เรื่องใหม่น่าสนใจ (ทั้งหมด ที่ )
(เนื้อหา-ข้อสอบ 1,000 ชุุด หมื่นข้อ ภาค กข
+ 40 วิชาเอก) ที่ ห้องสอบด้านขวา หรือ
ติวสอบดอทคอม คลิ๊ก www.tuewsob.com
-คู่มือ 4 ชุด นโยบาย บริบริหาร ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
-เกณฑ์ประเมินคุณภาพภายนอกรอบสี่ โดย สมศ.
- พรบ.เงินเดือนใหม่ข้าราชการครูฯ พ.ศ.2558
ข้อสอบออนไลน์ ( พัฒนาความรู้ครู - ผู้บริหาร - บุคลากรการศึกษา) ชุดใหม่
ข้อสอบออนไลน์ ( พัฒนาความรู้ครู - ผู้บริหาร - บุคลากรการศึกษา) ชุดใหม่
เตรียมสอบ บน ยูทูป ทั้งหมด ได้ที่
พลิกบทบาท‘ธาริต เพ็งดิษฐ์’ผู้พร้อมจัดให้ทุกขั้ว
พลิกบทบาท‘ธาริต เพ็งดิษฐ์’ผู้พร้อมจัดให้ทุกขั้ว : สำนักข่าวเนชั่น โดย อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ
หากจะพูดถึงข้าราชการ ก็มีน้อยคนนักที่จะอยู่ได้กับหลากขั้วการเมืองที่มีความขัดแย้ง แต่ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” กลับเป็นหนึ่งในจำนวนน้อยนั้น
และด้วยความที่ไม่ว่าขั้วไหนได้ขึ้นสู่อำนาจเขาก็รักษาตัวรอดเป็นยอดดีและทำหน้าที่ตอบสนองผู้มีอำนาจได้อย่างเต็มที่ จนทำให้เป็นที่มาให้มีคนเกลียดเขาเป็นจำนวนมาก
และที่สุดเมื่อการปกครองเข้าสู่ยุค คสช. เขาก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ และคดีต่างๆ ก็รุมเร้า จนล่าสุดคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิดในข้อหาร่ำรวยผิดปกติ กว่า 346 ล้านบาท และเตรียมยื่นร้องเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน
ชิวิตของเขานับว่าผกผันยิ่งนัก
บิดาของเขาคือ ร.อ.เจี๊ยบ เพ็งดิษฐ์ เป็นนายทหารคนสนิทของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งต่อมาได้ลาออกจากราชการและย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ จ.ชัยนาท หลัง จอมพล ป.ถูกรัฐประหาร
ตัว “ธาริต” เอง เล่าให้ฟังว่าสมัยเด็กๆ เขาไม่ได้ใช้ชื่อนี้ หากแต่ในวัยเด็กเขาชื่อว่า “เบญจ” ที่ตั้งโดย “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” พระเกจิชื่อดัง สืบเนื่องจากก่อนเขาเกิดนั้นพ่อและแม่มีลูกมาแล้ว 4 คน แต่ก็เสียชีวิตตั้งแต่แรกเกิดทั้งสิ้น
ตัวเขาเองก็อยู่ในภาวะที่ไม่แข็งแรงเช่นกัน โดยอยู่ในตู้อบโรงพยาบาลคริสเตียน อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท นานถึง 3 เดือน จนมารดาของเขาต้องนั่งเรือจากชัยนาทไปอุทัยธานี เพื่อไปหา “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” แห่งวัดท่าซุงเพื่อขอให้ช่วย หลวงพ่อจึงตั้งชื่อให้ว่า “เบญจ” พร้อมทั้งบอกว่าชื่อนี้จะทำให้รอด แล้วถ้าโตขึ้นให้เปลี่ยนชื่อแล้วจะดี
จนกระทั่งอายุ 35 ปี เขาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “ธาริต” ตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ โดยให้เหตุผลว่า หากอยากเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ชีวิตราชการ ต้องใช้หลักของ “เดช” นำหน้าจึงเป็นที่มาของชื่อ “ธาริต” เพราะ “ธ” คือตัวเดช
ประวัติการศึกษาของเขาก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะหลังจากสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก็สอบเข้าศึกษาต่อในคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รุ่น KU 37 แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่ชอบและปรับตัวไม่ได้กับระบบ “โซตัส” เขาจึงลาออกไปสมัครเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในปี 2521 และสำเร็จการศึกษาที่นี่ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากนั้นก็สอบได้เนติบัณฑิตไทย รวมถึงนิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก่อนเข้ารับราชการอัยการ “ธาริต” ได้สอนหนังสือที่ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ และได้รู้จักกับ “คณิต ณ นคร” ซึ่งเมื่อเขาเรียนจบปริญญาโทก็ได้สมัครเข้ารับราชการในสำนักงานอัยการสูงสุดปี 2533 ชีวิตราชการเขาก้าวหน้าตามลำดับจนถูกเรียกไปเป็นหน้าห้องของ “คณิต ณ นคร” สมัยที่เป็นอัยการสูงสุด
จากนั้นชีวิตของเขาก็เริ่มผกผัน ได้เข้ามาใกล้ชิดกับ “การเมือง” เมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ก็ได้ระดมนักกฎหมายมาช่วยงานซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี “คณิต ณ นคร” อยู่ด้วย
โดยหลังการเลือกตั้งปี 2544 พรรคไทยรักไทยได้เป็นรัฐบาล “นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” ได้ดึงให้เขามาช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยทำงานกับ “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” ที่ปรึกษาของ “ทักษิณ” นั่นเอง
โดยระหว่างนั้นเขามีส่วนในการยกร่างกฎหมายและจัดตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก่อนถูกโอนย้ายไปเป็นรองอธิบดีดีเอสไอ ในสมัยที่ “พล.ต.ท.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์” เป็นอธิบดีคนแรก แต่ทุกอย่างใช่ว่าจะราบรื่น
เพราะเมื่อ “พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์” ได้ขึ้นมาเป็นอธิบดีดีเอสไอก็มีตำรวจเป็นจำนวนมากโอนย้ายเข้ามา ทำให้บทบาทของเขาดูด้อยลงไป จึงเดินหน้าทำงานด้านวิชาการ
ต่อมาเขาก็เข้าไปมีส่วนในการยกร่างกฎหมายจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ทำให้ได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการ ป.ป.ท. คนแรก ในปี 2551 ในสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
และที่นี่เองทำให้เขามีผลงานที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นคดีซานติก้าผับ คดีทุจริตนมโรงเรียน คดีกองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ
และต่อมาเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว พรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้ขึ้นเป็นรัฐบาล ก็ได้ย้าย “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” อธิบดีดีเอสไอในขณะนั้นที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับเครือข่าย “ชินวัตร” ออกไป และเป็น “ธาริต” นี่เองที่ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษด้วยวัย 50 ปี
นาทีนี้เขาถูกมองว่าเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มตัว
บทบาทของเขายิ่งเด่นชัดขึ้นเมื่อเหตุการณ์วิกฤติการเมืองปี 2553 จากการชุมนุมของ นปช.ธาริตเป็นหนึ่งในกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และมีบทบาทอย่างยิ่งโดยเฉพาะการแถลงข่าวครั้งสำคัญๆ ในฐานะทีมโฆษก และยังเดินหน้าทำคดีที่เกี่ยวข้องกับแกนนำการชุมนุมเช่นคดีก่อการร้าย โดยถูกมองว่าคดีนี้เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ขัดกับคดีการสลายการชุมนุมของรัฐบาล
ขณะนั้น “คนเสื้อแดง” มอง “ธาริต” เป็นศัตรูลำดับต้นๆ และเขาก็ถูกแกนนำการชุมนุมฟ้องร้องและตรวจสอบในเรื่องต่างๆ อย่างมากมาย อาทิ การออกมาเปิดเผยเรื่องมีผู้โอนเงิน 1.5 แสนบาทเข้าบัญชีของ “วรรษมล เพ็งดิษฐ์” ภรรยาของเขา โดยระบุว่าเป็นเงินค่าตอบแทนในการเลี่ยงภาษี แต่ก็มีการชี้แจงว่าเป็นค่าบริการให้คำปรึกษาทางกฎหมาย
เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้วอีกครั้ง พรรค “เพื่อไทย” ได้ขึ้นเป็นรัฐบาล เขาถูกหมายหัวจาก “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ในตอนต้นว่าจะปลดออกจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ แต่ที่สุดแล้วเขาก็อยู่รอดปลอดภัยตลอดอายุของรัฐบาลเพื่อไทย ซ้ำยังได้รับการต่ออายุในตำแหน่งอีกด้วย
