สองก็คือ ไม่นึกถึงสังคมส่วนรวม
สังคมไทยตกอยู่ในสังคมวาทกรรม เชือดเฉือนด้วยถ้อยคำมากกว่าให้โอกาสพิสูจน์การทำงาน ประเทศต้องการเงินงบประมาณไปทำให้ประชาชนเติมในสิ่งที่ขาด สร้างความเข้มแข็ง ทำอย่างไรคนยากจนไม่เหลื่อมล้ำ เป็นธรรมอะไรเหล่านี้ ไม่ให้เดือดร้อนก็กลับไปพูดเป็นวาทกรรมว่า ก็อุตสาห์หาเงินซื้อบ้านมาแทบตายยังจะมาเก็บภาษีบ้านเราอีก อย่างนี้ใช่หรือเปล่าผมไม่รู้ หรือรู้หรือยังว่าที่เขาพูด ๆ กันออกมาเป็นการเสนอให้คิดแล้วตัวเองดูหรือยังว่าเก็บจากใคร เก็บเท่าไหร่ เก็บเมื่อไหร่ยังไม่รู้เลยก็ว่าไปก่อน เพราะไม่ได้ดูตัวเอง อะไรที่เสียก็ไม่ยอมทั้งสิ้น แล้วไปสร้างวาทกรรมผิด ๆ ออกมา แล้วก็ติไว้แล้วประเทศชาติจะไปตรงไหน สร้างแนวร่วมว่าไปก่อน
รัฐบาลนี้ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ต้องการความร่วมมือในการแก้ปัญหา ท่านอย่าไปสร้างความเข้าใจผิด ไม่คำนึงถึงผลเสียต่อประเทศชาติและประชาชน
เรื่องภาษี ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องส่วนรวมของประเทศ คนไทยหลายคนไม่ชอบอยู่แล้วเรื่องภาษี แต่เมื่อถามดูว่าเทียบกับรถคันแรก จำนำข้าว พอแต่ละคนได้ประโยชน์ ส่วนรวมเสียประโยชน์ วันนี้ไม่เห็นมีใครพูดถึง ชื่นชมด้วยซ้ำไปว่าทำดีเพื่อประชาชน เสียหายเท่าไหร่ไปดู
อันตรายนะครับ นักการเมืองเหล่านี้ ก็พยายามจะทำไปสร้างความนิยมส่วนตัวแล้วก็ของพรรคการเมืองอะไรก็แล้วแต่ ด้วยการใช้วาทกรรม ผมว่าเลิกสักทีใช้วาทกรรมที่ฟังดูแล้วแปลก ๆ ไม่รู้จะทำอะไร มีหลายคนพูดแล้วว่าต้องทำอย่างไรให้คนจนมาอยู่กับเราให้ได้ อันที่สองจะทำอย่างไรให้สื่อมาอยู่กับเราให้ได้ มีคนพูดเรื่องนี้อยู่แล้วเราจะชนะทุกอย่าง ซึ่งผมไม่ได้ใช้แบบนั้น เพราะฉะนั้น อย่าไปสร้างวาทกรรมว่าคนจนจะได้ลืมตาอ้าปากสักที ให้ราคาข้าว ราคาผลิตผลเกษตรสูง ๆ หรือให้ไปผ่อนรถคันแรกคืนภาษีให้เหล่านี้แล้วก็บางคนเขาบอกว่าจะไม่ให้คนจนมีโอกาสหรืออย่างไร ไม่มีโอกาสที่จะขับรถเลยหรืออย่างไรแล้วขับได้หรือไม่ ผ่อนเขาไหวไหม ในเมื่อตอนเองยังไม่ได้สร้างรายได้กับเขาเลยแล้วไปให้เขาซื้อก่อนจะเป็นอย่างไร Demand กับ Supply ก็เป็น Demand เทียมทั้งหมด ขยายโรงงานไปมากมายแล้ววันนี้ขายได้น้อยลงก็บอกว่าเป็นความผิดของรัฐบาลเข้าไปอีก ทั้ง ๆ ที่ขยายสมัยใครก็ไม่รู้ไปหามา ขยายเพราะรถคันแรกบางคนก็ซื้อกันมาก ซื้อกันมากก็ต้องขยายโรงงาน
วันนี้พอไม่มีสตางค์ซื้อต้องมายึดคืนกันหมดแล้วทำอย่างไร แต่เสียเงินไปแล้วรายละแสนเท่าไหร่ละ ก็โอเคเขาบอกว่ากลับไปให้ประชาชน ผมถามว่ากลับไปที่ประชาชนจริง ๆ ทั้งหมดเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นไม่มีระบบอะไรที่จะสร้างความปรองดองในประเทศได้ ไม่มีระบบการปกครองใดทำให้ประเทศเจริญได้หากคนในชาติยังไม่ได้รับการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตน แนวคิด ในทุกกลุ่มทุกภาคส่วนต้องมีการเปลี่ยนแปลงก็คือต้องศึกษารายละเอียดให้มากขึ้น ฟังก่อนพูด คิดก่อนทำแล้วก็คำนึงถึงส่วนรวมมาก่อนส่วนตนแล้วก็สิ่งใดที่เป็นการขัดขวางความเจริญของประเทศก็ไม่สมควรทำ
รัฐบาลจะจับตาดูบุคคลเหล่านี้ว่าเขาทำให้ประเทศชาติเสียหายหรือเปล่า อันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องดูกัน เพราะฉะนั้น ประชาชนช่วยกันดูด้วย ช่วยกันพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าเขาพูดมาเป็นจริงหรือไม่ แล้วผมพูดมาจริงหรือไม่ไปดูว่าเกิดขึ้นตรงไหนบ้าง อันไหนเกิดก่อน อันไหนเกิดหลัง อันไหนต้องเกิดระยะยาว เกิดพร้อมกันไม่ได้หรอกครับ เพราะว่า หมักหมกมายาวนาน เพราะฉะนั้นเราจะทำเรื่องเหล่านี้ให้เป็นจริงจัง สำเร็จ เพื่อประชาชน ประเทศชาติการปรองดองถึงจะเกิดขึ้น ต้องช่วยกันรัฐบาล ข้าราชการ ประชาชนแล้วก็คำว่า สิทธิ เสรีภาพ หน้าที่เคารพกฎหมายศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม เป็นสิ่งสำคัญประกอบกันทั้งหมด
ต่อไปผมจะเชิญ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีเข้ามาดูแลด้านเศรษฐกิจมาพูดคุยทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของประเทศ
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (รอง นายกฯ) กล่าวว่า
สวัสดีครับ ท่านผู้ชม ผมขอเวลาสัก 30 นาที เพื่อจะรายงานให้ทราบถึงความคืบหน้าด้านเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นมาในช่วง 6 เดือนนี้ วันนี้ผมมีรัฐมนตรีมาด้วย 2 ท่าน ท่านแรกคือ นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (รมว.อก.) 2. นายปีติพงษ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รมว.กษ.)
ท่านผู้ชม ผมคงจะขอเริ่มด้วยการเล่าให้เห็นภาพกว้างของเศรษฐกิจไทยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา อยากจะขอย้อนไปถึงปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2557) ดูตารางแรกจะเห็นว่า เมื่อตอนต้นปีที่ผ่านมานั้น อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรก ติดลบถึง 0.5%ไตรมาสที่ 2 บวก 0.4 % ถึงไตรมาสที่ 3 บวก 0.6% ตอนที่รัฐบาลนี้เข้ารับหน้าที่นั้น เศรษฐกิจชะลอตัวมาก พวกเราก็คิดว่า จะทำอย่างไร จะเร่งเศรษฐกิจให้โตขึ้น เพราะถ้าขืนให้อยู่ในอัตรา 0.6 % นั้นไม่ไหวแน่นอน ก็ได้นั่งคุยกัน ก็เลยออกมาว่า เราต้องเร่งเศรษฐกิจด้วยการ เร่งการใช้จ่ายงบประมาณออกเป็นอันดับแรกก่อน และเร่งทำงานทุกกระทรวงให้ดี ให้เร็วที่สุด ให้ได้ จากการที่เราเร่งนั้น ปรากฏว่าเราสามารถทำให้เศรษฐกิจเราขยายตัวเพิ่มจาก 0.6% เป็น 2.3 % ได้ในไตรมาสที่ 4 ถามว่าการขยายตัว 2.3% มาจากไหน ถ้าดูในตารางถัดไปท่านก็จะเห็นได้ว่าตัวที่เป็นพระเอกจริง ๆ มี 3 ตัว คือ 1. การใช้จ่ายภาครัฐ หมายถึงรายจ่ายประจำที่เบิกงบประมาณไปนั่นเอง มีการเร่งจ่ายงบประมาณใน 3 เดือนนี้มาก จนทำให้ขยายตัวสูงกว่า 3 เดือนเดียวกันของปี 2556 ถึง 5.5% ตัวนี้เป็นตัวที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก 2. คือการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งเรานึกว่าไม่ได้ขยายตัว แต่แท้ที่จริงแล้ว การลงทุนภาคเอกชนในไตรมาสที่ 4 หรือว่าปีที่ผ่านมาสูงถึง 4 % ซึ่งในเศรษฐกิจขณะนี้ถือว่าสูงมาก และ 3. คือ การส่งออกบริการ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การท่องเที่ยวนั่นเอง รายได้จากการท่องเที่ยวหรือการส่งออกบริการนั้น เพิ่มสูงขึ้นถึง 11.4 % ปัจจัย 3 ปัจจัยนี่ เป็นปัจจัยที่ช่วยทำให้เศรษฐกิจในไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมาขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.3% ได้
ขณะนี้มาดูไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ ในประเด็นแรกของปีนี้ ถ้าถามว่าปัจจัยอะไรที่เป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี ก็มี 3 ปัจจัยเช่นเดียวกัน แต่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย การใช้จ่ายภาครัฐคงขยายต่อไปแต่ไม่มากนัก แต่ตัวที่กลับมาขยายมากก็คือการลงทุนภาครัฐคือโครงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสร้างถนน สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล อันนี้เริ่มมาเป็นตัวที่กระตุ้นเศรษฐกิจตัวสำคัญในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นถึง 5% การลงทุนเอกชนยังคงขยายตัวต่อไปในอัตรา 4% ซึ่งถือว่าดี สำหรับโลกที่ชะลอตัวขณะนี้ และปัจจัยที่เพิ่มมากที่สุด แม้จะฐานเล็ก คือการส่งออกบริการ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือการท่องเที่ยว รายได้เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 15%
ตัวเลขของไตรมาสที่ 2 นี้ ผมได้จากตัวเลขจริงของเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ผมประมวลเหตุการณ์เดือนมีนาคมใส่เข้าไป เป็นการประมาณการที่ถือว่าใกล้เคียงที่สุด แม้ว่าการส่งออกจะติดลบถึง 4% อันนี้ทุกคนก็ใจหายพอสมควร เพราะว่าการส่งออกเราไม่ได้หดตัวมานานแล้ว ในปีที่ผ่านมาก็ประมาณใกล้ ๆ ศูนย์เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง เพราะเพิ่ม 1% ด้วยซ้ำไป แต่ปีนี้การส่งออก 2 เดือนแรกนี้ เฉลี่ยประมาณ 4% นิด ๆ เมื่อรวม 3 เดือนแล้ว จะหดตัวถึง 4% แต่เนื่องจากการลงทุนภาครัฐก็ดี การลงทุนเอกชนก็ดี และการส่งออกบริการก็ดี เพิ่มสูงมาก ก็เลยชดเชยการส่งออกสินค้าที่ลดลงไปได้ โดยรวมแล้วเชื่อว่าทำได้สูงกว่า 3%
อยากจะสรุปอีกครั้งหนึ่งว่า เศรษฐกิจของไทยนั้น ถึงแม่ว่าการส่งออกไม่ขยายตัว เพราะโลกชะลอตัวลง ไม่ได้มีความบกพร่องของใคร โลกชะลอตัวลงใน 2 เดือนแรก เศรษฐกิจประเทศจีนซื้อสินค้าจากเราลดลงมากถึง 11% เศรษฐกิจจากยุโรปก็ซื้อสินค้าลดลงจากเรา เศรษฐกิจจากญี่ปุ่นก็ซื้อจากเราลดลง อาเซียนเองก็ลดลง คงมีอเมริกาที่เรายังเพิ่มขึ้นได้ ผมเชื่อว่าพอถึงไตรมาสถัดไป เนื่องจากจีนได้กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ยมา 2 ครั้งแล้ว และเนื่องจากยุโรปได้กระตุ้นเศรษฐกิจโดยการใส่เงินที่เขาเรียกมาตรการ QE (Quantitative Easing) ใส่เงินในระบบมา 3 เดือนติดต่อกันแล้ว เชื่อว่าทั้ง 2 เศรษฐกิจนั้นจะกลับมาซื้อสินค้าเราเพิ่มขึ้น โดยภาพรวมแล้วยอดการส่งออกคงไม่น่าจะลดลงอีกต่อไป หากการส่งออกไม่ลดลงอีกต่อไปและปัจจัยอื่น ๆ เช่นการลงทุนภาคเอกชนก็ดี การลงทุนภาครัฐก็ดี ยังมีการขยายตัวต่อไป และการท่องเที่ยวค่อนข้างจะขยายตัวต่อไป เนื่องจากมีแรงส่งจากนักท่องเที่ยวจากยุโรป อเมริกา อันเนื่องจากการที่ยกเลิกกฎอัยการศึกไปแล้ว
สิ่งเหล่านี้ ทำให้เชื่อได้ว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ของปีนี้ และไตรมาส 3 ของปีนี้ น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากที่เป็นอยู่ในไตรมาสนี้อีก ถ้าการส่งออกไม่ลดลงไปอีก แต่การขยายตัวของการลงทุนภาครัฐเดินต่อไป การขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนเดินต่อไป และการท่องเที่ยวเดินต่อไป เศรษฐกิจเราน่าจะดีขึ้นกว่านี้แน่นอน เพราะเหตุนี้เองผมอยากให้พวกเรามาพบกับท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ท่านจะอธิบายให้เห็นว่าทำไม การลงทุนภาคเอกชน ซึ่งเรานึกว่าซบเซานั่นโดยแท้จริงขยายตัว ขอเชิญท่านรัฐมนตรี นายจักรมณฑ์ ผาสุกวานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
รมว.อก. : ขอบคุณครับท่านรองนายกรัฐมนตรี จริง ๆ แล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปีที่แล้วจนมาถึงวันที่ 31 มีนาคม ปีนี้ จริง ๆ แล้วมีการขยายตัวด้านภาคการผลิตทางด้านอุตสาหกรรมไปมากพอสมควร ผมขอยกตัวอย่างในเรื่องของโครงการที่มายื่นขอ ร.ง. 4 หรืองโรงงาน 4 ปรากฏว่าเรามีถึงประมาณ 5,000 โครงการ ที่มายื่นขอแล้วก็เป็นเงินลงทุนประมาณ 5 แสน 5 หมื่นล้านบาท ครึ่งล้านจำง่าย ๆ ก็จะมีคนงานประมาณ 2 แสนคน อันนี้ตัวเลขที่มาขอแต่ตัวเลขที่มาขอเปิดโรงงานดีกว่าแล้วก็มาบอกให้ทางเจ้าหน้าที่ของทางกรมโรงงานไปตรวจดูโรงงานอะไรต่าง ๆ เพื่อที่เขาจะประกอบกิจการ
ตัวเลขนี้ซึ่งก็จะน้อยกว่าคำขอที่จะมาขออนุญาตโรงงานก็จะปรากฏว่ามีจำนวนโรงงานประมาณ 3,500 โรงงานที่มาแจ้งเปิดกิจการดำเนินงานเลยในช่วงตั้งแต่พฤษภาคมปีที่แล้วจนมาถึงเดือนมีนาคมปีนี้ ทั้งหมด 3,500 โรงงาน มีการลงทุน 350,000 ล้านโดยประมาณแล้วก็มีการจ้างงานทั้งสิ้น 1 แสน 3 หมื่นคน อันนี้ผมยังไม่ได้รวมตัวเลขของการนิคมอุตสาหกรรม เพราะโครงการนิคมอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะได้รับการส่งเสริมการลงทุนและระบบการขออนุญาตจะไม่ได้มาเรื่องของการออก ร.ง. 4 เพราะอนุญาตได้เลย
อีกประมาณ 5 หมื่นกว่าล้าน แต่นี่ยังไม่ได้รวมแต่ในกรณีโรงงานนิคมอุตสาหกรรมจะเป็นโรงงานขนาดใหญ่ ใช้เครื่องจักรใหญ่ ลงทุนมากแต่จำนวนจ้างงานอาจจะน้อยแล้วก็ในเรื่องของจำนวนโรงงานก็จะสู้กับ ร.ง. 4 ของกรมโรงงานไม่ได้ แต่ถ้ารวมยอดลงไปก็จะมียอดลงทุนทั้งหมด 4 แสนล้าน ตั้งแต่ 23 พฤษภาคมจนถึง 31 มีนาคม 4 แสนล้านแล้วก็จะมีการจ้างงานประมาณ 1 แสน 3 หมื่นหรือ 1 แสน 4 หมื่น อันนี้ก็คือยอดตัวเลขสรุป
อย่างไรก็ตามผมขอเรียนว่าผมยังไม่ได้รวมโครงการที่มาขออนุญาตอาชญาบัตร ประทานบัตรเรื่องเกี่ยวกับเรื่องเหมืองแร่ กรณีนี้ก็มีคนมายื่นขอประทานบัตรไปแล้วก็เราเซ็นอนุมัติ 195 ราย แค่ 6 เดือนเท่านั้น เพราะว่าบังเอิญผมไม่ได้นำตัวเลขยอดไปจนถึงพฤษภาคมแต่ในช่วงนั้นก็ไม่มีการเซ็นใหม่อยู่ดี เราอนุมัติไปที่ว่าเซ็นไปแล้ว 195 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 4 หมื่น 4 พันล้านแล้วก็ถ้าไม่นับต่อเนื่อง เพราะว่าไปลงทุนปั๊บก็จะเกิดแร่ที่ออกมา เราก็คำนวณแร่ที่ออกมาจากการที่เราไปอนุมัติเหล่านี้ประมาณอีก 2 แสนกว่าล้าน ซึ่งก็จะเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่าง ๆ อันนี้เป็นยอดลงทุนทางภาคเอกชนก็สรุปประมาณ ตัวเลขก็คือว่าที่เกิดขึ้นจริง ๆ ผมก็ขอนำ 4 แสนล้านที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
อยากจะเรียนว่า มีอะไรที่ลงทุนมากมายก็บอกได้เลยว่าเป็นอุตสาหกรรมเกษตร เรื่อง แปรรูปอาหารมามากที่สุด รวมทั้งอุตสาหกรรมเครื่องดื่มทั้งหลาย อันนี้จะมีมากที่สุด
ต่อมาก็เป็นเรื่องของชิ้นส่วนรถยนต์ ชิ้นส่วนโลหะซึ่งอันนี้ก็ไปสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ บังเอิญว่าเราก็มีอีโคคาร์อะไรต่าง ๆ แล้วที่ตามถัดมาก็คือ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับพลังงานไม่ว่าในเรื่องของผลิตกระแสไฟฟ้าจากชีวมวลอะไรต่าง ๆ ที่เรียกว่าพลังงานทดแทนที่กลับมาใช้ได้Renewable Energy อันนี้มีอยู่เป็นจำนวนมากแล้วตามมาด้วยอุตสาหกรรมเคมีต่าง ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าดูในภาพรวมทางภาคอุตสาหกรรมรวมทั้งเหมืองแร่ต่าง ๆ ก็เป็นตัวที่สร้าง (gross domestic product : GDP) หรือสร้างรายได้ให้กับประชาชนพอสมควรทั้งดูในด้านจ้างงานอีกส่วนหนึ่งที่อยากจะเรียนที่เป็นข้อมูลที่เราได้รับมาก็คือ ทางด้านของยอดส่งออกรถยนต์ ในเดือนมกราคมแล้วก็เดือนกุมภาพันธ์เกิน 10% ขึ้นไป แล้วก็ยอดรวมเฉพาะเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ที่บอกว่าดูไม่ค่อยดีแต่ยอดรวมผลิต 3% หมายถึงว่ามากกว่าช่วงเดียวกัน แต่เนื่องจากยอดส่งออกนี่สูงแต่ว่ายอดการซื้อในประเทศอาจจะต่ำ แต่ยอดรวมถือว่าดีแล้ว
มีตัวเลขอีกหลาย ๆ ตัวในภาคอุตสาหกรรมก็คือ เช่น การนำวัตถุดิบเข้าในเดือนกุมภาพันธ์อย่างเดียวเพิ่มขึ้นเกือบ 20% อันนี้ก็เป็นเครื่องชี้ว่าจะมีการผลิตเกิดขึ้นในช่วงถัดไป คือ เราสังเกตว่าในแง่ของภาคการผลิตทุกอย่าง ตัวเลขกระเตื้องขึ้นโดยเห็นชัดเจนแล้วเป็นการใช้ตัวเลขที่ไม่ใช่ตัวเลขที่นำของจริง คือ การนำเข้าวัตถุดิบนี่ก็ของจริง แจ้งประกอบการ เริ่มประกอบการนี่ก็เป็นตัวเลขของจริงหมด ผมมีเรื่องที่จะเรียนเพียงเท่านี้
รอง นายกฯ : ท่านรัฐมนตรีครับ ท่านออกใบอนุญาตไปแล้ว ประมาณ 5,000 รายแล้วเขาก็มาแจ้งเพื่อเปิดโรงงานประมาณ 3,500 ราย ผมสงสัยว่าพวกนี้ทำไมถึงมาอนุมัติมากในช่วง 8 – 9 เดือนที่ผ่านมา ทำไมเดิมไปค้างอยู่ที่ไหน ท่านพอเล่าให้ฟังได้ไหม
รมว.อก. : อันนี้ปัญหาหนึ่งในกระบวนการอนุมัติโครงการ ในช่วงก่อนหน้านั้นก็มีปัญหาติดขัดพอสมควรแล้วก็หลังจากที่ คสช. ได้เข้ามาบริหารบ้านเมืองรวมทั้งเป็นรัฐบาลชุดนี้ต่อนี้ไปที่มาจนถึงปัจจุบันก็ได้พยายามแก้ไขเรื่องของการที่จะไปยื่นขออนุญาตไม่ใช่เฉพาะของ ร.ง.4 รวมทั้งเหมืองแร่อะไรต่าง ๆ เรากำหนดเวลาชัดเจนว่าเมื่อไหร่ เมื่อคุณมาขออย่างกรณีของโรงงานเรากำหนดเหลือภายใน 30 วัน เหมืองแร่ไม่เกิน 45 วัน แล้วขอใบอนุญาตของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เกี่ยวกับเรื่องมาตรฐานสินค้าไม่เกิน 23 วัน อันนี้เรากำหนดชัดเจนแล้วก็ผู้ที่มายื่นขอไปเช็คออนไลน์ได้เลยว่าโครงการขนาดนี้ สมมติภายใน 30 วัน ขนาดนี้เขาอยู่ที่โต๊ะไหน หรือไว้ที่จุดไหน ซึ่งก็ทำให้เกิดความสบายใจ เหมือนกับว่ามีการอนุมัติค่อนข้างมากในช่วงนี้ เพราะว่าหนึ่งเขาก็สบายใจ แล้วอีกอย่างคือว่าไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของการล่าช้าอะไรต่าง ๆ อันนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไม หลังจาก 22 พฤษภาคมแล้วโครงการที่มาอนุมัติอยู่ในล็อตที่ค่อนข้างสูง
รองนายกฯ : อย่างที่บอกว่าใบอนุญาตประกอบโรงงานออกภายใน 30 วันหรืออันที่เรียกว่าประทานบัตรสำรวจแร่ใน 45 วัน อันนี้ออกเป็นระเบียบหรือกฎหมายหรือเป็นกฎกระทรวงหรือเปล่าครับ
รมว.อก. : อันนี้เราออกเป็นเรื่องของระเบียบของกระทรวง แต่จริง ๆ แล้วจะมีกฎหมายซึ่งออกมาแล้วตั้งแต่ 22 มกราคม เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายอำนวยความสะดวกในการอนุญาตต่าง ๆ ข้อราชการ ซึ่งนั่นเราจะใช้เป็นแม่แบบด้วยแต่ถึงตัวกฎหมายแม่ที่ออกมาแล้วเราได้กำหนดใช้ก่อนที่ตัวพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อำนวยความสะดวก เรื่องอนุญาตให้ประชาชนออก เพราะฉะนั้นผมคิดว่าอันนี้ก็คงเป็นส่วนหนึ่ง เพราะว่า ในเรื่องของการลงทุน เรื่องของใบอนุญาตคำขอต่าง ๆ เมื่อมีความสะดวกแล้วก็คนก็มีความรู้สึกว่าอยากจะมาขอ อยากที่จะไปติดต่อ อยากที่จะไปลงทุนบ้าง ถ้าตรงนั้นเป็นตัวติดขัดแล้ว ผมก็คิดว่าเกิดความรู้สึกว่า ไม่ค่อยอยากที่จะเริ่มลงทุนอะไรนัก
รอง นายกฯ : ขอบคุณมากครับ ท่านรัฐมนตรีครับ ท่านผู้ชมครับฟังดูก็เหมือนกับทุกอย่างราบเรียบที่ยังมีปัญหาก็คงเป็นเรื่องของการส่งออกซึ่งหดตัว ผมเชื่อว่าหลังจากเมษายนไปน่าจะดีขึ้น แต่ในภาคที่ว่าทั้งหมดเราก็มีจุดอ่อนของเศรษฐกิจเหมือนกัน ทุกคนทราบดีว่าในสินค้าเกษตรอยู่ 2 ตัว คือ ข้าว และยาง ซึ่งราคาใน 6 เดือนที่ผ่านมานี้ ต่ำกว่าเมื่อปีก่อนนั้นมากพอควรทีเดียว ในขณะที่ภาคเกษตรโดยเฉพาะเรื่องข้าวและยางมีรายได้ต่ำกว่าคนอื่น
ผมอยากจะเรียนถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า ท่านได้มีการกระทำที่เข้าไปช่วยชาวนาที่ปลูกข้าว หรือชาวสวนยางอย่างไรบ้างเพื่อให้เขา อย่างน้อยเขามีอะไรที่ปะทะปะทังไปให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้
รมว.กษ. : อย่างที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวตอนที่พวกเราเข้ามาทำงานเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ปัญหาหลักอยู่ที่ราคาสินค้าเกษตรอันแรกก็คือข้าว ข้าวอาจจะเป็นส่วนหนึ่ง เราทำปัญหาเอง เพราะว่าเรามีสต๊อกมา 18 ล้านตันอยู่แล้วก็สต๊อกที่เกิดขึ้นมาเกิดจากการประกันราคาข้าว ซึ่งเวลาตลาดโลกปรับตัวเองราคาข้าวจริง ๆ แล้วต่ำกว่าราคาที่ประกันไว้มากพอสมควร
ส่วนยางเป็นเรื่องของการปรับตัวของน้ำมันอย่างแท้จริง เพราะว่า การที่น้ำมันลดลงก็ทำให้ราคาของยางปรับตัวลดลงเป็นอย่างมากด้วย ในแง่ของมาตรการเราก็ได้ใช้มาตรการหลายอย่างที่จะเข้าไปเสริมในแง่ของรายได้ของผู้ที่จะผลิตข้าวแล้วก็ผู้ผลิตยาง ซึ่งเป็นเกษตรกรที่เป็นส่วนใหญ่ ข้าวนี้ก็ทั่วประเทศ ยางส่วนใหญ่ก็ทางใต้แต่ตอนหลัง ๆ นี่ ขยายไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือบ้าง ทางเหนือบ้าง มาตรการแรกที่เราเข้าไปดำเนินการที่เกี่ยวกับข้าวโดยตรงก็คือเรื่องของการเข้าไปช่วยเหลือรายได้ของเกษตรกรโดยตรง อันนี้ไม่ใช่เรื่องของการประกันราคา เป็นเรื่องเข้าไปช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่พอจะอยู่ได้ โดยให้ครัวเรือนไร่ละ 1,000 บาท แต่ว่าเราไปคิดว่าในแต่ละครัวเรือนมีการถือครองอยู่ในระดับเท่าไร ซึ่งอันนี้ก็ได้ดำเนินการมาถึงเดือนมีนาคมแล้วจ่ายเงินไป 3 หมื่น 8 พันล้านบาท จ่ายให้กับครัวเรือนประมาณ 3 ล้าน 5 แสนครัวเรือน ซึ่งเรื่องนี้ก็น่าจะจบไปแล้ว เพราะว่า ส่วนที่เหลือก็มีปัญหาในเรื่องของการถือครองที่ดินบ้าง เรื่องหลักฐานต่าง ๆ บ้าง ซึ่งจากการสำรวจปรากฏว่าเกษตรกรเป็นจำนวนมากพึงพอใจ แต่ส่วนหนึ่งก็เห็นว่าควรจะจ่ายเพิ่มอีก ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องปกติในการดำเนินการเราก็ต้องดูว่าในที่สุดแล้ว ภาระของรัฐบาลมีมากน้อยแค่ไหนแล้วก็เกษตรกรจะอยู่ได้ด้วยความช่วยเหลือขนาดไหน
นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีมาตรการทางอ้อมอื่น ๆ เช่น ทางด้านของการจ้างงานก็มีการจ้างแรงงานถึง 38,000 ราย เพื่อที่จะปรับปรุงระบบการชลประทานที่จะนำน้ำไปสู่พื้นที่ของเกษตรกรเอง มีการฝึกอบรมส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรแล้วก็มีการสนับสนุนให้ มีการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งซึ่งไม่ใช้น้ำมากประมาณ 142,000 ไร่ ทั้งหมดเป็นมาตรการที่พยายามที่จะช่วยเหลือชาวนาในเรื่องของราคาพืชผลตกต่ำ
น้ำที่เหลือก็จะมาใช้เรื่องของการเกษตรทั้งหมดในฤดูแล้งก็ไม่เพียงพอ มาตรการหลักมาตรการหนึ่ง ซึ่งเราเห็นว่าเป็นมาตรการที่ขณะนี้ได้ดำเนินการไป และมีคนให้ความสนใจมากคือมาตรการที่จะช่วยเหลือบริเวณที่มีภัยแล้งซ้ำซาก โดยใช้เงินเข้าไปในตำบลต่าง ๆ 3,051 ตำบล เพื่อให้เกษตรกรได้คิดอ่านที่จะดำเนินอาชีพของตนเอง ทั้งในส่วนที่เป็นเรื่องของการปรับปรุงพื้นที่ การปรับปรุงอาชีพ การปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ปรากฏว่าขณะนี้ได้จ่ายเงินไปแล้ว 6,590 กว่าโครงการ 3 พันกว่าล้านบาท เกือบจะใช้หมดแล้วมี 1 – 2 ตำบลที่ไม่เอา เนื่องจากเขาบอกว่าไม่แล้ง หรือเขาไม่มีความปรารถนาที่จะลงทุนอีกต่อไป นั่นก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อมาดูแล้ว สถิติบอกว่า 51 % ของตำบลเหล่านี้ต้องการที่จะนำเงินเหล่านี้ไปทำเรื่องพัฒนาแหล่งน้ำของตนเอง ซึ่งก็หมายความว่าคนจะใช้แรงงานเพื่อให้ได้น้ำมา เพื่อไปเพาะปลูกในปีต่อไป