และในขั้วการเมืองพรรคเพื่อไทยนี่เอง ที่การทำหน้าที่ของเขาถูกมองว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยท่าทีที่ถูกมองว่าเขาทำงานตอบสนองผู้ถืออำนาจได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางข้อครหาว่าเพื่อแลกกับการอยู่ยั้งยืนยงในเก้าอี้
โดยคดีที่เขาทำภายใต้รัฐบาลเพื่อไทยนั้น มุ่งเป้าไปที่ฝ่ายตรงข้าม รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่เขาเคยร่วมทำงานมาด้วยเช่น คดีจากวิกฤติการเมืองปี 2553 ถึงนาทีนั้นเขาเดินหน้ากับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในคดีสลายการชุมนุม ส่วนคดีของกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ก็ยกฟ้องเป็นจำนวนมาก เช่น คดีผังล้มเจ้า รวมทั้งยังเดินหน้าเกี่ยวกับคดีอื่นๆ เช่น คดีทุจริตโรงพักทดแทน คดีต่อสัญญาสัมปทานบีทีเอส
รวมทั้งเขาได้เป็นกรรมการ ศอฉ. อีกครั้งในเหตุการณ์วิกฤติการเมืองปี 2556-2557
จังหวะนั้นเขากลายเป็นศัตรูของคนอีกกลุ่ม จนหลายคนเรียกอย่างเกลียดชังว่า “ธาริต เปลี่ยนสี” ล้อมาจากนามสกุลของ “ถวิล เปลี่ยนศรี” อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เป็นคู่กรณีกับรัฐบาลเพื่อไทยในขณะนั้น
จนเมื่อการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ในปี 2556-2557 เขาก็ตกเป็นเป้าอีกครั้ง โดนปิดล้อม ไล่ล่า ตรวจสอบ รวมถึงการตรวจสอบบ้านของ “วรรษมล” ที่ซื้อไว้ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อทำโฮมสเตย์ ก็ถูกตรวจสอบว่ารุกล้ำพื้นที่ป่าสงวน จนต้องยอมรื้อบ้านบางหลัง และคืนที่ดินบางส่วนให้แก่ราชการ
ต่อมาเมื่อการเมืองเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อเกิดการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 “ธาริต” ถูกย้ายออกจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอในแทบจะทันที กล่าวคือมีคำสั่งในวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 คล้อยหลังการยึดอำนาจเพียงสองวัน
และจากนั้นเขาก็ถูกตรวจสอบในหลายๆ เรื่องโดยเฉพาะเรื่องร่ำรวยผิดปกติ โดยในปี 2558 ก็เคยถูก ป.ป.ช.อายัดทรัพย์ไว้ 90.26 ล้านบาท จนในวันนี้ที่ ป.ป.ช.มีมติว่าเขาร่ำรวยผิดปกติ
นี่คือชีวิตที่พลิกผันไปมาของข้าราชการที่ถูกมองว่าเป็นนักเอาตัวรอด และเป็นอีกผู้หนึ่งที่สนองขั้วการเมืองอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นสีไหนหรือขั้วไหน
เส้นทางคดี “ธาริต” ร่ำรวยผิดปกติ
- ป.ป.ช.ตรวจสอบในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. พบว่า มีเหตุอันควรสงสัยว่าร่ำรวยผิดปกติ
- 30 ต.ค.2557 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งที่ 631/2557 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่ำรวยผิดปกติ โดยมี นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน สืบเนื่องจากมีประชาชนร้องเรียนว่ามีข้าราชการระดับสูงสร้างบ้านที่เกรงว่าจะรุกล้ำเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเขาใหญ่ ป.ป.ช.จึงลงพื้นที่ตรวจสอบและพบว่าเจ้าของบ้านคือ ภรรยาของนายธาริต
- 19 เม.ย.2558 คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า นายธาริต มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจะมีการโอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อนทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการร่ำรวยผิดปกติ จึงได้มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของนายธาริต และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ คู่สมรส ไว้เป็นการชั่วคราว ได้แก่ เงินฝาก ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และยานพาหนะ รวมมูลค่า 40,954,720.58 บาท
-ต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการร่ำรวยผิดปกติของนายธาริต และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ คู่สมรส รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องไว้เป็นการชั่วคราว เพิ่มเติม เมื่อรวมมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ชั่วคราว (ทั้งตอนแรกและตอนหลัง) รวมจำนวนทั้งสิ้น 90,260,687.40 บาท
-5 ม.ค.2559 นายธาริต เข้าชี้แจงที่มาของทรัพย์สินต่อคณะอนุกรรมการไต่สวน
-10 มี.ค.2559 ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ ว่า นายธาริต ร่ำรวยผิดปกติรวมมูลค่า 346,652,588.52 บาท โดยหลังจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณารายงานผลการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า นายธาริต และนางวรรษมล มีทรัพย์สินมากผิดปกติเกินกว่าฐานะและรายได้ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะพึงมีได้ อีกทั้งยังปรากฏพฤติการณ์โอน ยักย้าย แปรสภาพหรือซุกซ่อนทรัพย์สิน รวมทั้งให้บุคคลอื่นถือทรัพย์สินแทน กล่าวคือ ให้นายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ ซึ่งเป็นหลานชาย และบริษัท ปิยธนวรรษ จำกัด ซึ่งมีนายปิยฤกษ์ และนางกานดา เผือดจันทึก น้องสาวของนางวรรษมล เป็นกรรมการบริษัท มีชื่อเป็นผู้ถือครองทรัพย์สินจำนวนมากแทน
-ขั้นตอนต่อไป ป.ป.ช.ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด เพื่อให้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งให้สั่งทรัพย์สินของนายธาริตและผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวน 346 ล้านบาทเศษ ตกเป็นของแผ่นดินต่อไป แต่คดีก็ต้องสู้กันไปตามกระบวนการยุติธรรมจนถึงศาลฎีกา คดีถึงจะเป็นที่สุด
เปิดจดหมาย'เจ้าคุณประสาร'เมื่อแกนนำ'ม็อบพระ'ขอถอยไปตั้งหลัก
ต้องยอมรับในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาคงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ “พระเมธีธรรมาจารย์” (ประสาร จนฺทสาโร) หรือเจ้าคุณประสาร ที่ปรึกษาสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.) พระนักต่อสู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการปลุก “ม็อบพระ”
ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่การยกยอปอปั้น หรือจงใจเสียดสี เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลายครั้งหลายคราเมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญในวงการสงฆ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการเมือง ชื่อเจ้าคุณประสารจะปรากฏอยู่ในฐานะ “แกนนำ” ทุกครั้ง
ขณะเดียวกันเจ้าคุณประสารยังถูกมองว่าเป็นพระสายสีแดงที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพระคู่อริ หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย
หลายปีที่ผ่านมา บทบาทเจ้าคุณประสารเด่นชัดขึ้นมาก โดยก่อนหน้านี้เมื่อปี 2558 เจ้าคุณประสารเคยระดมสงฆ์ด้วยการส่งหนังสือเพื่อขอให้เจ้าอาวาสวัดจากทั่วประเทศส่งจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เพื่อกดดันให้เลือกข้างหลังจาก หลวงปู่พุทธะอิสระ ยื่นหนังสือต่อ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เพื่อฟ้องร้องกล่าวโทษพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เจ้าคุณประสารออกตัวแรงด้วยการเป็นแกนนำในการนำพระสงฆ์ทั้งสังฆมณฑล นัดหมายแสดงสังฆมติด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ที่พุทธมณฑล พร้อมยื่นข้อเสนอ 5 ข้อ เพื่อกดดันให้รัฐบาลเร่งแต่งตั้ง “สมเด็จช่วง” เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ของประเทศไทย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความวุ่นวายจนแทบจะเกิดการปะทะกันระหว่างทหารกับสงฆ์