นอกจากนั้นก็มีเรื่องของการผลิตทางการเกษตร การแปรรูปผลผลิตเพื่อเพิ่มรายได้ประมาณ 7% ที่เหลือก็เป็นเรื่องของการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ เพื่อการผลิตพวกยุ้งฉางต่าง ๆ เหล่านี้ 41% และมีการจัดการเพื่อลดความสูญเสียผลผลิตทางการเกษตร คือการเก็บให้ดีประมาณ 2% ที่เหลือเป็นเรื่องแหล่งน้ำหมดเลย 50% ตรงนี้ก็มีความชัดเจนว่าบางกิจกรรมจะมีผลเฉพาะในเรื่องของการสร้างรายได้โดยตรง เช่น การจ้างงาน แต่บางกิจกรรมจะมีผลต่อเนื่อง เช่น แหล่งน้ำก็ทำให้มีน้ำ เช่น ปรับปรุงพื้นที่โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทำให้สามารถที่จะเก็บรักษาพืชผลในการผลิตได้ดีขึ้น และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในส่วนที่ 2 คือเรื่องของยางพารา มีปัญหาในเรื่องราคาเช่นเดียวกัน แต่ว่ายางพารามีปัญหาทางโครงสร้างมากกว่า เพราะยางพาราไม่ใช่อาหาร แต่เป็นสิ่งที่นำไปประกอบเป็นอุตสาหกรรม หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพราะฉะนั้นเวลาที่เศรษฐกิจไม่ดี แล้วถูกซ้ำเติมด้วยราคาน้ำมันก็จะทำให้ยางพาราเป็นปัญหาค่อนข้างจะมาก อย่างไรก็ตามในช่วงระยะสั้น เราพยายามที่จะอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง ไร่ละ 1,000 บาท เช่นเดียวกัน จ่ายไปแล้ว 767,000 ครัวเรือน เป็นเงิน 7 พันกว่าล้านบาท ซึ่งอันนี้ก็ใกล้จะยุติแล้ว เหลือตกค้างอยู่เช่นเดียวกับข้าวเล็กน้อย นอกจากนั้นก็พยายามที่จะให้สหกรณ์ได้มีบทบาทในการที่จะช่วยเหลือราคายางด้วย ด้วยการให้เงินกู้หมุนเวียน เพื่อซื้อยางแก่สถาบันเกษตรกร วงเงิน 1 ล้านบาท เบิกไปแล้ว 3 พันกว่าล้านบาท อันนี้เกษตรกรก็ไปรวบรวมยางพารามา ปรับปรุงบ้าง หรือนำไปขายต่อบ้างอย่างนี้เป็นต้น
สินเชื่อที่สำคัญมากที่สุดในขณะนี้เป็นสินเชื่อเพื่อการปรับโครงสร้างระยะยาว เราได้ขอสินเชื่อในวงเงินหมื่นล้านบาท รายละไม่เกิน 1 แสนบาท เพื่อที่จะให้เกษตรกรนั้นได้ปรับโครงสร้างการผลิตของตนเอง เป็นการเกษตรแบบผสมผสาน เพราะยางพาราก็จะเห็นได้ว่า ขึ้นสูงมากก็ลงต่ำมากได้เหมือนกัน ในช่วงนั้นเกษตรกรจะสร้างความมั่นคงให้กับรายได้อย่างไร เป็นเรื่องที่เราได้เปิดกว้างมาก และเกษตรกรได้ยื่นขอกู้สินเชื่อถึง 110,000 ราย แต่ว่าขณะนี้ ธ.ก.ส. ก็ได้จ่ายเงินกู้ไปแล้วจำนวนหนึ่ง เพราะต้องดูตามระเบียบการของ ธ.ก.ส. ซึ่งอันนี้ท่านรองนายกรัฐมนตรีก็คงกำลังพิจารณา หรือว่าจะทำให้รวดเร็วมากขึ้นได้อย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่กำลังดำเนินการอยู่ ทั้งหมดเป็นเรื่องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทั้งนั้น ช่วงระยะเวลาต่อไปนี้ เราคงจะต้องมีการปรับโครงสร้างในการพัฒนาการเกษตรให้มากยิ่งขึ้นกว่านี้ เพื่อทำให้ความมั่นคงในแง่ของรายได้ของเกษตรกรดีมากขึ้น เท่าที่เราสำรวจ ถามว่าโครงการทั้งหมดมีผลหรือไม่ เท่าที่เราสำรวจในช่วงระยะเวลาเดียวกันตั้งแต่วันที่ 1 – 7 มีนาคม 2558 เทียบกับปีที่ผ่านมา รายได้สุทธิของเกษตรกรลดลงไปประมาณ 600 บาทต่อครัวเรือน ถ้าเผื่อโครงการ 3 พันกว่าล้านบาทที่ช่วยพื้นที่ภัยแล้งมีประสิทธิภาพ และนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ผมเชื่อว่าส่วนต่างตรงนี้อาจจะลดลงไปอีก แล้วตอนนี้ก็ใกล้จะถึงฤดูกาลเพราะปลูกใหม่แล้ว โครงการต่าง ๆ ก็จะทำให้รายได้ของเกษตรกรน่าจะเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง ผมลืมเรียนไปเรื่องหนึ่งคือเรื่องประมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกุ้งที่เคยส่งออก 5 แสนตันต่อปี ขณะนี้ก็เดิมลดลงเหลือประมาณแสนตัน เนื่องจากเป็นโรค EMS โรคตายด่วน ขณะนี้ก็ปรับขึ้นไปได้เกือบ 3 แสนตันต่อปี ก็เป็นส่วนที่อาจจะช่วยได้ในฤดูกาลต่อไป
รอง นายกฯ : ถ้าโรคตายด่วน ท่านแก้อย่างไรถึงปรับขึ้นมาได้
รมว.กษ. : โรคตายด่วน มี 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือเรื่องของสิ่งแวดล้อม อีกด้านคือเรื่องแม่พันธุ์ แม่พันธุ์ต้องใช้เวลาเล็กน้อย ขณะนี้ที่แก้คือแก้เรื่องสิ่งแวดล้อม คือการที่ไปตรวจสอบดูว่าแม่พันธุ์ ป่วยตั้งแต่บ่อหรือไม่ ในบ่อ บ่อหนึ่งควรจะใช้เลี้ยงกุ้งสักเท่าไหร่ และพวกการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นธรรมชาติ ในการแก้ไขปัญหาร่วมผสมผสานกัน 2 - 3 อย่าง ก็แก้ได้ในระดับหนึ่ง
รอง นายกฯ : ขณะนี้กำลังทำเพิ่มเติม
รมว.กษ. : ครับ
รอง นายกฯ : สำหรับสินเชื่อยางเพื่อปรับปรุงโครงสร้างระยะยาว ปรับปรุงสวน เป็นสินเชื่อระยะยาวนั้น ชาวสวนยางขอมาประมาณแสนกว่าราย ขณะนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อนุมัติจ่ายเงินไปแล้ว 27,000 ราย ผมได้เร่ง ธ.ก.ส. ไปแล้ว ให้เร่งทำมากขึ้น ตอนนี้เป็นสินเชื่อที่ดี เพราะว่าเป็นสินเชื่อที่เขาจะเอายางเก่า ที่ส่วนเกินออกและหันไปปลูกอย่างอื่น หรือทำอาชีพอื่น ซึ่งจะทำให้เกิดดุลยภาพระหว่างอุปทาน อุปสงค์ของยางได้ดีขึ้น ก็จะเร่งต่อไปให้
รอง นายกฯ : ท่านผู้ชมครับ วันนี้เรามีเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น ก็เลยมาเล่าสู่กันฟังว่า ทางกระทรวงอุตสาหกรรมก็ดี ทางกระทรวงเกษตรฯ ได้ทำอะไรไปบ้าง แล้วภาพเศรษฐกิจโดยรวมถึงแม้ว่ายอดการส่งออก จะติดลบใน 2 เดือนแรก หรือ 3 เดือนแรกก็ตาม แต่เราเชื่อว่าเศรษฐกิจเรายังแข็งแรงพอควร แม้เพดานการส่งออกจะติดลบถึง 4% ใน 3 เดือนแรก การเพิ่มขึ้นของปัจจัยอื่น ได้มีส่วนช่วยทำให้เศรษฐกิจของเราใน 3 เดือนแรกนี้น่าจะขยายตัวได้ 3% ขึ้นไป ผมเชื่อว่าในไตรมาสถัดไป เมื่อการส่งออกกลับมาปกติแล้ว ปัจจัยอื่น ๆ จะช่วยทำให้เศรษฐกิจเรากลับมาขยายตัวดีขึ้น ผมขอลาแต่เพียงเท่านี้สวัสดีครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2558 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน
วันสงกรานต์ วันปีใหม่ไทยเพิ่งผ่านพ้นไป หลายคนคงได้มีโอกาสไปเที่ยวพักผ่อน เดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อพบปะญาติมิตร กราบผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือกัน สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ก็มีเรื่องที่น่ายินดีหลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวแรงงานประมงไทย 68 คน ที่รัฐได้ช่วยเหลือให้เดินทางกลับประเทศตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2558 ทันวันครอบครัวช่วงสงกรานต์พอดี คงมีความสุขมากเพราะว่าหลายปีมาแล้ว ที่ต้องไปตกระกำลำบากอยู่ต่างประเทศ ฉะนั้นทุกคน รัฐบาลจะนำเข้าสู่ระบบการเยียวยาของรัฐ มีการตรวจสุขภาพเบื้องต้น จัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ การมอบเงินช่วยเหลือกลับภูมิลำเนา และการจัดหาสถานที่พักชั่วคราว หากจำเป็น โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จะบูรณาการ ร่วมกับอีกหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วก็จะติดตามช่วยเหลือ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์อย่างต่อเนื่อง ก็ยังมีหลายคนที่ยังตกระกำลำบากอยู่ คงต้องทยอยช่วยเหลือต่อ ๆ ไป จนกว่าจะครบถ้วน และจะมุ่งเน้นการป้องกันการถูกล่อลวง ทำลายกระบวนการทั้งหมด ทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งผู้ที่ทำผิดกฎหมายด้วย ไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ในอนาคตต่อไปให้ได้
ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พนักงานส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) อาสาสมัคร ตำรวจ ทหาร ที่ช่วยกันดูแลความปลอดภัย ส่งพี่น้องประชาชน และลูกหลานไทย เดินทางไป-กลับโดยสวัสดิภาพ ในห้วงสงกรานต์ ขอขอบคุณทุกภาคส่วน ร่วมมือ ร่วมใจกัน อนุรักษ์และสืบสานประเพณีสงกรานต์อันงดงามของไทยเรา มีการปฏิบัติตามข้อแนะนำของภาครัฐ ในการร่วมกันแต่งกายตามประเพณี รดน้ำคลายร้อนไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น รวมทั้งการโซนนิ่งพื้นที่เล่นน้ำไร้แอลกอฮอล์ อันจะเป็นสาเหตุของการทะเลาะเบาะแว้งและอุบัติเหตุ นานแล้วที่เรารณรงค์เพียงแค่การออกนโยบาย แต่ไม่เน้นการปฏิบัติ เราก็เริ่มเน้นการปฏิบัติให้มากขึ้น การบังคับใช้กติกาสังคมอย่างจริงจัง ในบางครั้งเยาวชนรุ่นใหม่หลงลืมวัฒนธรรมอันดีงาม แล้วกลับคุ้นชินกับสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งอาจจะไม่ใช่อารยธรรมไทย การสนุกสนานต้องมีขอบเขต มีขีดจำกัด อย่างที่รัฐบาลได้กำหนดข้อแนะนำไป 8 ประการ ก็เห็นมีคนต่อว่าเหมือนกันว่าทำไมต้องไปกำหนดด้วย ผมก็ไม่เห็นว่า 8 ข้อมีผลเสียกับใครเลย เพียงแต่ว่าไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ไม่ให้เกิดการเสื่อมเสียต่อประเพณีของเรา หรือใครคิดว่าถูกต้อง ก็บอกรัฐบาลก็แล้วกัน เช่น ห้ามแต่งกายโป๊ ล่อแหลมต่าง ๆ เหล่านี้ ผมไม่เห็นสร้างสรรค์อะไรเลย คนที่มาติ ๆ อยู่ทุกวันนี้ บอกว่าการท่องเที่ยวปีนี้ สงกรานต์ปีนี้หงอย เพราะว่า มี 8 มาตรการของรัฐมาเลยทำให้ไม่สนุก ก็ไปคิดกันเอาเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราทำต่อไปเหล่านั้น เอกลักษณ์ความเป็นไทย ก็จะไม่หลงเหลืออีกเลย ให้ภาคภูมิใจ
วันนี้ มีทั้งชาวต่างชาติเข้ามาประเทศของเรา คนไทยมาเที่ยวกันเอง ถ้าต่างชาติเขาต้องการสัมผัสธรรมชาติอันบริสุทธิ์งดงามชองชาติ เพราะฉะนั้นการต้อนรับขับสู้ ด้วย “ยิ้มสยาม” และความมีน้ำใจของคนไทยแล้ว และให้รับทราบถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม อันงดงาม ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งเดียวในโลก และจะเป็นสิ่งดึงดูดให้ชาวโลกเดินทางมาพักผ่อน มาศึกษาความเป็นไทย วัฒนธรรมแบบไทย ๆ ซึ่งอาจจะหาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว แต่คนไทยอยากจะเป็นอย่างเขา ผมก็ไม่เข้าใจอีกเหมือนกัน
สำหรับ ตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรม พิสูจน์แล้วว่ายอดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะนี้เพิ่มขึ้น 20 กว่า % ในไตรมาสแรกของปีนี้ ฉะนั้นอย่าไปเชื่อตัวเลขอื่น ๆ และเพิ่มขึ้น 30 กว่า % ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ก็ไปดูแล้วกันว่าเขานำข้อมูลมาจากไหน ถ้าหากว่าเราเลิกขัดแย้งกันเอง เป็นเจ้าบ้านที่ดี มีเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล ผู้ที่มาเยือนก็จะรู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ระหว่างใช้ชีวิตในเมืองไทย ก็ช่วยกันชักชวนกันกลับมาเที่ยวใหม่อีกครั้งปีหน้า เราก็อาจจะมีอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นไปตามวัฒนธรรมประเพณีของไทย เราจัดการท่องเที่ยวทั้งปี ปีนี้เป็นปีแห่งท่องเที่ยว วิถีไทย ช่วยกันเชิญมา หรือช่วยกันไปเที่ยวด้วย เวลาวันว่าง หยุดจากราชการต่าง ๆ
ในส่วนของการสร้างจิตสำนึกนั้น คำว่า “ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ” จะเป็นสิ่งที่ทำได้เลย ทำทันที ส่วนสิ่งที่ต้องใช้ระยะเวลา อาศัยความร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคเอกชนก็คือในเรื่องของการปฏิรูปประเทศในทุก ๆ ด้าน ซึ่งวันนี้เรามีความพร้อมที่จะเริ่มการปฏิรูป บ้านเมืองสงบร่มเย็นพอสมควร รัฐบาลมีเอกภาพในการบริหารงานแผ่นดิน สามารถที่จะบูรณาการงานทุกกระทรวงให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วก็ทุกคนจะต้องมองผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ก็ขอให้พี่น้องทุกคน ทุกภาคส่วน ช่วยกันหยิบยื่นความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ เพื่อใช้โอกาสนี้ ในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ ซี่งเราเริ่มต้นมาได้แต่เพียงเล็กน้อย ถ้าพูดถึงการบริหารราชการทำไปได้มาก แต่เกี่ยวกับเรื่องการปฏิรูปที่ต้องทำใหม่ อะไรเหล่านี้ เพียงเริ่มต้นเท่านั้นเอง ต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร เราต้องเดินหน้าปฏิรูปประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่า และหลุดพ้นจากคำว่ากับดักทางการเมืองอย่างยั่งยืน
วันนี้ ผมมีบุคคลตัวอย่าง ที่หลายคนอาจรู้จักกันดีมานานแล้ว ในนาม “มนุษย์เพนกวิน” เป็นตัวอย่างของการไม่ยอมแพ้ สู้ชีวิต คิดบวก และที่สำคัญคือ การไม่ทำตนให้เป็นภาระสังคม แต่กลับช่วยสร้างสรรค์สังคม ประเทศชาติให้งดงาม ในขีดความสามารถของตนเอง ถึงแม้ว่าจะมีข้อจำกัดด้านร่างกายของเขาเอง
คนดีที่ผมอยากจะพูดถึง คือ คุณเอกชัย วรรณแก้ว แม้ไร้แขนทั้งสองข้าง แต่เขากลับสามารถสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เขาจบปริญญาตรี คณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตเพาะช่าง จากนั้นก็อาศัยวิชาชีพ ออกไปวาดรูปตามงานต่าง ๆ ได้รายได้มาช่วยปลดหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้แม่ ปลูกบ้านหลังใหม่ให้ครอบครัว ส่งเสียเงินให้แม่ทุกเดือน
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณเอกชัยฯ ยึดถือในการดำรงชีวิต ก็คือ“โอกาสคนเราไม่เท่ากัน ต้องใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์มากที่สุด” ส่วนการทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ อันได้แก่ “ช่วยกันทำคนละนิด พอรวมกัน มันก็เยอะเอง” และทวงถามสำนึกความเป็นคนไทยว่า “มือของพวกคุณ ทำอะไรให้ประเทศดีขึ้นบ้าง” เปรียบเทียบกับตัวเขา
ผมก็หวังว่าจะเป็นคติ สร้างความตระหนักรู้ และเรียกร้องให้พี่น้องทุกท่าน กลับมาสำรวจความพร้อมของตนเอง ว่า “วันนี้ เราได้ทำอะไร ที่เป็นประโยชน์ เพื่อประเทศชาติ หรือส่วนรวมหรือยัง” โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังหลงผิดอยู่ ไม่หวังดีอยู่เหมือนเดิม คอยบ่อนทำลาย สร้างสถานการณ์ ประสงค์ร้าย ป้ายสีต่าง ๆ ทุกเรื่อง เหมือนจะต้องการให้กลับไปสู่ความขัดแย้ง ไปสู่วังวนเก่า ๆ เหมือนที่ผ่านมา ผมไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ขอให้หันกลับมาใช้ชีวิตด้วยศักยภาพของท่านในทางสร้างสรรค์ดีกว่า พัฒนา ปฏิรูปประเทศ ร่วมมือกัน ไม่ใช่ศัตรูกันอยู่แล้ว กฎหมายก็คือกฎหมาย แต่เราเป็นคนไทยด้วยกัน เพราะฉะนั้นขอให้ความร่วมมือกับทางการ ยุติความขัดแย้ง ร่วมมือในการปฏิรูป เดินหน้าประเทศไทยต้องมีกติกา ถ้าจะปฏิรูปให้ได้ ถ้าท่านไม่ยอมรับกติกาเลย ก็ไปไม่ได้อยู่ดี รัฐธรรมนูญจะเขียนอย่างไร ถ้าไม่ทำไม่ร่วมมือก็ไปไม่ได้อยู่ดี ผมบอกไว้ก่อน เพราะประเทศเพื่อนบ้านเขาไม่รอคอยเรา ประชาคมโลกเขาก็มีการพัฒนาก้าวหน้าไปทุกประเทศยกระดับตัวเองมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ แล้วเราจะรอเขาอยู่อย่างไร แล้ววันหน้าถ้าเขาแซงเราไปแล้ว เขาก็ไม่รอเราแล้ว เราก็จะเสียทั้งโอกาส เสียทั้งตำแหน่ง ในบทบาทที่สำคัญของเวทีการเมือง – เศรษฐกิจโลก อย่างน่าเสียดาย
อีกประการหนึ่งขอขอบคุณ กลุ่ม “มะโน ละเมอ” (Manoramer Group) ที่สร้างสรรค์คลิปและนำมาเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ (เมื่อ 30 มีนาคม 2558) ซึ่งเป็นการสร้างขึ้นมา โดยไม่ได้หวังผลกำไร และเพื่อเตือนคนไทยทุกคนว่า “เราสามารถทำให้ประเทศนี้ ดีขึ้นได้ ขอเพียงทำกันคนละนิด ในแบบที่ตนเองถนัด”
เรื่องความคืบหน้าการริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล
เมื่อเช้านี้ (17 เมษายน 2558) มีการสรุปผลงานของรัฐบาลในห้วง 6 เดือน ก็ต่อจาก 3 เดือนแรก ตามแนวทางนโยบาย ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ของรัฐบาลได้ประกาศไว้ 11 ด้าน ได้แถลงไปแล้ว กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2557) โจทย์ที่สำคัญของประเทศและรัฐบาลคือ การสร้างความรัก ความสามัคคี ปรองดองของคนในชาติให้ได้ แล้วก็แก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจของประเทศ ที่ไม่ได้มีการสร้างความเข้มแข็งไว้เพียงพอ ยังไม่มีความพร้อม ไม่มีมาตรการลดความเสี่ยงต่าง ๆ มาเป็นเวลาเกือบ 10 กว่าปีแล้ว ทำให้ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกนั้น มีผลกระทบกับเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นอย่างมาก หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เราไม่เตรียมการไว้ ก็คงยังทำแบบเดิมมาตลอด วันนี้ต้องแก้ไขทั้งหมด
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล เข้ามาบริหาราชการแผ่นดิน ก็ทำให้เศรษฐกิจ เมื่อปีที่แล้วติดลบอยู่ อย่าลืมตัวเลขติดลบไม่ใช่นำตัวเลขปีที่ไม่มีเหตุการณ์มาเทียบไม่ได้ เรารับมาติดลบอยู่ จาก 22 พฤษภาคม แล้ววันนี้เศรษฐกิจโลกก็แย่ลง แต่วันนี้ก็ตัวเลขก็ดีขึ้น โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 (ตุลาคม – ธันวาคม 2557) เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.3 เดิมเราตั้งไว้แค่ 2 ก็เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 (กรกฎาคม – กันยายน 2557) ขยายตัวร้อยละ 0.6 เอง เพราะฉะนั้นก็แสดงว่าความความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ
ในด้านเสถียรภาพของทางด้านเศรษฐกิจ ใน 2 เดือนแรกของปีนี้ มกราคม ถึง กุมภาพันธ์ 2558 ทั้งดุลการค้าและดุลบริการของประเทศยังคงเกินดุลอยู่ จำนวน 3,960 ล้านบาท และ 2,054 ล้านบาท ตามลำดับ และเมื่อรวมกับดุลเงินทุนแล้ว ประเทศเรายังมีดุลการชำระเงินที่เกินดุลจำนวน 2,889 ล้านบาท ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทอยู่บ้าง แต่ทางแบงค์ชาติ ก็ดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด ก็มีมาตรการที่รองรับไว้ตลอดเวลา
ในด้านเสถียรภาพภาคการคลัง รัฐบาลยังคงมีการจัดเก็บรายได้ที่สูงกว่าปีที่แล้ว โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ (ตุลาคม 2557- มีนาคม 2558) จัดเก็บรายได้สุทธิจำนวน 973,952 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 3.5 ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมจะเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัญหาที่มีผลกระทบโดยตรงต่อพี่น้องเกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย ธุรกิจ SME เหล่านี้ รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ หาทางทุกอย่าง ไม่ได้หยุดคิดเลยว่าทำอย่างไร ราคาสินค้าทางการเกษตรที่ตกต่ำจะทำอย่างไร การค้าขายภายนอก คือปริมาณมากกว่าเก่า แต่ราคาน้อยกว่าเก่า เป็นประเด็น ก็พยายามจะหาทาง ว่าทำอย่างไร จะใช้ในประเทศได้หรือไม่ อยู่ในตลาดชุมชนบ้างได้หรือไม่ แล้วไปสู่การแปรรูปได้หรือไม่ กำลังทำอยู่ ต้องใช้เวลา ตั้งโรงงานอะไรต่าง ๆ อย่างน้อยก็ ปี ถึงสองปี สามปี ก็จะทยอยมาตามลำดับ
เราก็ได้เร่งรัดจัดเตรียมมาตรการต่าง ๆ บางอย่างก็ทำไปแล้ว ผลักดันเม็ดเงินผ่านโครงการต่าง ๆ ให้เกิดการหมุนเวียนของเงินลงสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น เร่งรัดให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย ช่วยกันดำเนินการก่อสร้างถนนหนทางในพื้นที่ชนบท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการจัดหาแหล่งกักเก็บน้ำ ให้มีน้ำเพียงพอต่อการเกษตร กระทรวงการคลัง ดูแลเรื่องการให้กู้ยืมแก่ธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งตอนนี้ขาดสภาพคล่องให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว อันนี้ต้องดูแลธุรกิจขนาดเล็กด้วย การค้าปลีกอะไรต่าง ๆ ก็มีความเดือดร้อน กำลังจะให้เชิญธนาคารพาณิชย์ แล้วก็ธนาคารรัฐมาดูซิว่าจะช่วยเหลือกันอย่างไร
อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อมในการที่จะพัฒนาไปสู่ความยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องมีกฎ กติกาใหม่ เพื่อจะจัดทำกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับประเทศด้วย และได้รับการยอมรับว่าเราจะต้องปฏิรูปหรือไม่อย่างไร ถ้าประชาชนคิดว่าวันนี้เราดีอยู่แล้ว ผมก็ลำบากใจ ผมคิดว่าปัญหามีมาก ถ้าคนมาอยู่อย่างที่ผมอยู่ จะรู้ว่ามากขนาดไหน ไม่ใช่ข้อแก้ตัวพยายามทำเต็มที่แล้ว ไม่ได้หยุดเลย ก็ยังทำได้เท่านี้ เพราะฉะนั้นถ้าหากเราจะแก้ปัญหาที่ผ่านมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วประชาชนก็จะได้รับผลประโยชน์ที่เท่าเทียมเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำด้วยเหล่านี้ กำลังเดินมาถูกทาง ที่ให้เราได้มีโอกาสทำงานตรงนี้ แต่ต้องดูกันว่าจะร่วมมือกันต่อไป อย่างไร แก้ไขอย่างไร Road map ที่ว่าเป็นอย่างไร จะปฏิรูปได้หรือไม่ สำหรับการวางรากฐานที่มั่นคงในทุกมิติ 6 เดือนที่ผ่านมานั้น รัฐบาลดำเนินการไปแล้วเบื้องต้น แล้วก็พร้อมจะส่งต่อให้รัฐบาลต่อ ๆ ไป ถ้าสามารถได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล แล้วก็ยอมรับในกติกา เรื่องการปฏิรูป เราก็สามารถบรรลุวิสัยทัศน์ของประเทศได้คือ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ในทุกระดับ
สัปดาห์นี้ ผมขอชี้แจงความคืบหน้าบางประการ ให้พี่น้องได้รับทราบ ดังนี้