จากนั้นในวันที่ 7 มีนาคม เจ้าคุณประสารจัดหนักด้วยการนัดแถลงข่าวคัดค้านคำวินิจฉัยของ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” กรณีระบุว่ามติการเสนอชื่อสมเด็จพระสังฆราชของมหาเถรสมาคมผิดขั้นตอนของกฎหมาย แต่สุดท้ายการรวมตัวดังกล่าวกลับไปไม่ถึงฝัน เพราะตำรวจ-ทหารสนธิกำลังเข้ามาควบคุมการแถลงข่าว โดยยกกฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะ 2558 มาใช้ จนทำให้งานแถลงข่าวทำได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ
หลังจากนั้นไม่ถึง 3 วัน ไม่รู้ว่าเพราะความกดดันจากการขยับไปไหนก็ติดขัดไปหมด ปรากฏว่า เช้าตรู่วันที่ 10 มีนาคม เจ้าคุณประสารโพสต์ข้อความใน “เฟซบุ๊ก” ส่วนตัว เพื่อบ่งบอกถึงความรู้สึกว่ามีพลังงานอะไรบางอย่างมากดดัน พร้อมจะขอตัว “ปลีกวิเวก” หายหน้าไปสักพักหนึ่ง
ทั้งนี้ ข้อความที่เจ้าคุณคนดังโพสต์มีใจความว่า
จากใจพระเมธีธรรมาจารย์ ในนามศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย สมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา พร้อมด้วยองค์กรภาคีเครือข่าย อยากจะบอกถึงความในใจของอาตมาที่มีต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งที่ผ่านมาและปัจจุบัน เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน
กว่าหนึ่งปีมาแล้วที่พวกเราร่วมอุดมการณ์เดียวกันในการต่อสู้เพื่อพิทักษ์ปกป้องพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ (ไม่นับถอยหลังไปยาวไกลในผลงาน) ในประเด็นที่นับระยะเวลาเพียงเท่านี้เพราะอยากเริ่มต้นจากการเกิดขึ้นของคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา 2558
ตั้งแต่ต้นปี 2558 เป็นต้นมา เราได้ยินชื่อคนบางคน บางกลุ่ม บางท่านในนามคณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนา(ชื่อที่เข้าใจกัน) และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคณะกรรมการชุดดังกล่าวก็มีเป้าหมายและพันธกิจที่ชัดเจนในการที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะสงฆ์ เปลี่ยนแปลงชนิดที่เรียกว่า 360 องศา เพราะพวกเขาไม่เคยรับฟังแม้กระทั่งเสียงอันแท้จริงของคณะสงฆ์ นอกจากนั้นยังไม่มีพระสงฆ์แม้แต่รูปเดียวที่ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการในชุดดังกล่าว
ดังนั้น พวกเราในนามพระสงฆ์ ชาวพุทธและองค์กรทางพระพุทธศาสนา ต่างเป็นห่วงเป็นใยในทิศทางการปฏิรูปกิจการคณะสงฆ์ภายใต้คณะกรรมการชุดนี้ จึงช่วยกันออกมาท้วงติง ให้สติ ให้ข้อเสนอแนะและชี้บอกแนวทางการปฏิรูปสงฆ์ที่ควรจะเป็นให้รับทราบ
ในทางตรงกันข้าม คณะกรรมการชุดดังกล่าว ซึ่งมีบางคน บางท่าน กลับมองไม่เห็นความปรารถนาดี ความหวังดี และการปฏิรูปที่ควรจะเป็น พวกเขาจึงแสดงออกในทางก้าวร้าว รุนแรง ไม่เคารพ ไม่ให้เกียรติต่อคณะสงฆ์
การพิทักษ์ ปกป้องพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์จึงเกิดขึ้นอีกครั้งด้วยความเต็มใจของทุกฝ่าย และจากความเสียสละอย่างแท้จริง ดังนั้น พระสงฆ์ทั้งมวลจึงร่วมกันเพื่อจะออกมาเจริญพระพุทธมนต์กันถึงสองครั้งสองครา แต่เมื่อองค์กรสูงสุดทางคณะสงฆ์ได้เมตตาแนะนำ พวกเราก็รับฟังและปฏิบัติตามด้วยความเคารพ แม้จะสุ่มเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือในการทำงานก็ตาม
ผลครั้งนั้น ทำให้คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาจำต้องประกาศลาออก ยุบคณะกรรมการ และยุติบทบาทในนามคณะกรรมการในที่สุด
จากนั้นต่อมาฝ่าย สปช. ได้นำเอาประเด็นสรุปของคณะกรรมการปฏิรูปฯ ไปอภิปรายกันด่าคณะสงฆ์ในสภาฯ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย และได้ส่งเรื่องต่อไปยังรัฐบาล พร้อมทั้งแนบท้ายว่า ถ้าไม่มีใครคัดค้านภายใน 30 วัน แสดงว่าเห็นด้วย และให้นำไปดำเนินการเพื่อการปฏิรูปได้
พวกเราต่างเป็นห่วงเป็นใยในเรื่องนี้กัน จึงร่วมมือกันไปยื่นเรื่องคัดค้านแนวทางปฏิรูปดังกล่าวที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พร้อมข้อเสนอแนะ จึงสามารถหยุดยั้งแนวทางปฏิรูปของพวกเขาได้
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบงานในส่วนนี้ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า จะไม่ดำเนินการใดๆ ในเรื่องของคณะสงฆ์ถ้าไม่ได้รับความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคม กว่าจะมีคำพูดนี้ออกมา จะมีกี่คนกี่ท่านที่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง หลายท่านไม่รู้ หลายท่านรู้ ก็ขออนุโมทนา คือเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อไม่นาน นึกว่าเรื่องจะสงบ เรียบร้อย ไม่มีใครกวนน้ำให้ขุ่นอีกต่อไป
เริ่มต้นศักราชใหม่ ต้นปี 2559 ก็มีเรื่องการเสนอรายนามสมเด็จพระราชาคณะ ที่ดำเนินการตามกฎหมายและจารีตประเพณีเพื่อเสนอทูลเกล้าฯ ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ แต่ปรากฏว่า มีคนกลุ่มเดิม ชุดเดิมแปลงร่างมาอยู่ในองค์กรใหม่ พวกเขาได้ร่วมกันเซ็ตเรื่อง เซ็ตปัญหา เซ็ตสถานการณ์ เพื่อนำไปสู่การขัดขวางการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ทั้งที่ในวงการคณะสงฆ์ไม่มีปัญหาข้อขัดแย้งใดๆ ต่อกัน
การหักล้างด้วยเหตุ ด้วยผล และความร่วมมือร่วมใจกันจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้การต่อสู้ค่อนข้างยาวนาน สลับซับซ้อนมากกว่าคราวปฏิรูปฯ มีตัวละครเพิ่มมากขึ้น มีความพยายามขัดขวางคณะสงฆ์อย่างเป็นระบบ งานจึงหนักมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
แต่พวกเราก็ไม่ท้อ ไม่ถอย ไม่เสียกำลังใจ เพราะพวกเราเชื่อมั่นโดยสุจริตใจว่าพวกเราได้ทำหน้าที่สำคัญเพื่อพิทักษ์ปกป้องพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ พวกเราจึงเดินหน้า แม้บางคน บางกลุ่ม จะไม่เข้าใจหรือพยายามไม่เข้าใจก็ตาม
15 กุมภาพันธ์ 2559 พระสงฆ์ทั้งสังฆมณฑล ได้นัดหมายกันเองในการออกไปแสดงสังฆมติโดยการเจริญพระพุทธมนต์และยื่นข้อเสนอ 5 ข้อต่อรัฐบาล พวกเราไปเจริญพระพุทธมนต์ที่ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก เพื่อแสดงสังฆมติสนับสนุนกิจการพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ไม่ใช่ม็อบ ไม่ใช่การกดดันรัฐบาลแต่อย่างใด
7 มีนาคม 2559 มีการนัดหมายเพื่อแถลงข่าวในกรณีคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน เพราะพวกเรามีความเห็นแย้งกับผู้ตรวจการแผ่นดิน ทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายรวมทั้งจารีตประเพณีด้วย
แต่การแถลงข้อเท็จจริงของฝ่ายเราก็ไม่สามารถดำเนินการไปได้ ไม่ว่าจะแถลงหนึ่งคนหรือเกินห้าคนก็ตาม เพราะตำรวจได้สนธิกำลังกับทหาร ยกกฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะ 2558 มากล่าวอ้าง การแถลงข่าวในวันนั้นจึงทำได้เพียงบางส่วนสั้นๆ และถูกควบคุมอย่างใกล้ชิด ดังปรากฏตามข่าวทุกสำนักที่ได้เห็น
จากนี้ไปชัดเจนว่า ฝ่ายเราจะทำอะไรก็ลำบาก ลำบากมากขึ้นจริงๆ
พระเมธีธรรมาจารย์ อยากพูดอะไรในภาวการณ์เช่นนี้
1.อาตมาและคณะปฏิบัติตามกฎหมาย พระธรรมวินัยและจารีตประเพณีไม่เคยละเลย ขอยืนยันชัดเจน 2.ในสมองไม่เคยแม้แต่จะคิดในการที่จะสร้างความวุ่นวาย ปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง ไม่เคยเลยจริงๆ นอกจากแสวงหาความเป็นธรรม 3.พวกเราเพียงแต่ร่วมกันเสียสละเพื่อพิทักษ์ ปกป้องพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ด้วยใจที่บริสุทธิ์ 4.พวกเราต่างเทิดทูนสถาบัน ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ด้วยศรัทธาที่เปี่ยมล้น
จากนี้ไปจะทำอะไร ?