ด้านเกษตรกรรม อันนี้สำคัญลำดับต้น ๆ ของเรา ประเทศของเราเป็นประเทศเกษตรกรรม ปัญหาคือ เกษตรกรมีรายได้น้อย ราคาผลผลิตตกต่ำ ขาดความรู้เรื่องการตลาด น้ำแล้ง ขาดที่ดินทำกินเป็นของตนเอง รัฐบาลจึงได้กำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาอย่างครบวงจร และบูรณาการทุกหน่วยงาน ให้เป็นไปในแนวทางอันเดียวกัน เช่น
- การ Zoning ด้านพืช ปศุสัตว์ ต้องมีการนำร่อง ประมง ก็ต้องมีระบบส่งเสริมการเกษตรมิติใหม่ ทั้งพืช ปศุสัตว์ ประมง หรือจะหาอาชีพเสริมอะไรก็แล้วแต่ ก็ได้แก่การนำ MRCF System มาใช้ ได้แก่ M-Mapping คือเรียกว่า “ระบบแผนที่และฐานข้อมูล” ในการบริหารจัดการพื้นที่ทั่วประเทศ รวมทั้ง R-Remote Sensing “คือการเข้าถึงข้อมูลระยะไกล” ผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ ระหว่างบุคลากรภาครัฐ – เกษตรกร และ C-Community Participation “การมีส่วนร่วมของชุมชน” ด้วยการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ จำนวน 882 ศูนย์ เป็นของชุมชนเอง มีนักส่งเสริมการเกษตรเข้าไปจัดกระบวนการเรียนรู้ มีเกษตรกรต้นแบบ มีสินค้าจริง มีแปลงสาธิต และ F-Specific Field Service “มีจุดเน้นเฉพาะ” ไม่ไร้ทิศทาง สร้าง OTOP ให้เข้มแข็ง ก็ต้องเลือกกันมาว่าจะทำอะไร ทำแล้วขายได้ ทำแล้วมีลูกค้า ถ้าทำแล้วไม่มีลูกค้าก็เปล่าประโยชน์ เสียเวลา
- การจัดกิจกรรม Business Matching เพื่อสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ และพัฒนาสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวสินค้าท้องถิ่นและสินค้า OTOP และจัดให้มีตลาดชุมชนกว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ ในปัจจุบัน เพื่อลดกลไกพ่อค้าคนกลาง สร้างทักษะ ความรู้ด้านการตลาดให้แก่เกษตรกร รวมทั้งส่งเสริมการรวมกลุ่ม ตั้งสหกรณ์การเกษตร เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง และกำหนดราคาสินค้าในตลาดเองได้ อันนี้เราต้องทำควบคู่ไปกับในเรื่องของการบริหารจัดการน้ำ ตามยุทธศาสตร์ 10 ปี ก็คือทำทุกปี ทำไปเรื่อย ๆ จะไปจบในปี 2569 ก็เป็นไปตามงบประมาณที่มีอยู่ เราก็จะมองปัญหาน้ำทั้งระบบ จะไปดำเนินการแบบบูรณาการ ทุกกระทรวงเพื่อยุติปัญหาอย่างยั่งยืน ที่ผ่านมาไม่ต่อเนื่อง ไม่เป็นพื้นที่ ไม่เชื่อมโยง ก็ไม่จบกันซะที วันนี้เราจะทำให้จบ ก็ขนาดนี้ยัง 69 เลย งบประมาณเราก็จำกัด
ปัญหาการขาดแคลนน้ำภาคการผลิต น้ำอุปโภคบริโภค การป้องกันและบรรเทาอุทกภัย ต้องทั้ง 3 งานให้ได้พร้อมกัน และปัญหาคุณภาพน้ำ จากแหล่งกำเนิด 22 ลุ่มน้ำ และน้ำที่จะต้องเตรียมการ สำหรับผลักดันน้ำทะเลหนุน ด้วย 5 เขื่อนหลัก กับ 4 ลุ่มน้ำภาคกลาง การฟื้นฟูป่าต้นน้ำและป้องกันการพังทลายของดิน รวมทั้ง ระบบโทรมาตร และศูนย์ระบบป้องกันภัยน้ำท่วม โดยคาดว่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมในสิ้นปี 2558 นี้ เช่น
1. น้ำเพื่อการผลิต ได้แก่ การปรับปรุงระบบชลประทานเดิม 35,000 ล้านไร่ พัฒนาแหล่งน้ำใหม่ 1.6 ล้านไร่ ฟื้นฟูแหล่งน้ำและทางน้ำธรรมชาติ 2,000 กว่าแห่ง สระน้ำในไร่นา 50,000 บ่อ รวมทั้งสระน้ำชุมชนและระบบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร กว่า 1,500 แห่ง ครอบคลุมพื้นประมาณ 2 แสนไร่ เป็นต้น
2. น้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค ได้แก่ ประปาหมูบ้าน 2,310 หมู่บ้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบประปาชนบท 683 แห่ง จัดหาน้ำดื่ม น้ำบาดาลให้โรงเรียนและชุมชน 700 แห่ง โดยแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ทั้งระบบนี้ ได้รับความชื่นชมจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ครั้งที่แล้วมีการจัดวันน้ำโลก ก็จัดที่ประเทศไทยส่วนหนึ่ง เขาเห็นว่าเราเสนอแผนนี้ออกไป เขาพอใจเพราะเขาเห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ การเข้าถึงแหล่งน้ำของประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งหลายประเทศในโลกนี้ยังเข้าไม่ถึงเลย 70 กว่าเปอร์เซ็น เหมือนกัน เขาเห็นของเราเป็นรูปธรรมมากที่สุด อยากให้เราเป็น ตัวอย่าง เป็นแบบอย่างในการเตรียมความพร้อม และป้องกันสภาวะการขาดแคลนแหล่งน้ำของโลกในอนาคตได้ ถ้าเราไม่มีน้ำมาจากหิมะ มาจากน้ำแข็งเราก็ลำบาก เราต้องเตรียมการตั้งแต่วันนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถทำได้ ประชาชนคนไทยก็จะไม่เดือดร้อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงเป็นห่วงอยู่แล้ว พูดมาหลายปี รับสั่งมาหลายปีกับเราแล้วว่า เราจะมีปัญหาเรื่องน้ำในอนาคต คนมากขึ้นการเพาะปลูกถ้ายังทำแบบนี้อยู่ ใช้น้ำมาก ต้องแก้ทั้งหมด ทั้งใช้ที่ให้น้อย ใช้น้ำให้น้อย ได้ผลผลิต
ในเรื่องนี้เรื่องการเกษตรสำคัญที่สุด คือเรื่องของการลดต้นทุน วันนี้ผมสั่งการไปแล้วชัดเจนว่าต้องทำให้ได้ภายในปีการผลิตนี้ โดยเริ่มจากสหกรณ์ที่เข้มแข็งก่อน สหกรณ์ต้องเข้าไปดูแล ผมอาจจะจัดเครื่องไม้เครื่องมือให้สหกรณ์ที่เข้มแข็งอยู่แล้วในเวลานี้ ไปรวมกลุ่มมา แล้วก็ทั้งเมล็ดพันธ์ ทั้งปุ๋ยอินทรีย์ เครื่องจักรเครื่องมืออะไรต่าง ๆ รวมความถึงเรื่องโรงสีขนาดกลาง ขนาดเล็ก รวมความไปถึงโรงอบข้าวอะไรทำนองนี้ ไม่อย่างนั้นไปอยู่กับโรงสีใหญ่ ๆ หมด เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยตัวเองสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ให้ได้ เพราะฉะนั้น ทุกคนกรุณาไปขึ้นบัญชีสหกรณ์ ให้ได้ เราจะได้ดูแลตามลำดับความเร่งด่วนต่อไป ถ้าเอาพร้อมกันทั้งหมด ผมไม่มีสตางค์ให้อยู่แล้ว ตังก็ไม่พออยู่แล้วที่จะให้แบบเดิมไม่ได้แล้ว
เพราะฉะนั้น เราจะต้องทำให้เกิดความเข้มแข็งในชุมชนอย่างยั่งยืน และการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรน้ำอย่างเท่าเทียม
ด้านระบบโครงสร้างคมนาคมพื้นฐาน การสัญจรของคนในเมือง ระหว่างเมืองขนส่งสินค้าผลผลิตทางการเกษตรและโรงงาน – นิคมอุตสาหกรรม จากแหล่งผลิตสู่เมืองหลวง เมืองสำคัญ เมืองท่า หรือเมืองการค้าชายแดน และเพื่อเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยว และการเชื่อมโยงเมืองสำคัญของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
รัฐบาลได้จัดทำแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง 7 ปี พ.ศ. 2558–2565 ก็ทำเป็นรายปีไป อันไหนผูกพันได้ก็ผูกพัน อันไหนมีเงินพอ ก็ทำให้จบ ทำนองนี้ มีการร่วมทุนกัน ทั้ง จี ทู จี กับต่างประเทศ และอาจจะลงทุนร่วมกันกับภาคเอกชนขอเราเองด้วย ก็ขอเรียนว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ภายในปี 2558 นี้ มีอะไรบ้าง
1. การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง จะมีการส่งมอบรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) 489 คัน จาก 3,183 คัน ในเดือนกรกฎาคม 2558
2. Motorway 3 เส้นทาง ได้แก่ บางปะอิน – นครราชสีมา (196 กม.) บางใหญ่ – กาญจนบุรี (96 กม.) และ พัทยา – มาบตาพุด (32 กม.) ทั้งนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม สำรวจ ออกแบบเส้นทาง เพื่อจะลงมือก่อสร้างทันที ให้พร้อมใช้งานในปี 2562
3. รถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล 10 เส้นทาง 464 กิโลเมตร โดยสายสีน้ำเงินตะวันออกเปิดให้บริการแล้วสายสีม่วงเหนือจะเปิดบริการในปีหน้า สายสีน้ำเงินตะวันตกและสายสีเขียวใต้ อยู่ระหว่างก่อสร้าง จะแล้วเสร็จตามกำหนด พร้อมใช้งานในปี 2563 ส่วนสายที่เหลือ 6 สาย จะอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอน ตามกฎหมายจนแล้วเสร็จในปี 2563 ทั้งหมด
4. โครงข่ายรถไฟทางคู่ระหว่างเมือง ระยะเร่งด่วน 6 เส้นทาง 903 กิโลเมตร ได้แก่ เส้นทางฉะเชิงเทราคลอง 19 แก่งคอย 106 กิโลเมตร เส้นทางมาบกะเบา ถนนจิระ 132 กิโลเมตร เส้นทางถนนจิระ ขอนแก่น 185 กิโลเมตร เส้นทางลพบุรี ปากน้ำโพ 148 กิโลเมตร เส้นทางประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร 167 กิโลเมตร เส้นทางนครปฐม หัวหิน 165 กิโลเมตร ทั้งหมดจะเริ่มก่อสร้างในปี 2558 โดยประมาณ และจะแล้วเสร็จในปี 2561
5. ระบบขนส่งโดยสารทางน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ให้สามารถรองรับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวได้ 200,000 คนต่อวัน และเชื่อมโยงการเดินทางกับระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภทได้ มีการยกระดับท่าเทียบเรือ ทั้ง 19 แห่งให้เป็น “สถานีเรือ”
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล อันนี้ก็ขอความกรุณาว่าอย่าขัดแย้งกันมากเลย เราพยายามที่จะดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบ เยียวยาให้สบายใจ ถ้าเราไม่สร้างตรงนี้ก็เป็นปัญหาอีก ประตูการค้าฝั่งอันดามันเราจะไม่มีแล้วก็เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าสู่ทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกาไม่ได้
ต่อไปก็คือโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง ท่าเทียบเรือ A ท่าเรือแหลมฉบังโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 2 ทั้งนี้ เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้ 30 ล้านคนต่อปี โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร 12.5 ล้านคนต่อปี และโครงการพัฒนาท่าอากาศยานทหารอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานนานาชาติแห่งที่ 3 เป็นต้น รวมทั้ง ความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างไทย จีน ไทย ญี่ปุ่น ผมได้เรียนให้พี่น้องทราบเป็นระยะ ๆ แล้ว
โครงการเหล่านี้ทั้งหมดเป็นเสมือน “เส้นเลือด” ที่หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจของเราทั้งภายในและระหว่างประเทศ รัฐบาลนี้ได้ริเริ่ม เร่งรัด ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้ คือ ต้องบอกประชาชนให้ทราบไว้ก่อนไม่มาบอกทีหลัง ทำอะไรต้องบอกก่อนแล้วก็มั่นใจว่าถ้าทำสำเร็จก็จะเป็นสิ่งที่ดี ถ้ามาบอกทีหลังก็เหมือนเราไปงุบงิบ ๆ ทำ ไม่ใช่ ผมก็บอกมาตลอดก็ขอให้เข้าใจด้วย เราจะต้องยกฐานะขีดความสามารถในการแข่งขันของเราให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจในภูมิภาคในเวทีโลกให้ได้
การจัดตั้งศูนย์บริการด้านธุรกิจ (One Stop Service) นั้น เราก็ได้ “พลิกโฉม” การให้บริการภาครัฐ ที่เคยเป็นอุปสรรควงจรธุรกิจต่าง ๆ ขจัดช่องทางการทุจริตได้ด้วย การจ่ายเงินใต้โต๊ะของเจ้าหน้าที่บางส่วน อันนี้จะต้องไม่ให้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เราจะเปิดให้บริการข้อมูลอำนวยความสะดวกมีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนแก่ผู้ประกอบการและนักลงทุนในหลากหลายช่องทาง
ขอเรียนอีกทีว่า ตรงนี้หลายท่านก็ยังบอกว่าไม่รู้อะไรที่ไหนอย่างไร ได้ยินแต่พูดแต่ไม่รู้จะไปไหน นี่ผมพูดให้ฟังแล้ว ได้แก่ 1. ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน (One Start One Stop Investment Center) โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับด้านธุรกิจและการลงทุนมากกว่า 20 หน่วยงานร่วมบริการให้คำปรึกษา และให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจจะเป็นการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการขออนุมัติ อนุญาตต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการลงทุน การจดทะเบียนนิติบุคคล การขออนุญาตประกอบธุรกิจคนต่างด้าว อันนี้ก็จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการจัดตั้งอยู่
2. ศูนย์บริการต่อวีซ่าใบอนุญาตทำงาน (One - stop Service Center for Visas and Work Permits ) ให้บริการต่ออายุวีซ่า การขอใบอนุญาตทำงาน ขยายระยะเวลาใบอนุญาตทำงาน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) สำนักงานตรวจสอบคนเข้าเมือง กระทรวงแรงงานร่วมให้บริการ
3. ในเรื่องของศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนในภูมิภาค 6 แห่ง อันนี้ถ้าใครจะไปลงทุนต่างจังหวัดก็มีอยู่ 6 แห่ง ที่จังหวัดเชียงใหม่ นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี สงขลา และสุราษฎร์ธานี ก็จะให้บริการข้อมูลตลอดจนรับคำร้องและพิจารณาอนุมัติตามที่ได้รับมอบอำนาจ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น อันนี้เป็นตัวอย่างเท่านั้น ในการแจ้งผลงานของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกพวกทุกฝ่ายอย่างดียิ่งก็จะเป็นการเริ่มต้นในการวางรากฐานของประเทศที่ดี ที่มั่นคง ในทุกมิติ ขอขอบคุณในการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน หวังว่าจะได้รับการสานต่อ จากทุก ๆ รัฐบาลต่อไป โดยพี่น้องคนไทยทุกคน ข้าราชการทุกท่าน ต้องช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของชาติ เพื่อให้แผนยุทธศาสตร์ต่าง ๆ สำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วยครับ
อีกเรื่องหนึ่งอยากจะคุยกับพวกเราเท่านั้น ไม่ได้ไปตำหนิติเตียนใครมีคนเขียนมาในสื่อ หนังสือพิมพ์ ผมก็อ่านมาก็เข้าท่าดีเหมือนกันไม่รู้ว่าจะเห็นเป็นอย่างไร เขาบอกว่านิสัยที่ไม่ดี ๆ ของคนไทยก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่ดีอยู่แล้ว ดีมากกว่าไม่ดี ไม่อย่างนั้นก็เราคงเป็นประเทศไทยมาถึงทุกวันนี้ไม่ได้ ส่วนที่ไม่ดีแต่สำคัญหรือไม่ ไม่รู้ ท่านลองฟังดู
1. ไม่ชอบศึกษาอะไรที่เป็นรายละเอียด ที่มีปีกย่อยมาก ๆ คือ ไม่คิดแล้วก็เร่งรีบวิจารณ์ไปก่อน เช่น พูดเรื่องภาษีก็โวยมาก่อนว่าเก็บเงินอีกแล้วอะไรทำนองนี้ ไม่ดูว่าจะดีหรือไม่ดี จำเป็นต่อประเทศหรือไม่ ประเทศจะพัฒนาได้อย่างไร พอเห็นพาดหัวข่าวจากสื่อที่ค่อนข้างจะเลือกข้างบ้างอะไรบ้างหรือหัวเว็บไซต์ต่างก็ด่ารัฐบาลบ้าง ด่าคนคิดบ้าง คือยังไม่รู้เลยว่าเขาจะทำเพื่ออะไร บางทีมีวาทกรรม เดี๋ยวผมจะพูดให้ฟังวาทกรรม
2. นักการเมืองที่เป็นนักเลือกตั้ง คนดี ๆ มากแต่บางคนก็ยังใช้วิธีการเดิม ๆ อยู่ วัน ๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตารอว่าใครจะพลาดตรงไหนจะเก็บคะแนนได้ตรงไหนแล้วก็ฉวยโอกาสโจมตีทุกคนที่พลาด ไม่ว่าจะนักการเมืองด้วยกัน ไม่ว่าจะรัฐบาลหรือใครก็แล้วแต่ที่ตั้งใจจะมาทำความดีก็ด่าไปหมด ใช้วาทกรรมเจ็บ ๆ
วันนี้รัฐบาลพยายามจะทำเพื่อคนจนก็มาหาว่ารัฐบาลแกล้งคนจน ไม่มีจะกินอยู่แล้ว เอาแต่ขูดรีด เก็บภาษี ซึ่งก็ยังไม่ได้ไปเก็บตรงไหนเลย ถ้าเราต้องการให้ประเทศก้าวหน้าต้องปฏิรูปคนสองพวกนี้ก่อน นิสัยไม่ดี คือ นิสัยไม่ศึกษาอะไรให้ละเอียดแล้วก็ตำหนิติเตียน อันที่สองก็คือ ไม่นึกถึงสังคมส่วนรวม
สังคมไทยตกอยู่ในสังคมวาทกรรม เชือดเฉือนด้วยถ้อยคำมากกว่าให้โอกาสพิสูจน์การทำงาน ประเทศต้องการเงินงบประมาณไปทำให้ประชาชนเติมในสิ่งที่ขาด สร้างความเข้มแข็ง ทำอย่างไรคนยากจนไม่เหลื่อมล้ำ เป็นธรรมอะไรเหล่านี้ ไม่ให้เดือดร้อนก็กลับไปพูดเป็นวาทกรรมว่า ก็อุตสาห์หาเงินซื้อบ้านมาแทบตายยังจะมาเก็บภาษีบ้านเราอีก อย่างนี้ใช่หรือเปล่าผมไม่รู้ หรือรู้หรือยังว่าที่เขาพูด ๆ กันออกมาเป็นการเสนอให้คิดแล้วตัวเองดูหรือยังว่าเก็บจากใคร เก็บเท่าไหร่ เก็บเมื่อไหร่ยังไม่รู้เลยก็ว่าไปก่อน เพราะไม่ได้ดูตัวเอง อะไรที่เสียก็ไม่ยอมทั้งสิ้น แล้วไปสร้างวาทกรรมผิด ๆ ออกมา แล้วก็ติไว้แล้วประเทศชาติจะไปตรงไหน สร้างแนวร่วมว่าไปก่อน
รัฐบาลนี้ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ต้องการความร่วมมือในการแก้ปัญหา ท่านอย่าไปสร้างความเข้าใจผิด ไม่คำนึงถึงผลเสียต่อประเทศชาติและประชาชน
เรื่องภาษี ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องส่วนรวมของประเทศ คนไทยหลายคนไม่ชอบอยู่แล้วเรื่องภาษี แต่เมื่อถามดูว่าเทียบกับรถคันแรก จำนำข้าว พอแต่ละคนได้ประโยชน์ ส่วนรวมเสียประโยชน์ วันนี้ไม่เห็นมีใครพูดถึง ชื่นชมด้วยซ้ำไปว่าทำดีเพื่อประชาชน เสียหายเท่าไหร่ไปดู
อันตรายนะครับ นักการเมืองเหล่านี้ ก็พยายามจะทำไปสร้างความนิยมส่วนตัวแล้วก็ของพรรคการเมืองอะไรก็แล้วแต่ ด้วยการใช้วาทกรรม ผมว่าเลิกสักทีใช้วาทกรรมที่ฟังดูแล้วแปลก ๆ ไม่รู้จะทำอะไร มีหลายคนพูดแล้วว่าต้องทำอย่างไรให้คนจนมาอยู่กับเราให้ได้ อันที่สองจะทำอย่างไรให้สื่อมาอยู่กับเราให้ได้ มีคนพูดเรื่องนี้อยู่แล้วเราจะชนะทุกอย่าง ซึ่งผมไม่ได้ใช้แบบนั้น เพราะฉะนั้น อย่าไปสร้างวาทกรรมว่าคนจนจะได้ลืมตาอ้าปากสักที ให้ราคาข้าว ราคาผลิตผลเกษตรสูง ๆ หรือให้ไปผ่อนรถคันแรกคืนภาษีให้เหล่านี้แล้วก็บางคนเขาบอกว่าจะไม่ให้คนจนมีโอกาสหรืออย่างไร ไม่มีโอกาสที่จะขับรถเลยหรืออย่างไรแล้วขับได้หรือไม่ ผ่อนเขาไหวไหม ในเมื่อตอนเองยังไม่ได้สร้างรายได้กับเขาเลยแล้วไปให้เขาซื้อก่อนจะเป็นอย่างไร Demand กับ Supply ก็เป็น Demand เทียมทั้งหมด ขยายโรงงานไปมากมายแล้ววันนี้ขายได้น้อยลงก็บอกว่าเป็นความผิดของรัฐบาลเข้าไปอีก ทั้ง ๆ ที่ขยายสมัยใครก็ไม่รู้ไปหามา ขยายเพราะรถคันแรกบางคนก็ซื้อกันมาก ซื้อกันมากก็ต้องขยายโรงงาน
วันนี้พอไม่มีสตางค์ซื้อต้องมายึดคืนกันหมดแล้วทำอย่างไร แต่เสียเงินไปแล้วรายละแสนเท่าไหร่ละ ก็โอเคเขาบอกว่ากลับไปให้ประชาชน ผมถามว่ากลับไปที่ประชาชนจริง ๆ ทั้งหมดเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นไม่มีระบบอะไรที่จะสร้างความปรองดองในประเทศได้ ไม่มีระบบการปกครองใดทำให้ประเทศเจริญได้หากคนในชาติยังไม่ได้รับการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตน แนวคิด ในทุกกลุ่มทุกภาคส่วนต้องมีการเปลี่ยนแปลงก็คือต้องศึกษารายละเอียดให้มากขึ้น ฟังก่อนพูด คิดก่อนทำแล้วก็คำนึงถึงส่วนรวมมาก่อนส่วนตนแล้วก็สิ่งใดที่เป็นการขัดขวางความเจริญของประเทศก็ไม่สมควรทำ
รัฐบาลจะจับตาดูบุคคลเหล่านี้ว่าเขาทำให้ประเทศชาติเสียหายหรือเปล่า อันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องดูกัน เพราะฉะนั้น ประชาชนช่วยกันดูด้วย ช่วยกันพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าเขาพูดมาเป็นจริงหรือไม่ แล้วผมพูดมาจริงหรือไม่ไปดูว่าเกิดขึ้นตรงไหนบ้าง อันไหนเกิดก่อน อันไหนเกิดหลัง อันไหนต้องเกิดระยะยาว เกิดพร้อมกันไม่ได้หรอกครับ เพราะว่า หมักหมกมายาวนาน เพราะฉะนั้นเราจะทำเรื่องเหล่านี้ให้เป็นจริงจัง สำเร็จ เพื่อประชาชน ประเทศชาติการปรองดองถึงจะเกิดขึ้น ต้องช่วยกันรัฐบาล ข้าราชการ ประชาชนแล้วก็คำว่า สิทธิ เสรีภาพ หน้าที่เคารพกฎหมายศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม เป็นสิ่งสำคัญประกอบกันทั้งหมด
ต่อไปผมจะเชิญ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีเข้ามาดูแลด้านเศรษฐกิจมาพูดคุยทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของประเทศ
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (รอง นายกฯ) กล่าวว่า
สวัสดีครับ ท่านผู้ชม ผมขอเวลาสัก 30 นาที เพื่อจะรายงานให้ทราบถึงความคืบหน้าด้านเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นมาในช่วง 6 เดือนนี้ วันนี้ผมมีรัฐมนตรีมาด้วย 2 ท่าน ท่านแรกคือ นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (รมว.อก.) 2. นายปีติพงษ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รมว.กษ.)
ท่านผู้ชม ผมคงจะขอเริ่มด้วยการเล่าให้เห็นภาพกว้างของเศรษฐกิจไทยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา อยากจะขอย้อนไปถึงปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2557) ดูตารางแรกจะเห็นว่า เมื่อตอนต้นปีที่ผ่านมานั้น อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรก ติดลบถึง 0.5%ไตรมาสที่ 2 บวก 0.4 % ถึงไตรมาสที่ 3 บวก 0.6% ตอนที่รัฐบาลนี้เข้ารับหน้าที่นั้น เศรษฐกิจชะลอตัวมาก พวกเราก็คิดว่า จะทำอย่างไร จะเร่งเศรษฐกิจให้โตขึ้น เพราะถ้าขืนให้อยู่ในอัตรา 0.6 % นั้นไม่ไหวแน่นอน ก็ได้นั่งคุยกัน ก็เลยออกมาว่า เราต้องเร่งเศรษฐกิจด้วยการ เร่งการใช้จ่ายงบประมาณออกเป็นอันดับแรกก่อน และเร่งทำงานทุกกระทรวงให้ดี ให้เร็วที่สุด ให้ได้ จากการที่เราเร่งนั้น ปรากฏว่าเราสามารถทำให้เศรษฐกิจเราขยายตัวเพิ่มจาก 0.6% เป็น 2.3 % ได้ในไตรมาสที่ 4 ถามว่าการขยายตัว 2.3% มาจากไหน ถ้าดูในตารางถัดไปท่านก็จะเห็นได้ว่าตัวที่เป็นพระเอกจริง ๆ มี 3 ตัว คือ 1. การใช้จ่ายภาครัฐ หมายถึงรายจ่ายประจำที่เบิกงบประมาณไปนั่นเอง มีการเร่งจ่ายงบประมาณใน 3 เดือนนี้มาก จนทำให้ขยายตัวสูงกว่า 3 เดือนเดียวกันของปี 2556 ถึง 5.5% ตัวนี้เป็นตัวที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก 2. คือการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งเรานึกว่าไม่ได้ขยายตัว แต่แท้ที่จริงแล้ว การลงทุนภาคเอกชนในไตรมาสที่ 4 หรือว่าปีที่ผ่านมาสูงถึง 4 % ซึ่งในเศรษฐกิจขณะนี้ถือว่าสูงมาก และ 3. คือ การส่งออกบริการ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การท่องเที่ยวนั่นเอง รายได้จากการท่องเที่ยวหรือการส่งออกบริการนั้น เพิ่มสูงขึ้นถึง 11.4 % ปัจจัย 3 ปัจจัยนี่ เป็นปัจจัยที่ช่วยทำให้เศรษฐกิจในไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมาขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.3% ได้