คงบอกยากว่าจะทำอะไร บอกยากจริงๆ เพราะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ประเดี๋ยวความปรารถนาดีของฝ่ายเราจะถูกแปลความหมายไปในทิศทางที่ทางตรงกันข้าม ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า พวกเราไม่เคยท้อ ไม่เคยถอย มีกำลังใจที่ดีในการทำหน้าที่เพื่อรักษาความถูกต้องดีงามของพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ไว้ ไม่เคยทำความวุ่นวาย เดือดร้อนให้ประเทศชาติบ้านเมือง
จากนี้ไป ขอเวลาในอีกสัก 2-3 วันข้างหน้า เพื่อไปนั่งกรรมฐาน หาความสงบที่วัดป่าในชนบท เพื่อขัดเกลาจิตใจของตนเอง เวลานี้บอกได้เพียงเท่านี้
พระเมธีธรรมาจารย์ (เจ้าคุณประสาร จนฺทสาโร) #เจ้าคุณประสาร 10 มีนาคม 2559
ที่มา ; เว็บ นสพ.คมชัดลึก
หากจะพูดถึงข้าราชการ ก็มีน้อยคนนักที่จะอยู่ได้กับหลากขั้วการเมืองที่มีความขัดแย้ง แต่ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” กลับเป็นหนึ่งในจำนวนน้อยนั้น
และด้วยความที่ไม่ว่าขั้วไหนได้ขึ้นสู่อำนาจเขาก็รักษาตัวรอดเป็นยอดดีและทำหน้าที่ตอบสนองผู้มีอำนาจได้อย่างเต็มที่ จนทำให้เป็นที่มาให้มีคนเกลียดเขาเป็นจำนวนมาก
และที่สุดเมื่อการปกครองเข้าสู่ยุค คสช. เขาก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ และคดีต่างๆ ก็รุมเร้า จนล่าสุดคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิดในข้อหาร่ำรวยผิดปกติ กว่า 346 ล้านบาท และเตรียมยื่นร้องเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน
ชิวิตของเขานับว่าผกผันยิ่งนัก
บิดาของเขาคือ ร.อ.เจี๊ยบ เพ็งดิษฐ์ เป็นนายทหารคนสนิทของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งต่อมาได้ลาออกจากราชการและย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ จ.ชัยนาท หลัง จอมพล ป.ถูกรัฐประหาร
ตัว “ธาริต” เอง เล่าให้ฟังว่าสมัยเด็กๆ เขาไม่ได้ใช้ชื่อนี้ หากแต่ในวัยเด็กเขาชื่อว่า “เบญจ” ที่ตั้งโดย “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” พระเกจิชื่อดัง สืบเนื่องจากก่อนเขาเกิดนั้นพ่อและแม่มีลูกมาแล้ว 4 คน แต่ก็เสียชีวิตตั้งแต่แรกเกิดทั้งสิ้น
ตัวเขาเองก็อยู่ในภาวะที่ไม่แข็งแรงเช่นกัน โดยอยู่ในตู้อบโรงพยาบาลคริสเตียน อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท นานถึง 3 เดือน จนมารดาของเขาต้องนั่งเรือจากชัยนาทไปอุทัยธานี เพื่อไปหา “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” แห่งวัดท่าซุงเพื่อขอให้ช่วย หลวงพ่อจึงตั้งชื่อให้ว่า “เบญจ” พร้อมทั้งบอกว่าชื่อนี้จะทำให้รอด แล้วถ้าโตขึ้นให้เปลี่ยนชื่อแล้วจะดี
จนกระทั่งอายุ 35 ปี เขาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “ธาริต” ตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ โดยให้เหตุผลว่า หากอยากเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ชีวิตราชการ ต้องใช้หลักของ “เดช” นำหน้าจึงเป็นที่มาของชื่อ “ธาริต” เพราะ “ธ” คือตัวเดช
ประวัติการศึกษาของเขาก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะหลังจากสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก็สอบเข้าศึกษาต่อในคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รุ่น KU 37 แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่ชอบและปรับตัวไม่ได้กับระบบ “โซตัส” เขาจึงลาออกไปสมัครเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในปี 2521 และสำเร็จการศึกษาที่นี่ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากนั้นก็สอบได้เนติบัณฑิตไทย รวมถึงนิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก่อนเข้ารับราชการอัยการ “ธาริต” ได้สอนหนังสือที่ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ และได้รู้จักกับ “คณิต ณ นคร” ซึ่งเมื่อเขาเรียนจบปริญญาโทก็ได้สมัครเข้ารับราชการในสำนักงานอัยการสูงสุดปี 2533 ชีวิตราชการเขาก้าวหน้าตามลำดับจนถูกเรียกไปเป็นหน้าห้องของ “คณิต ณ นคร” สมัยที่เป็นอัยการสูงสุด
จากนั้นชีวิตของเขาก็เริ่มผกผัน ได้เข้ามาใกล้ชิดกับ “การเมือง” เมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ก็ได้ระดมนักกฎหมายมาช่วยงานซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี “คณิต ณ นคร” อยู่ด้วย
โดยหลังการเลือกตั้งปี 2544 พรรคไทยรักไทยได้เป็นรัฐบาล “นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” ได้ดึงให้เขามาช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยทำงานกับ “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” ที่ปรึกษาของ “ทักษิณ” นั่นเอง
โดยระหว่างนั้นเขามีส่วนในการยกร่างกฎหมายและจัดตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก่อนถูกโอนย้ายไปเป็นรองอธิบดีดีเอสไอ ในสมัยที่ “พล.ต.ท.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์” เป็นอธิบดีคนแรก แต่ทุกอย่างใช่ว่าจะราบรื่น
เพราะเมื่อ “พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์” ได้ขึ้นมาเป็นอธิบดีดีเอสไอก็มีตำรวจเป็นจำนวนมากโอนย้ายเข้ามา ทำให้บทบาทของเขาดูด้อยลงไป จึงเดินหน้าทำงานด้านวิชาการ
ต่อมาเขาก็เข้าไปมีส่วนในการยกร่างกฎหมายจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ทำให้ได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการ ป.ป.ท. คนแรก ในปี 2551 ในสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
และที่นี่เองทำให้เขามีผลงานที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นคดีซานติก้าผับ คดีทุจริตนมโรงเรียน คดีกองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ
และต่อมาเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว พรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้ขึ้นเป็นรัฐบาล ก็ได้ย้าย “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” อธิบดีดีเอสไอในขณะนั้นที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับเครือข่าย “ชินวัตร” ออกไป และเป็น “ธาริต” นี่เองที่ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษด้วยวัย 50 ปี
นาทีนี้เขาถูกมองว่าเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มตัว
บทบาทของเขายิ่งเด่นชัดขึ้นเมื่อเหตุการณ์วิกฤติการเมืองปี 2553 จากการชุมนุมของ นปช.ธาริตเป็นหนึ่งในกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และมีบทบาทอย่างยิ่งโดยเฉพาะการแถลงข่าวครั้งสำคัญๆ ในฐานะทีมโฆษก และยังเดินหน้าทำคดีที่เกี่ยวข้องกับแกนนำการชุมนุมเช่นคดีก่อการร้าย โดยถูกมองว่าคดีนี้เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ขัดกับคดีการสลายการชุมนุมของรัฐบาล
ขณะนั้น “คนเสื้อแดง” มอง “ธาริต” เป็นศัตรูลำดับต้นๆ และเขาก็ถูกแกนนำการชุมนุมฟ้องร้องและตรวจสอบในเรื่องต่างๆ อย่างมากมาย อาทิ การออกมาเปิดเผยเรื่องมีผู้โอนเงิน 1.5 แสนบาทเข้าบัญชีของ “วรรษมล เพ็งดิษฐ์” ภรรยาของเขา โดยระบุว่าเป็นเงินค่าตอบแทนในการเลี่ยงภาษี แต่ก็มีการชี้แจงว่าเป็นค่าบริการให้คำปรึกษาทางกฎหมาย
เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้วอีกครั้ง พรรค “เพื่อไทย” ได้ขึ้นเป็นรัฐบาล เขาถูกหมายหัวจาก “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ในตอนต้นว่าจะปลดออกจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ แต่ที่สุดแล้วเขาก็อยู่รอดปลอดภัยตลอดอายุของรัฐบาลเพื่อไทย ซ้ำยังได้รับการต่ออายุในตำแหน่งอีกด้วย
และในขั้วการเมืองพรรคเพื่อไทยนี่เอง ที่การทำหน้าที่ของเขาถูกมองว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยท่าทีที่ถูกมองว่าเขาทำงานตอบสนองผู้ถืออำนาจได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางข้อครหาว่าเพื่อแลกกับการอยู่ยั้งยืนยงในเก้าอี้
โดยคดีที่เขาทำภายใต้รัฐบาลเพื่อไทยนั้น มุ่งเป้าไปที่ฝ่ายตรงข้าม รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่เขาเคยร่วมทำงานมาด้วยเช่น คดีจากวิกฤติการเมืองปี 2553 ถึงนาทีนั้นเขาเดินหน้ากับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในคดีสลายการชุมนุม ส่วนคดีของกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ก็ยกฟ้องเป็นจำนวนมาก เช่น คดีผังล้มเจ้า รวมทั้งยังเดินหน้าเกี่ยวกับคดีอื่นๆ เช่น คดีทุจริตโรงพักทดแทน คดีต่อสัญญาสัมปทานบีทีเอส
รวมทั้งเขาได้เป็นกรรมการ ศอฉ. อีกครั้งในเหตุการณ์วิกฤติการเมืองปี 2556-2557
จังหวะนั้นเขากลายเป็นศัตรูของคนอีกกลุ่ม จนหลายคนเรียกอย่างเกลียดชังว่า “ธาริต เปลี่ยนสี” ล้อมาจากนามสกุลของ “ถวิล เปลี่ยนศรี” อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เป็นคู่กรณีกับรัฐบาลเพื่อไทยในขณะนั้น
จนเมื่อการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ในปี 2556-2557 เขาก็ตกเป็นเป้าอีกครั้ง โดนปิดล้อม ไล่ล่า ตรวจสอบ รวมถึงการตรวจสอบบ้านของ “วรรษมล” ที่ซื้อไว้ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อทำโฮมสเตย์ ก็ถูกตรวจสอบว่ารุกล้ำพื้นที่ป่าสงวน จนต้องยอมรื้อบ้านบางหลัง และคืนที่ดินบางส่วนให้แก่ราชการ
ต่อมาเมื่อการเมืองเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อเกิดการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 “ธาริต” ถูกย้ายออกจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอในแทบจะทันที กล่าวคือมีคำสั่งในวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 คล้อยหลังการยึดอำนาจเพียงสองวัน
และจากนั้นเขาก็ถูกตรวจสอบในหลายๆ เรื่องโดยเฉพาะเรื่องร่ำรวยผิดปกติ โดยในปี 2558 ก็เคยถูก ป.ป.ช.อายัดทรัพย์ไว้ 90.26 ล้านบาท จนในวันนี้ที่ ป.ป.ช.มีมติว่าเขาร่ำรวยผิดปกติ
และที่สุดเมื่อการปกครองเข้าสู่ยุค คสช. เขาก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ และคดีต่างๆ ก็รุมเร้า จนล่าสุดคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิดในข้อหาร่ำรวยผิดปกติ กว่า 346 ล้านบาท และเตรียมยื่นร้องเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน
ชิวิตของเขานับว่าผกผันยิ่งนัก
บิดาของเขาคือ ร.อ.เจี๊ยบ เพ็งดิษฐ์ เป็นนายทหารคนสนิทของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งต่อมาได้ลาออกจากราชการและย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ จ.ชัยนาท หลัง จอมพล ป.ถูกรัฐประหาร
ตัว “ธาริต” เอง เล่าให้ฟังว่าสมัยเด็กๆ เขาไม่ได้ใช้ชื่อนี้ หากแต่ในวัยเด็กเขาชื่อว่า “เบญจ” ที่ตั้งโดย “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” พระเกจิชื่อดัง สืบเนื่องจากก่อนเขาเกิดนั้นพ่อและแม่มีลูกมาแล้ว 4 คน แต่ก็เสียชีวิตตั้งแต่แรกเกิดทั้งสิ้น
ตัวเขาเองก็อยู่ในภาวะที่ไม่แข็งแรงเช่นกัน โดยอยู่ในตู้อบโรงพยาบาลคริสเตียน อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท นานถึง 3 เดือน จนมารดาของเขาต้องนั่งเรือจากชัยนาทไปอุทัยธานี เพื่อไปหา “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” แห่งวัดท่าซุงเพื่อขอให้ช่วย หลวงพ่อจึงตั้งชื่อให้ว่า “เบญจ” พร้อมทั้งบอกว่าชื่อนี้จะทำให้รอด แล้วถ้าโตขึ้นให้เปลี่ยนชื่อแล้วจะดี
จนกระทั่งอายุ 35 ปี เขาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “ธาริต” ตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ โดยให้เหตุผลว่า หากอยากเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ชีวิตราชการ ต้องใช้หลักของ “เดช” นำหน้าจึงเป็นที่มาของชื่อ “ธาริต” เพราะ “ธ” คือตัวเดช
ประวัติการศึกษาของเขาก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะหลังจากสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก็สอบเข้าศึกษาต่อในคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รุ่น KU 37 แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่ชอบและปรับตัวไม่ได้กับระบบ “โซตัส” เขาจึงลาออกไปสมัครเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในปี 2521 และสำเร็จการศึกษาที่นี่ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากนั้นก็สอบได้เนติบัณฑิตไทย รวมถึงนิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก่อนเข้ารับราชการอัยการ “ธาริต” ได้สอนหนังสือที่ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ และได้รู้จักกับ “คณิต ณ นคร” ซึ่งเมื่อเขาเรียนจบปริญญาโทก็ได้สมัครเข้ารับราชการในสำนักงานอัยการสูงสุดปี 2533 ชีวิตราชการเขาก้าวหน้าตามลำดับจนถูกเรียกไปเป็นหน้าห้องของ “คณิต ณ นคร” สมัยที่เป็นอัยการสูงสุด
จากนั้นชีวิตของเขาก็เริ่มผกผัน ได้เข้ามาใกล้ชิดกับ “การเมือง” เมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ก็ได้ระดมนักกฎหมายมาช่วยงานซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี “คณิต ณ นคร” อยู่ด้วย
โดยหลังการเลือกตั้งปี 2544 พรรคไทยรักไทยได้เป็นรัฐบาล “นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” ได้ดึงให้เขามาช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยทำงานกับ “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” ที่ปรึกษาของ “ทักษิณ” นั่นเอง
โดยระหว่างนั้นเขามีส่วนในการยกร่างกฎหมายและจัดตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก่อนถูกโอนย้ายไปเป็นรองอธิบดีดีเอสไอ ในสมัยที่ “พล.ต.ท.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์” เป็นอธิบดีคนแรก แต่ทุกอย่างใช่ว่าจะราบรื่น
เพราะเมื่อ “พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์” ได้ขึ้นมาเป็นอธิบดีดีเอสไอก็มีตำรวจเป็นจำนวนมากโอนย้ายเข้ามา ทำให้บทบาทของเขาดูด้อยลงไป จึงเดินหน้าทำงานด้านวิชาการ
ต่อมาเขาก็เข้าไปมีส่วนในการยกร่างกฎหมายจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ทำให้ได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการ ป.ป.ท. คนแรก ในปี 2551 ในสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
และที่นี่เองทำให้เขามีผลงานที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นคดีซานติก้าผับ คดีทุจริตนมโรงเรียน คดีกองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ
และต่อมาเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว พรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้ขึ้นเป็นรัฐบาล ก็ได้ย้าย “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” อธิบดีดีเอสไอในขณะนั้นที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับเครือข่าย “ชินวัตร” ออกไป และเป็น “ธาริต” นี่เองที่ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษด้วยวัย 50 ปี
นาทีนี้เขาถูกมองว่าเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มตัว
บทบาทของเขายิ่งเด่นชัดขึ้นเมื่อเหตุการณ์วิกฤติการเมืองปี 2553 จากการชุมนุมของ นปช.ธาริตเป็นหนึ่งในกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และมีบทบาทอย่างยิ่งโดยเฉพาะการแถลงข่าวครั้งสำคัญๆ ในฐานะทีมโฆษก และยังเดินหน้าทำคดีที่เกี่ยวข้องกับแกนนำการชุมนุมเช่นคดีก่อการร้าย โดยถูกมองว่าคดีนี้เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ขัดกับคดีการสลายการชุมนุมของรัฐบาล
ขณะนั้น “คนเสื้อแดง” มอง “ธาริต” เป็นศัตรูลำดับต้นๆ และเขาก็ถูกแกนนำการชุมนุมฟ้องร้องและตรวจสอบในเรื่องต่างๆ อย่างมากมาย อาทิ การออกมาเปิดเผยเรื่องมีผู้โอนเงิน 1.5 แสนบาทเข้าบัญชีของ “วรรษมล เพ็งดิษฐ์” ภรรยาของเขา โดยระบุว่าเป็นเงินค่าตอบแทนในการเลี่ยงภาษี แต่ก็มีการชี้แจงว่าเป็นค่าบริการให้คำปรึกษาทางกฎหมาย
เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้วอีกครั้ง พรรค “เพื่อไทย” ได้ขึ้นเป็นรัฐบาล เขาถูกหมายหัวจาก “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ในตอนต้นว่าจะปลดออกจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ แต่ที่สุดแล้วเขาก็อยู่รอดปลอดภัยตลอดอายุของรัฐบาลเพื่อไทย ซ้ำยังได้รับการต่ออายุในตำแหน่งอีกด้วย
และในขั้วการเมืองพรรคเพื่อไทยนี่เอง ที่การทำหน้าที่ของเขาถูกมองว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยท่าทีที่ถูกมองว่าเขาทำงานตอบสนองผู้ถืออำนาจได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางข้อครหาว่าเพื่อแลกกับการอยู่ยั้งยืนยงในเก้าอี้
โดยคดีที่เขาทำภายใต้รัฐบาลเพื่อไทยนั้น มุ่งเป้าไปที่ฝ่ายตรงข้าม รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่เขาเคยร่วมทำงานมาด้วยเช่น คดีจากวิกฤติการเมืองปี 2553 ถึงนาทีนั้นเขาเดินหน้ากับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในคดีสลายการชุมนุม ส่วนคดีของกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ก็ยกฟ้องเป็นจำนวนมาก เช่น คดีผังล้มเจ้า รวมทั้งยังเดินหน้าเกี่ยวกับคดีอื่นๆ เช่น คดีทุจริตโรงพักทดแทน คดีต่อสัญญาสัมปทานบีทีเอส
รวมทั้งเขาได้เป็นกรรมการ ศอฉ. อีกครั้งในเหตุการณ์วิกฤติการเมืองปี 2556-2557
จังหวะนั้นเขากลายเป็นศัตรูของคนอีกกลุ่ม จนหลายคนเรียกอย่างเกลียดชังว่า “ธาริต เปลี่ยนสี” ล้อมาจากนามสกุลของ “ถวิล เปลี่ยนศรี” อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เป็นคู่กรณีกับรัฐบาลเพื่อไทยในขณะนั้น
จนเมื่อการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ในปี 2556-2557 เขาก็ตกเป็นเป้าอีกครั้ง โดนปิดล้อม ไล่ล่า ตรวจสอบ รวมถึงการตรวจสอบบ้านของ “วรรษมล” ที่ซื้อไว้ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อทำโฮมสเตย์ ก็ถูกตรวจสอบว่ารุกล้ำพื้นที่ป่าสงวน จนต้องยอมรื้อบ้านบางหลัง และคืนที่ดินบางส่วนให้แก่ราชการ
ต่อมาเมื่อการเมืองเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อเกิดการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 “ธาริต” ถูกย้ายออกจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอในแทบจะทันที กล่าวคือมีคำสั่งในวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 คล้อยหลังการยึดอำนาจเพียงสองวัน
และจากนั้นเขาก็ถูกตรวจสอบในหลายๆ เรื่องโดยเฉพาะเรื่องร่ำรวยผิดปกติ โดยในปี 2558 ก็เคยถูก ป.ป.ช.อายัดทรัพย์ไว้ 90.26 ล้านบาท จนในวันนี้ที่ ป.ป.ช.มีมติว่าเขาร่ำรวยผิดปกติ
นี่คือชีวิตที่พลิกผันไปมาของข้าราชการที่ถูกมองว่าเป็นนักเอาตัวรอด และเป็นอีกผู้หนึ่งที่สนองขั้วการเมืองอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นสีไหนหรือขั้วไหน
เส้นทางคดี “ธาริต” ร่ำรวยผิดปกติ
เส้นทางคดี “ธาริต” ร่ำรวยผิดปกติ
- ป.ป.ช.ตรวจสอบในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. พบว่า มีเหตุอันควรสงสัยว่าร่ำรวยผิดปกติ
- 30 ต.ค.2557 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งที่ 631/2557 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่ำรวยผิดปกติ โดยมี นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน สืบเนื่องจากมีประชาชนร้องเรียนว่ามีข้าราชการระดับสูงสร้างบ้านที่เกรงว่าจะรุกล้ำเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเขาใหญ่ ป.ป.ช.จึงลงพื้นที่ตรวจสอบและพบว่าเจ้าของบ้านคือ ภรรยาของนายธาริต
- 19 เม.ย.2558 คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า นายธาริต มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจะมีการโอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อนทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการร่ำรวยผิดปกติ จึงได้มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของนายธาริต และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ คู่สมรส ไว้เป็นการชั่วคราว ได้แก่ เงินฝาก ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และยานพาหนะ รวมมูลค่า 40,954,720.58 บาท
-ต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการร่ำรวยผิดปกติของนายธาริต และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ คู่สมรส รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องไว้เป็นการชั่วคราว เพิ่มเติม เมื่อรวมมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ชั่วคราว (ทั้งตอนแรกและตอนหลัง) รวมจำนวนทั้งสิ้น 90,260,687.40 บาท
- 30 ต.ค.2557 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งที่ 631/2557 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่ำรวยผิดปกติ โดยมี นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน สืบเนื่องจากมีประชาชนร้องเรียนว่ามีข้าราชการระดับสูงสร้างบ้านที่เกรงว่าจะรุกล้ำเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเขาใหญ่ ป.ป.ช.จึงลงพื้นที่ตรวจสอบและพบว่าเจ้าของบ้านคือ ภรรยาของนายธาริต