ขณะนี้มาดูไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ ในประเด็นแรกของปีนี้ ถ้าถามว่าปัจจัยอะไรที่เป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี ก็มี 3 ปัจจัยเช่นเดียวกัน แต่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย การใช้จ่ายภาครัฐคงขยายต่อไปแต่ไม่มากนัก แต่ตัวที่กลับมาขยายมากก็คือการลงทุนภาครัฐคือโครงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสร้างถนน สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล อันนี้เริ่มมาเป็นตัวที่กระตุ้นเศรษฐกิจตัวสำคัญในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นถึง 5% การลงทุนเอกชนยังคงขยายตัวต่อไปในอัตรา 4% ซึ่งถือว่าดี สำหรับโลกที่ชะลอตัวขณะนี้ และปัจจัยที่เพิ่มมากที่สุด แม้จะฐานเล็ก คือการส่งออกบริการ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือการท่องเที่ยว รายได้เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 15%
ตัวเลขของไตรมาสที่ 2 นี้ ผมได้จากตัวเลขจริงของเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ผมประมวลเหตุการณ์เดือนมีนาคมใส่เข้าไป เป็นการประมาณการที่ถือว่าใกล้เคียงที่สุด แม้ว่าการส่งออกจะติดลบถึง 4% อันนี้ทุกคนก็ใจหายพอสมควร เพราะว่าการส่งออกเราไม่ได้หดตัวมานานแล้ว ในปีที่ผ่านมาก็ประมาณใกล้ ๆ ศูนย์เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง เพราะเพิ่ม 1% ด้วยซ้ำไป แต่ปีนี้การส่งออก 2 เดือนแรกนี้ เฉลี่ยประมาณ 4% นิด ๆ เมื่อรวม 3 เดือนแล้ว จะหดตัวถึง 4% แต่เนื่องจากการลงทุนภาครัฐก็ดี การลงทุนเอกชนก็ดี และการส่งออกบริการก็ดี เพิ่มสูงมาก ก็เลยชดเชยการส่งออกสินค้าที่ลดลงไปได้ โดยรวมแล้วเชื่อว่าทำได้สูงกว่า 3%
อยากจะสรุปอีกครั้งหนึ่งว่า เศรษฐกิจของไทยนั้น ถึงแม่ว่าการส่งออกไม่ขยายตัว เพราะโลกชะลอตัวลง ไม่ได้มีความบกพร่องของใคร โลกชะลอตัวลงใน 2 เดือนแรก เศรษฐกิจประเทศจีนซื้อสินค้าจากเราลดลงมากถึง 11% เศรษฐกิจจากยุโรปก็ซื้อสินค้าลดลงจากเรา เศรษฐกิจจากญี่ปุ่นก็ซื้อจากเราลดลง อาเซียนเองก็ลดลง คงมีอเมริกาที่เรายังเพิ่มขึ้นได้ ผมเชื่อว่าพอถึงไตรมาสถัดไป เนื่องจากจีนได้กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ยมา 2 ครั้งแล้ว และเนื่องจากยุโรปได้กระตุ้นเศรษฐกิจโดยการใส่เงินที่เขาเรียกมาตรการ QE (Quantitative Easing) ใส่เงินในระบบมา 3 เดือนติดต่อกันแล้ว เชื่อว่าทั้ง 2 เศรษฐกิจนั้นจะกลับมาซื้อสินค้าเราเพิ่มขึ้น โดยภาพรวมแล้วยอดการส่งออกคงไม่น่าจะลดลงอีกต่อไป หากการส่งออกไม่ลดลงอีกต่อไปและปัจจัยอื่น ๆ เช่นการลงทุนภาคเอกชนก็ดี การลงทุนภาครัฐก็ดี ยังมีการขยายตัวต่อไป และการท่องเที่ยวค่อนข้างจะขยายตัวต่อไป เนื่องจากมีแรงส่งจากนักท่องเที่ยวจากยุโรป อเมริกา อันเนื่องจากการที่ยกเลิกกฎอัยการศึกไปแล้ว
สิ่งเหล่านี้ ทำให้เชื่อได้ว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ของปีนี้ และไตรมาส 3 ของปีนี้ น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากที่เป็นอยู่ในไตรมาสนี้อีก ถ้าการส่งออกไม่ลดลงไปอีก แต่การขยายตัวของการลงทุนภาครัฐเดินต่อไป การขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนเดินต่อไป และการท่องเที่ยวเดินต่อไป เศรษฐกิจเราน่าจะดีขึ้นกว่านี้แน่นอน เพราะเหตุนี้เองผมอยากให้พวกเรามาพบกับท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ท่านจะอธิบายให้เห็นว่าทำไม การลงทุนภาคเอกชน ซึ่งเรานึกว่าซบเซานั่นโดยแท้จริงขยายตัว ขอเชิญท่านรัฐมนตรี นายจักรมณฑ์ ผาสุกวานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
รมว.อก. : ขอบคุณครับท่านรองนายกรัฐมนตรี จริง ๆ แล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปีที่แล้วจนมาถึงวันที่ 31 มีนาคม ปีนี้ จริง ๆ แล้วมีการขยายตัวด้านภาคการผลิตทางด้านอุตสาหกรรมไปมากพอสมควร ผมขอยกตัวอย่างในเรื่องของโครงการที่มายื่นขอ ร.ง. 4 หรืองโรงงาน 4 ปรากฏว่าเรามีถึงประมาณ 5,000 โครงการ ที่มายื่นขอแล้วก็เป็นเงินลงทุนประมาณ 5 แสน 5 หมื่นล้านบาท ครึ่งล้านจำง่าย ๆ ก็จะมีคนงานประมาณ 2 แสนคน อันนี้ตัวเลขที่มาขอแต่ตัวเลขที่มาขอเปิดโรงงานดีกว่าแล้วก็มาบอกให้ทางเจ้าหน้าที่ของทางกรมโรงงานไปตรวจดูโรงงานอะไรต่าง ๆ เพื่อที่เขาจะประกอบกิจการ
ตัวเลขนี้ซึ่งก็จะน้อยกว่าคำขอที่จะมาขออนุญาตโรงงานก็จะปรากฏว่ามีจำนวนโรงงานประมาณ 3,500 โรงงานที่มาแจ้งเปิดกิจการดำเนินงานเลยในช่วงตั้งแต่พฤษภาคมปีที่แล้วจนมาถึงเดือนมีนาคมปีนี้ ทั้งหมด 3,500 โรงงาน มีการลงทุน 350,000 ล้านโดยประมาณแล้วก็มีการจ้างงานทั้งสิ้น 1 แสน 3 หมื่นคน อันนี้ผมยังไม่ได้รวมตัวเลขของการนิคมอุตสาหกรรม เพราะโครงการนิคมอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะได้รับการส่งเสริมการลงทุนและระบบการขออนุญาตจะไม่ได้มาเรื่องของการออก ร.ง. 4 เพราะอนุญาตได้เลย
อีกประมาณ 5 หมื่นกว่าล้าน แต่นี่ยังไม่ได้รวมแต่ในกรณีโรงงานนิคมอุตสาหกรรมจะเป็นโรงงานขนาดใหญ่ ใช้เครื่องจักรใหญ่ ลงทุนมากแต่จำนวนจ้างงานอาจจะน้อยแล้วก็ในเรื่องของจำนวนโรงงานก็จะสู้กับ ร.ง. 4 ของกรมโรงงานไม่ได้ แต่ถ้ารวมยอดลงไปก็จะมียอดลงทุนทั้งหมด 4 แสนล้าน ตั้งแต่ 23 พฤษภาคมจนถึง 31 มีนาคม 4 แสนล้านแล้วก็จะมีการจ้างงานประมาณ 1 แสน 3 หมื่นหรือ 1 แสน 4 หมื่น อันนี้ก็คือยอดตัวเลขสรุป
อย่างไรก็ตามผมขอเรียนว่าผมยังไม่ได้รวมโครงการที่มาขออนุญาตอาชญาบัตร ประทานบัตรเรื่องเกี่ยวกับเรื่องเหมืองแร่ กรณีนี้ก็มีคนมายื่นขอประทานบัตรไปแล้วก็เราเซ็นอนุมัติ 195 ราย แค่ 6 เดือนเท่านั้น เพราะว่าบังเอิญผมไม่ได้นำตัวเลขยอดไปจนถึงพฤษภาคมแต่ในช่วงนั้นก็ไม่มีการเซ็นใหม่อยู่ดี เราอนุมัติไปที่ว่าเซ็นไปแล้ว 195 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 4 หมื่น 4 พันล้านแล้วก็ถ้าไม่นับต่อเนื่อง เพราะว่าไปลงทุนปั๊บก็จะเกิดแร่ที่ออกมา เราก็คำนวณแร่ที่ออกมาจากการที่เราไปอนุมัติเหล่านี้ประมาณอีก 2 แสนกว่าล้าน ซึ่งก็จะเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่าง ๆ อันนี้เป็นยอดลงทุนทางภาคเอกชนก็สรุปประมาณ ตัวเลขก็คือว่าที่เกิดขึ้นจริง ๆ ผมก็ขอนำ 4 แสนล้านที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
อยากจะเรียนว่า มีอะไรที่ลงทุนมากมายก็บอกได้เลยว่าเป็นอุตสาหกรรมเกษตร เรื่อง แปรรูปอาหารมามากที่สุด รวมทั้งอุตสาหกรรมเครื่องดื่มทั้งหลาย อันนี้จะมีมากที่สุด
ต่อมาก็เป็นเรื่องของชิ้นส่วนรถยนต์ ชิ้นส่วนโลหะซึ่งอันนี้ก็ไปสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ บังเอิญว่าเราก็มีอีโคคาร์อะไรต่าง ๆ แล้วที่ตามถัดมาก็คือ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับพลังงานไม่ว่าในเรื่องของผลิตกระแสไฟฟ้าจากชีวมวลอะไรต่าง ๆ ที่เรียกว่าพลังงานทดแทนที่กลับมาใช้ได้Renewable Energy อันนี้มีอยู่เป็นจำนวนมากแล้วตามมาด้วยอุตสาหกรรมเคมีต่าง ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าดูในภาพรวมทางภาคอุตสาหกรรมรวมทั้งเหมืองแร่ต่าง ๆ ก็เป็นตัวที่สร้าง (gross domestic product : GDP) หรือสร้างรายได้ให้กับประชาชนพอสมควรทั้งดูในด้านจ้างงานอีกส่วนหนึ่งที่อยากจะเรียนที่เป็นข้อมูลที่เราได้รับมาก็คือ ทางด้านของยอดส่งออกรถยนต์ ในเดือนมกราคมแล้วก็เดือนกุมภาพันธ์เกิน 10% ขึ้นไป แล้วก็ยอดรวมเฉพาะเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ที่บอกว่าดูไม่ค่อยดีแต่ยอดรวมผลิต 3% หมายถึงว่ามากกว่าช่วงเดียวกัน แต่เนื่องจากยอดส่งออกนี่สูงแต่ว่ายอดการซื้อในประเทศอาจจะต่ำ แต่ยอดรวมถือว่าดีแล้ว
มีตัวเลขอีกหลาย ๆ ตัวในภาคอุตสาหกรรมก็คือ เช่น การนำวัตถุดิบเข้าในเดือนกุมภาพันธ์อย่างเดียวเพิ่มขึ้นเกือบ 20% อันนี้ก็เป็นเครื่องชี้ว่าจะมีการผลิตเกิดขึ้นในช่วงถัดไป คือ เราสังเกตว่าในแง่ของภาคการผลิตทุกอย่าง ตัวเลขกระเตื้องขึ้นโดยเห็นชัดเจนแล้วเป็นการใช้ตัวเลขที่ไม่ใช่ตัวเลขที่นำของจริง คือ การนำเข้าวัตถุดิบนี่ก็ของจริง แจ้งประกอบการ เริ่มประกอบการนี่ก็เป็นตัวเลขของจริงหมด ผมมีเรื่องที่จะเรียนเพียงเท่านี้
รอง นายกฯ : ท่านรัฐมนตรีครับ ท่านออกใบอนุญาตไปแล้ว ประมาณ 5,000 รายแล้วเขาก็มาแจ้งเพื่อเปิดโรงงานประมาณ 3,500 ราย ผมสงสัยว่าพวกนี้ทำไมถึงมาอนุมัติมากในช่วง 8 – 9 เดือนที่ผ่านมา ทำไมเดิมไปค้างอยู่ที่ไหน ท่านพอเล่าให้ฟังได้ไหม
รมว.อก. : อันนี้ปัญหาหนึ่งในกระบวนการอนุมัติโครงการ ในช่วงก่อนหน้านั้นก็มีปัญหาติดขัดพอสมควรแล้วก็หลังจากที่ คสช. ได้เข้ามาบริหารบ้านเมืองรวมทั้งเป็นรัฐบาลชุดนี้ต่อนี้ไปที่มาจนถึงปัจจุบันก็ได้พยายามแก้ไขเรื่องของการที่จะไปยื่นขออนุญาตไม่ใช่เฉพาะของ ร.ง.4 รวมทั้งเหมืองแร่อะไรต่าง ๆ เรากำหนดเวลาชัดเจนว่าเมื่อไหร่ เมื่อคุณมาขออย่างกรณีของโรงงานเรากำหนดเหลือภายใน 30 วัน เหมืองแร่ไม่เกิน 45 วัน แล้วขอใบอนุญาตของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เกี่ยวกับเรื่องมาตรฐานสินค้าไม่เกิน 23 วัน อันนี้เรากำหนดชัดเจนแล้วก็ผู้ที่มายื่นขอไปเช็คออนไลน์ได้เลยว่าโครงการขนาดนี้ สมมติภายใน 30 วัน ขนาดนี้เขาอยู่ที่โต๊ะไหน หรือไว้ที่จุดไหน ซึ่งก็ทำให้เกิดความสบายใจ เหมือนกับว่ามีการอนุมัติค่อนข้างมากในช่วงนี้ เพราะว่าหนึ่งเขาก็สบายใจ แล้วอีกอย่างคือว่าไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของการล่าช้าอะไรต่าง ๆ อันนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไม หลังจาก 22 พฤษภาคมแล้วโครงการที่มาอนุมัติอยู่ในล็อตที่ค่อนข้างสูง
รองนายกฯ : อย่างที่บอกว่าใบอนุญาตประกอบโรงงานออกภายใน 30 วันหรืออันที่เรียกว่าประทานบัตรสำรวจแร่ใน 45 วัน อันนี้ออกเป็นระเบียบหรือกฎหมายหรือเป็นกฎกระทรวงหรือเปล่าครับ
รมว.อก. : อันนี้เราออกเป็นเรื่องของระเบียบของกระทรวง แต่จริง ๆ แล้วจะมีกฎหมายซึ่งออกมาแล้วตั้งแต่ 22 มกราคม เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายอำนวยความสะดวกในการอนุญาตต่าง ๆ ข้อราชการ ซึ่งนั่นเราจะใช้เป็นแม่แบบด้วยแต่ถึงตัวกฎหมายแม่ที่ออกมาแล้วเราได้กำหนดใช้ก่อนที่ตัวพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อำนวยความสะดวก เรื่องอนุญาตให้ประชาชนออก เพราะฉะนั้นผมคิดว่าอันนี้ก็คงเป็นส่วนหนึ่ง เพราะว่า ในเรื่องของการลงทุน เรื่องของใบอนุญาตคำขอต่าง ๆ เมื่อมีความสะดวกแล้วก็คนก็มีความรู้สึกว่าอยากจะมาขอ อยากที่จะไปติดต่อ อยากที่จะไปลงทุนบ้าง ถ้าตรงนั้นเป็นตัวติดขัดแล้ว ผมก็คิดว่าเกิดความรู้สึกว่า ไม่ค่อยอยากที่จะเริ่มลงทุนอะไรนัก
รอง นายกฯ : ขอบคุณมากครับ ท่านรัฐมนตรีครับ ท่านผู้ชมครับฟังดูก็เหมือนกับทุกอย่างราบเรียบที่ยังมีปัญหาก็คงเป็นเรื่องของการส่งออกซึ่งหดตัว ผมเชื่อว่าหลังจากเมษายนไปน่าจะดีขึ้น แต่ในภาคที่ว่าทั้งหมดเราก็มีจุดอ่อนของเศรษฐกิจเหมือนกัน ทุกคนทราบดีว่าในสินค้าเกษตรอยู่ 2 ตัว คือ ข้าว และยาง ซึ่งราคาใน 6 เดือนที่ผ่านมานี้ ต่ำกว่าเมื่อปีก่อนนั้นมากพอควรทีเดียว ในขณะที่ภาคเกษตรโดยเฉพาะเรื่องข้าวและยางมีรายได้ต่ำกว่าคนอื่น
ผมอยากจะเรียนถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า ท่านได้มีการกระทำที่เข้าไปช่วยชาวนาที่ปลูกข้าว หรือชาวสวนยางอย่างไรบ้างเพื่อให้เขา อย่างน้อยเขามีอะไรที่ปะทะปะทังไปให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้
รมว.กษ. : อย่างที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวตอนที่พวกเราเข้ามาทำงานเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ปัญหาหลักอยู่ที่ราคาสินค้าเกษตรอันแรกก็คือข้าว ข้าวอาจจะเป็นส่วนหนึ่ง เราทำปัญหาเอง เพราะว่าเรามีสต๊อกมา 18 ล้านตันอยู่แล้วก็สต๊อกที่เกิดขึ้นมาเกิดจากการประกันราคาข้าว ซึ่งเวลาตลาดโลกปรับตัวเองราคาข้าวจริง ๆ แล้วต่ำกว่าราคาที่ประกันไว้มากพอสมควร
ส่วนยางเป็นเรื่องของการปรับตัวของน้ำมันอย่างแท้จริง เพราะว่า การที่น้ำมันลดลงก็ทำให้ราคาของยางปรับตัวลดลงเป็นอย่างมากด้วย ในแง่ของมาตรการเราก็ได้ใช้มาตรการหลายอย่างที่จะเข้าไปเสริมในแง่ของรายได้ของผู้ที่จะผลิตข้าวแล้วก็ผู้ผลิตยาง ซึ่งเป็นเกษตรกรที่เป็นส่วนใหญ่ ข้าวนี้ก็ทั่วประเทศ ยางส่วนใหญ่ก็ทางใต้แต่ตอนหลัง ๆ นี่ ขยายไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือบ้าง ทางเหนือบ้าง มาตรการแรกที่เราเข้าไปดำเนินการที่เกี่ยวกับข้าวโดยตรงก็คือเรื่องของการเข้าไปช่วยเหลือรายได้ของเกษตรกรโดยตรง อันนี้ไม่ใช่เรื่องของการประกันราคา เป็นเรื่องเข้าไปช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่พอจะอยู่ได้ โดยให้ครัวเรือนไร่ละ 1,000 บาท แต่ว่าเราไปคิดว่าในแต่ละครัวเรือนมีการถือครองอยู่ในระดับเท่าไร ซึ่งอันนี้ก็ได้ดำเนินการมาถึงเดือนมีนาคมแล้วจ่ายเงินไป 3 หมื่น 8 พันล้านบาท จ่ายให้กับครัวเรือนประมาณ 3 ล้าน 5 แสนครัวเรือน ซึ่งเรื่องนี้ก็น่าจะจบไปแล้ว เพราะว่า ส่วนที่เหลือก็มีปัญหาในเรื่องของการถือครองที่ดินบ้าง เรื่องหลักฐานต่าง ๆ บ้าง ซึ่งจากการสำรวจปรากฏว่าเกษตรกรเป็นจำนวนมากพึงพอใจ แต่ส่วนหนึ่งก็เห็นว่าควรจะจ่ายเพิ่มอีก ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องปกติในการดำเนินการเราก็ต้องดูว่าในที่สุดแล้ว ภาระของรัฐบาลมีมากน้อยแค่ไหนแล้วก็เกษตรกรจะอยู่ได้ด้วยความช่วยเหลือขนาดไหน
นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีมาตรการทางอ้อมอื่น ๆ เช่น ทางด้านของการจ้างงานก็มีการจ้างแรงงานถึง 38,000 ราย เพื่อที่จะปรับปรุงระบบการชลประทานที่จะนำน้ำไปสู่พื้นที่ของเกษตรกรเอง มีการฝึกอบรมส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรแล้วก็มีการสนับสนุนให้ มีการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งซึ่งไม่ใช้น้ำมากประมาณ 142,000 ไร่ ทั้งหมดเป็นมาตรการที่พยายามที่จะช่วยเหลือชาวนาในเรื่องของราคาพืชผลตกต่ำ
น้ำที่เหลือก็จะมาใช้เรื่องของการเกษตรทั้งหมดในฤดูแล้งก็ไม่เพียงพอ มาตรการหลักมาตรการหนึ่ง ซึ่งเราเห็นว่าเป็นมาตรการที่ขณะนี้ได้ดำเนินการไป และมีคนให้ความสนใจมากคือมาตรการที่จะช่วยเหลือบริเวณที่มีภัยแล้งซ้ำซาก โดยใช้เงินเข้าไปในตำบลต่าง ๆ 3,051 ตำบล เพื่อให้เกษตรกรได้คิดอ่านที่จะดำเนินอาชีพของตนเอง ทั้งในส่วนที่เป็นเรื่องของการปรับปรุงพื้นที่ การปรับปรุงอาชีพ การปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ปรากฏว่าขณะนี้ได้จ่ายเงินไปแล้ว 6,590 กว่าโครงการ 3 พันกว่าล้านบาท เกือบจะใช้หมดแล้วมี 1 – 2 ตำบลที่ไม่เอา เนื่องจากเขาบอกว่าไม่แล้ง หรือเขาไม่มีความปรารถนาที่จะลงทุนอีกต่อไป นั่นก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อมาดูแล้ว สถิติบอกว่า 51 % ของตำบลเหล่านี้ต้องการที่จะนำเงินเหล่านี้ไปทำเรื่องพัฒนาแหล่งน้ำของตนเอง ซึ่งก็หมายความว่าคนจะใช้แรงงานเพื่อให้ได้น้ำมา เพื่อไปเพาะปลูกในปีต่อไป
นอกจากนั้นก็มีเรื่องของการผลิตทางการเกษตร การแปรรูปผลผลิตเพื่อเพิ่มรายได้ประมาณ 7% ที่เหลือก็เป็นเรื่องของการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ เพื่อการผลิตพวกยุ้งฉางต่าง ๆ เหล่านี้ 41% และมีการจัดการเพื่อลดความสูญเสียผลผลิตทางการเกษตร คือการเก็บให้ดีประมาณ 2% ที่เหลือเป็นเรื่องแหล่งน้ำหมดเลย 50% ตรงนี้ก็มีความชัดเจนว่าบางกิจกรรมจะมีผลเฉพาะในเรื่องของการสร้างรายได้โดยตรง เช่น การจ้างงาน แต่บางกิจกรรมจะมีผลต่อเนื่อง เช่น แหล่งน้ำก็ทำให้มีน้ำ เช่น ปรับปรุงพื้นที่โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทำให้สามารถที่จะเก็บรักษาพืชผลในการผลิตได้ดีขึ้น และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในส่วนที่ 2 คือเรื่องของยางพารา มีปัญหาในเรื่องราคาเช่นเดียวกัน แต่ว่ายางพารามีปัญหาทางโครงสร้างมากกว่า เพราะยางพาราไม่ใช่อาหาร แต่เป็นสิ่งที่นำไปประกอบเป็นอุตสาหกรรม หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพราะฉะนั้นเวลาที่เศรษฐกิจไม่ดี แล้วถูกซ้ำเติมด้วยราคาน้ำมันก็จะทำให้ยางพาราเป็นปัญหาค่อนข้างจะมาก อย่างไรก็ตามในช่วงระยะสั้น เราพยายามที่จะอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง ไร่ละ 1,000 บาท เช่นเดียวกัน จ่ายไปแล้ว 767,000 ครัวเรือน เป็นเงิน 7 พันกว่าล้านบาท ซึ่งอันนี้ก็ใกล้จะยุติแล้ว เหลือตกค้างอยู่เช่นเดียวกับข้าวเล็กน้อย นอกจากนั้นก็พยายามที่จะให้สหกรณ์ได้มีบทบาทในการที่จะช่วยเหลือราคายางด้วย ด้วยการให้เงินกู้หมุนเวียน เพื่อซื้อยางแก่สถาบันเกษตรกร วงเงิน 1 ล้านบาท เบิกไปแล้ว 3 พันกว่าล้านบาท อันนี้เกษตรกรก็ไปรวบรวมยางพารามา ปรับปรุงบ้าง หรือนำไปขายต่อบ้างอย่างนี้เป็นต้น
สินเชื่อที่สำคัญมากที่สุดในขณะนี้เป็นสินเชื่อเพื่อการปรับโครงสร้างระยะยาว เราได้ขอสินเชื่อในวงเงินหมื่นล้านบาท รายละไม่เกิน 1 แสนบาท เพื่อที่จะให้เกษตรกรนั้นได้ปรับโครงสร้างการผลิตของตนเอง เป็นการเกษตรแบบผสมผสาน เพราะยางพาราก็จะเห็นได้ว่า ขึ้นสูงมากก็ลงต่ำมากได้เหมือนกัน ในช่วงนั้นเกษตรกรจะสร้างความมั่นคงให้กับรายได้อย่างไร เป็นเรื่องที่เราได้เปิดกว้างมาก และเกษตรกรได้ยื่นขอกู้สินเชื่อถึง 110,000 ราย แต่ว่าขณะนี้ ธ.ก.ส. ก็ได้จ่ายเงินกู้ไปแล้วจำนวนหนึ่ง เพราะต้องดูตามระเบียบการของ ธ.ก.ส. ซึ่งอันนี้ท่านรองนายกรัฐมนตรีก็คงกำลังพิจารณา หรือว่าจะทำให้รวดเร็วมากขึ้นได้อย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่กำลังดำเนินการอยู่ ทั้งหมดเป็นเรื่องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทั้งนั้น ช่วงระยะเวลาต่อไปนี้ เราคงจะต้องมีการปรับโครงสร้างในการพัฒนาการเกษตรให้มากยิ่งขึ้นกว่านี้ เพื่อทำให้ความมั่นคงในแง่ของรายได้ของเกษตรกรดีมากขึ้น เท่าที่เราสำรวจ ถามว่าโครงการทั้งหมดมีผลหรือไม่ เท่าที่เราสำรวจในช่วงระยะเวลาเดียวกันตั้งแต่วันที่ 1 – 7 มีนาคม 2558 เทียบกับปีที่ผ่านมา รายได้สุทธิของเกษตรกรลดลงไปประมาณ 600 บาทต่อครัวเรือน ถ้าเผื่อโครงการ 3 พันกว่าล้านบาทที่ช่วยพื้นที่ภัยแล้งมีประสิทธิภาพ และนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ผมเชื่อว่าส่วนต่างตรงนี้อาจจะลดลงไปอีก แล้วตอนนี้ก็ใกล้จะถึงฤดูกาลเพราะปลูกใหม่แล้ว โครงการต่าง ๆ ก็จะทำให้รายได้ของเกษตรกรน่าจะเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง ผมลืมเรียนไปเรื่องหนึ่งคือเรื่องประมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกุ้งที่เคยส่งออก 5 แสนตันต่อปี ขณะนี้ก็เดิมลดลงเหลือประมาณแสนตัน เนื่องจากเป็นโรค EMS โรคตายด่วน ขณะนี้ก็ปรับขึ้นไปได้เกือบ 3 แสนตันต่อปี ก็เป็นส่วนที่อาจจะช่วยได้ในฤดูกาลต่อไป
รอง นายกฯ : ถ้าโรคตายด่วน ท่านแก้อย่างไรถึงปรับขึ้นมาได้
รมว.กษ. : โรคตายด่วน มี 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือเรื่องของสิ่งแวดล้อม อีกด้านคือเรื่องแม่พันธุ์ แม่พันธุ์ต้องใช้เวลาเล็กน้อย ขณะนี้ที่แก้คือแก้เรื่องสิ่งแวดล้อม คือการที่ไปตรวจสอบดูว่าแม่พันธุ์ ป่วยตั้งแต่บ่อหรือไม่ ในบ่อ บ่อหนึ่งควรจะใช้เลี้ยงกุ้งสักเท่าไหร่ และพวกการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นธรรมชาติ ในการแก้ไขปัญหาร่วมผสมผสานกัน 2 - 3 อย่าง ก็แก้ได้ในระดับหนึ่ง
รอง นายกฯ : ขณะนี้กำลังทำเพิ่มเติม
รมว.กษ. : ครับ
รอง นายกฯ : สำหรับสินเชื่อยางเพื่อปรับปรุงโครงสร้างระยะยาว ปรับปรุงสวน เป็นสินเชื่อระยะยาวนั้น ชาวสวนยางขอมาประมาณแสนกว่าราย ขณะนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อนุมัติจ่ายเงินไปแล้ว 27,000 ราย ผมได้เร่ง ธ.ก.ส. ไปแล้ว ให้เร่งทำมากขึ้น ตอนนี้เป็นสินเชื่อที่ดี เพราะว่าเป็นสินเชื่อที่เขาจะเอายางเก่า ที่ส่วนเกินออกและหันไปปลูกอย่างอื่น หรือทำอาชีพอื่น ซึ่งจะทำให้เกิดดุลยภาพระหว่างอุปทาน อุปสงค์ของยางได้ดีขึ้น ก็จะเร่งต่อไปให้
รอง นายกฯ : ท่านผู้ชมครับ วันนี้เรามีเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น ก็เลยมาเล่าสู่กันฟังว่า ทางกระทรวงอุตสาหกรรมก็ดี ทางกระทรวงเกษตรฯ ได้ทำอะไรไปบ้าง แล้วภาพเศรษฐกิจโดยรวมถึงแม้ว่ายอดการส่งออก จะติดลบใน 2 เดือนแรก หรือ 3 เดือนแรกก็ตาม แต่เราเชื่อว่าเศรษฐกิจเรายังแข็งแรงพอควร แม้เพดานการส่งออกจะติดลบถึง 4% ใน 3 เดือนแรก การเพิ่มขึ้นของปัจจัยอื่น ได้มีส่วนช่วยทำให้เศรษฐกิจของเราใน 3 เดือนแรกนี้น่าจะขยายตัวได้ 3% ขึ้นไป ผมเชื่อว่าในไตรมาสถัดไป เมื่อการส่งออกกลับมาปกติแล้ว ปัจจัยอื่น ๆ จะช่วยทำให้เศรษฐกิจเรากลับมาขยายตัวดีขึ้น ผมขอลาแต่เพียงเท่านี้สวัสดีครับ
ที่มา ; เว็บรัฐบาลไทย
โดย www.tuewsob.com
โดย www.tuewsob.com
อัพเดทเรื่องราว - ข้อสอบใหม่ ๆ
เข้าห้องสอบออนไลน์ ( ฟรี)
ห้องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
... ห้องเตรียมสอบผู้บริหาร + การศึกษาพิเศษ
... ห้อง เตรียมสอบ (กรณีศึกษา)
เตรียมสอบครูผู้ช่วย 5 ภาค ปี 2558
ฟรี... ห้องเตรียมสอบ-ครูผู้ช่วย
-ผู้บริหาร-บุคลากรการศึกษา ที่
อัพเดทเรื่องราว - ข้อสอบใหม่ ๆ
เข้าห้องสอบออนไลน์ ( ฟรี)
ห้องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
... ห้องเตรียมสอบผู้บริหาร + การศึกษาพิเศษ
... ห้อง เตรียมสอบ (กรณีศึกษา)
เตรียมสอบครูผู้ช่วย 5 ภาค ปี 2558
ฟรี... ห้องเตรียมสอบ-ครูผู้ช่วย
-ผู้บริหาร-บุคลากรการศึกษา ที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น