- 19 เม.ย.2558 คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า นายธาริต มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจะมีการโอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อนทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการร่ำรวยผิดปกติ จึงได้มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของนายธาริต และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ คู่สมรส ไว้เป็นการชั่วคราว ได้แก่ เงินฝาก ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และยานพาหนะ รวมมูลค่า 40,954,720.58 บาท
-ต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการร่ำรวยผิดปกติของนายธาริต และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ คู่สมรส รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องไว้เป็นการชั่วคราว เพิ่มเติม เมื่อรวมมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ชั่วคราว (ทั้งตอนแรกและตอนหลัง) รวมจำนวนทั้งสิ้น 90,260,687.40 บาท
-5 ม.ค.2559 นายธาริต เข้าชี้แจงที่มาของทรัพย์สินต่อคณะอนุกรรมการไต่สวน
-10 มี.ค.2559 ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ ว่า นายธาริต ร่ำรวยผิดปกติรวมมูลค่า 346,652,588.52 บาท โดยหลังจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณารายงานผลการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า นายธาริต และนางวรรษมล มีทรัพย์สินมากผิดปกติเกินกว่าฐานะและรายได้ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะพึงมีได้ อีกทั้งยังปรากฏพฤติการณ์โอน ยักย้าย แปรสภาพหรือซุกซ่อนทรัพย์สิน รวมทั้งให้บุคคลอื่นถือทรัพย์สินแทน กล่าวคือ ให้นายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ ซึ่งเป็นหลานชาย และบริษัท ปิยธนวรรษ จำกัด ซึ่งมีนายปิยฤกษ์ และนางกานดา เผือดจันทึก น้องสาวของนางวรรษมล เป็นกรรมการบริษัท มีชื่อเป็นผู้ถือครองทรัพย์สินจำนวนมากแทน
-10 มี.ค.2559 ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ ว่า นายธาริต ร่ำรวยผิดปกติรวมมูลค่า 346,652,588.52 บาท โดยหลังจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณารายงานผลการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า นายธาริต และนางวรรษมล มีทรัพย์สินมากผิดปกติเกินกว่าฐานะและรายได้ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะพึงมีได้ อีกทั้งยังปรากฏพฤติการณ์โอน ยักย้าย แปรสภาพหรือซุกซ่อนทรัพย์สิน รวมทั้งให้บุคคลอื่นถือทรัพย์สินแทน กล่าวคือ ให้นายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ ซึ่งเป็นหลานชาย และบริษัท ปิยธนวรรษ จำกัด ซึ่งมีนายปิยฤกษ์ และนางกานดา เผือดจันทึก น้องสาวของนางวรรษมล เป็นกรรมการบริษัท มีชื่อเป็นผู้ถือครองทรัพย์สินจำนวนมากแทน
-ขั้นตอนต่อไป ป.ป.ช.ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด เพื่อให้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งให้สั่งทรัพย์สินของนายธาริตและผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวน 346 ล้านบาทเศษ ตกเป็นของแผ่นดินต่อไป แต่คดีก็ต้องสู้กันไปตามกระบวนการยุติธรรมจนถึงศาลฎีกา คดีถึงจะเป็นที่สุด
เปิดจดหมาย'เจ้าคุณประสาร'เมื่อแกนนำ'ม็อบพระ'ขอถอยไปตั้งหลัก
ต้องยอมรับในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาคงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ “พระเมธีธรรมาจารย์” (ประสาร จนฺทสาโร) หรือเจ้าคุณประสาร ที่ปรึกษาสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.) พระนักต่อสู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการปลุก “ม็อบพระ”
ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่การยกยอปอปั้น หรือจงใจเสียดสี เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลายครั้งหลายคราเมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญในวงการสงฆ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการเมือง ชื่อเจ้าคุณประสารจะปรากฏอยู่ในฐานะ “แกนนำ” ทุกครั้ง
ขณะเดียวกันเจ้าคุณประสารยังถูกมองว่าเป็นพระสายสีแดงที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพระคู่อริ หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย
หลายปีที่ผ่านมา บทบาทเจ้าคุณประสารเด่นชัดขึ้นมาก โดยก่อนหน้านี้เมื่อปี 2558 เจ้าคุณประสารเคยระดมสงฆ์ด้วยการส่งหนังสือเพื่อขอให้เจ้าอาวาสวัดจากทั่วประเทศส่งจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เพื่อกดดันให้เลือกข้างหลังจาก หลวงปู่พุทธะอิสระ ยื่นหนังสือต่อ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เพื่อฟ้องร้องกล่าวโทษพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เจ้าคุณประสารออกตัวแรงด้วยการเป็นแกนนำในการนำพระสงฆ์ทั้งสังฆมณฑล นัดหมายแสดงสังฆมติด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ที่พุทธมณฑล พร้อมยื่นข้อเสนอ 5 ข้อ เพื่อกดดันให้รัฐบาลเร่งแต่งตั้ง “สมเด็จช่วง” เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ของประเทศไทย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความวุ่นวายจนแทบจะเกิดการปะทะกันระหว่างทหารกับสงฆ์
จากนั้นในวันที่ 7 มีนาคม เจ้าคุณประสารจัดหนักด้วยการนัดแถลงข่าวคัดค้านคำวินิจฉัยของ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” กรณีระบุว่ามติการเสนอชื่อสมเด็จพระสังฆราชของมหาเถรสมาคมผิดขั้นตอนของกฎหมาย แต่สุดท้ายการรวมตัวดังกล่าวกลับไปไม่ถึงฝัน เพราะตำรวจ-ทหารสนธิกำลังเข้ามาควบคุมการแถลงข่าว โดยยกกฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะ 2558 มาใช้ จนทำให้งานแถลงข่าวทำได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ
หลังจากนั้นไม่ถึง 3 วัน ไม่รู้ว่าเพราะความกดดันจากการขยับไปไหนก็ติดขัดไปหมด ปรากฏว่า เช้าตรู่วันที่ 10 มีนาคม เจ้าคุณประสารโพสต์ข้อความใน “เฟซบุ๊ก” ส่วนตัว เพื่อบ่งบอกถึงความรู้สึกว่ามีพลังงานอะไรบางอย่างมากดดัน พร้อมจะขอตัว “ปลีกวิเวก” หายหน้าไปสักพักหนึ่ง
ทั้งนี้ ข้อความที่เจ้าคุณคนดังโพสต์มีใจความว่า
จากใจพระเมธีธรรมาจารย์ ในนามศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย สมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา พร้อมด้วยองค์กรภาคีเครือข่าย อยากจะบอกถึงความในใจของอาตมาที่มีต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งที่ผ่านมาและปัจจุบัน เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน
กว่าหนึ่งปีมาแล้วที่พวกเราร่วมอุดมการณ์เดียวกันในการต่อสู้เพื่อพิทักษ์ปกป้องพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ (ไม่นับถอยหลังไปยาวไกลในผลงาน) ในประเด็นที่นับระยะเวลาเพียงเท่านี้เพราะอยากเริ่มต้นจากการเกิดขึ้นของคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา 2558
ตั้งแต่ต้นปี 2558 เป็นต้นมา เราได้ยินชื่อคนบางคน บางกลุ่ม บางท่านในนามคณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนา(ชื่อที่เข้าใจกัน) และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคณะกรรมการชุดดังกล่าวก็มีเป้าหมายและพันธกิจที่ชัดเจนในการที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะสงฆ์ เปลี่ยนแปลงชนิดที่เรียกว่า 360 องศา เพราะพวกเขาไม่เคยรับฟังแม้กระทั่งเสียงอันแท้จริงของคณะสงฆ์ นอกจากนั้นยังไม่มีพระสงฆ์แม้แต่รูปเดียวที่ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการในชุดดังกล่าว
ดังนั้น พวกเราในนามพระสงฆ์ ชาวพุทธและองค์กรทางพระพุทธศาสนา ต่างเป็นห่วงเป็นใยในทิศทางการปฏิรูปกิจการคณะสงฆ์ภายใต้คณะกรรมการชุดนี้ จึงช่วยกันออกมาท้วงติง ให้สติ ให้ข้อเสนอแนะและชี้บอกแนวทางการปฏิรูปสงฆ์ที่ควรจะเป็นให้รับทราบ
ในทางตรงกันข้าม คณะกรรมการชุดดังกล่าว ซึ่งมีบางคน บางท่าน กลับมองไม่เห็นความปรารถนาดี ความหวังดี และการปฏิรูปที่ควรจะเป็น พวกเขาจึงแสดงออกในทางก้าวร้าว รุนแรง ไม่เคารพ ไม่ให้เกียรติต่อคณะสงฆ์
การพิทักษ์ ปกป้องพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์จึงเกิดขึ้นอีกครั้งด้วยความเต็มใจของทุกฝ่าย และจากความเสียสละอย่างแท้จริง ดังนั้น พระสงฆ์ทั้งมวลจึงร่วมกันเพื่อจะออกมาเจริญพระพุทธมนต์กันถึงสองครั้งสองครา แต่เมื่อองค์กรสูงสุดทางคณะสงฆ์ได้เมตตาแนะนำ พวกเราก็รับฟังและปฏิบัติตามด้วยความเคารพ แม้จะสุ่มเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือในการทำงานก็ตาม
ผลครั้งนั้น ทำให้คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาจำต้องประกาศลาออก ยุบคณะกรรมการ และยุติบทบาทในนามคณะกรรมการในที่สุด
จากนั้นต่อมาฝ่าย สปช. ได้นำเอาประเด็นสรุปของคณะกรรมการปฏิรูปฯ ไปอภิปรายกันด่าคณะสงฆ์ในสภาฯ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย และได้ส่งเรื่องต่อไปยังรัฐบาล พร้อมทั้งแนบท้ายว่า ถ้าไม่มีใครคัดค้านภายใน 30 วัน แสดงว่าเห็นด้วย และให้นำไปดำเนินการเพื่อการปฏิรูปได้
พวกเราต่างเป็นห่วงเป็นใยในเรื่องนี้กัน จึงร่วมมือกันไปยื่นเรื่องคัดค้านแนวทางปฏิรูปดังกล่าวที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พร้อมข้อเสนอแนะ จึงสามารถหยุดยั้งแนวทางปฏิรูปของพวกเขาได้
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบงานในส่วนนี้ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า จะไม่ดำเนินการใดๆ ในเรื่องของคณะสงฆ์ถ้าไม่ได้รับความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคม กว่าจะมีคำพูดนี้ออกมา จะมีกี่คนกี่ท่านที่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง หลายท่านไม่รู้ หลายท่านรู้ ก็ขออนุโมทนา คือเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อไม่นาน นึกว่าเรื่องจะสงบ เรียบร้อย ไม่มีใครกวนน้ำให้ขุ่นอีกต่อไป
เริ่มต้นศักราชใหม่ ต้นปี 2559 ก็มีเรื่องการเสนอรายนามสมเด็จพระราชาคณะ ที่ดำเนินการตามกฎหมายและจารีตประเพณีเพื่อเสนอทูลเกล้าฯ ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ แต่ปรากฏว่า มีคนกลุ่มเดิม ชุดเดิมแปลงร่างมาอยู่ในองค์กรใหม่ พวกเขาได้ร่วมกันเซ็ตเรื่อง เซ็ตปัญหา เซ็ตสถานการณ์ เพื่อนำไปสู่การขัดขวางการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ทั้งที่ในวงการคณะสงฆ์ไม่มีปัญหาข้อขัดแย้งใดๆ ต่อกัน
การหักล้างด้วยเหตุ ด้วยผล และความร่วมมือร่วมใจกันจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้การต่อสู้ค่อนข้างยาวนาน สลับซับซ้อนมากกว่าคราวปฏิรูปฯ มีตัวละครเพิ่มมากขึ้น มีความพยายามขัดขวางคณะสงฆ์อย่างเป็นระบบ งานจึงหนักมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
แต่พวกเราก็ไม่ท้อ ไม่ถอย ไม่เสียกำลังใจ เพราะพวกเราเชื่อมั่นโดยสุจริตใจว่าพวกเราได้ทำหน้าที่สำคัญเพื่อพิทักษ์ปกป้องพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ พวกเราจึงเดินหน้า แม้บางคน บางกลุ่ม จะไม่เข้าใจหรือพยายามไม่เข้าใจก็ตาม
15 กุมภาพันธ์ 2559 พระสงฆ์ทั้งสังฆมณฑล ได้นัดหมายกันเองในการออกไปแสดงสังฆมติโดยการเจริญพระพุทธมนต์และยื่นข้อเสนอ 5 ข้อต่อรัฐบาล พวกเราไปเจริญพระพุทธมนต์ที่ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก เพื่อแสดงสังฆมติสนับสนุนกิจการพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ไม่ใช่ม็อบ ไม่ใช่การกดดันรัฐบาลแต่อย่างใด
7 มีนาคม 2559 มีการนัดหมายเพื่อแถลงข่าวในกรณีคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน เพราะพวกเรามีความเห็นแย้งกับผู้ตรวจการแผ่นดิน ทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายรวมทั้งจารีตประเพณีด้วย
แต่การแถลงข้อเท็จจริงของฝ่ายเราก็ไม่สามารถดำเนินการไปได้ ไม่ว่าจะแถลงหนึ่งคนหรือเกินห้าคนก็ตาม เพราะตำรวจได้สนธิกำลังกับทหาร ยกกฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะ 2558 มากล่าวอ้าง การแถลงข่าวในวันนั้นจึงทำได้เพียงบางส่วนสั้นๆ และถูกควบคุมอย่างใกล้ชิด ดังปรากฏตามข่าวทุกสำนักที่ได้เห็น
จากนี้ไปชัดเจนว่า ฝ่ายเราจะทำอะไรก็ลำบาก ลำบากมากขึ้นจริงๆ
พระเมธีธรรมาจารย์ อยากพูดอะไรในภาวการณ์เช่นนี้
1.อาตมาและคณะปฏิบัติตามกฎหมาย พระธรรมวินัยและจารีตประเพณีไม่เคยละเลย ขอยืนยันชัดเจน 2.ในสมองไม่เคยแม้แต่จะคิดในการที่จะสร้างความวุ่นวาย ปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง ไม่เคยเลยจริงๆ นอกจากแสวงหาความเป็นธรรม 3.พวกเราเพียงแต่ร่วมกันเสียสละเพื่อพิทักษ์ ปกป้องพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ด้วยใจที่บริสุทธิ์ 4.พวกเราต่างเทิดทูนสถาบัน ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ด้วยศรัทธาที่เปี่ยมล้น
จากนี้ไปจะทำอะไร ?
คงบอกยากว่าจะทำอะไร บอกยากจริงๆ เพราะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ประเดี๋ยวความปรารถนาดีของฝ่ายเราจะถูกแปลความหมายไปในทิศทางที่ทางตรงกันข้าม ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า พวกเราไม่เคยท้อ ไม่เคยถอย มีกำลังใจที่ดีในการทำหน้าที่เพื่อรักษาความถูกต้องดีงามของพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ไว้ ไม่เคยทำความวุ่นวาย เดือดร้อนให้ประเทศชาติบ้านเมือง
จากนี้ไป ขอเวลาในอีกสัก 2-3 วันข้างหน้า เพื่อไปนั่งกรรมฐาน หาความสงบที่วัดป่าในชนบท เพื่อขัดเกลาจิตใจของตนเอง เวลานี้บอกได้เพียงเท่านี้
พระเมธีธรรมาจารย์ (เจ้าคุณประสาร จนฺทสาโร) #เจ้าคุณประสาร 10 มีนาคม 2559
ที่มา ; เว็บ นสพ.คมชัดลึก
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
เตรียมสอบครูผู้ช่วย
เตรียมสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
เตรียมสอบครูผู้ช่วย
ฟรี... ห้องเตรียม-ครูผู้ช่วย
-ผู้บริหาร-บุคลากรการศึกษา ที่
ฟรี... ห้องเตรียม-ครูผู้ช่วย
-ผู้บริหาร-บุคลากรการศึกษา ที่
" ติวสอบดอทคอม "
" ติวสอบดอทคอม "
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น