เรื่องใหม่น่าสนใจ
-ครม.ประยุทธ์ 3 http://tuewsob.blogspot.com/2015/08/blog-post_23.html
-เขตที่เปิดสอบ-เกณฑ์สอบ-กำหนดการสอบครูผู้ช่วย รอบ 2 / 2558
-เกณฑ์การย้ายครู พ.ศ.2558 http://www.otepc.go.th/images/document/2558/v16-2558.pdf
-รัฐธรรมนูญ 2557 แก้ไข ครั้งที่ 1 พ.ศ.2558
- พรบ.เงินเดือนใหม่ข้าราชการครูฯ พ.ศ.2558
http://tuewsob.blogspot.com/2015/05/4-10-1-57.html
ข้อสอบออนไลน์ ( สอบครู - ผู้บริหาร - บุคลากรการศึกษา) ชุดใหม่ โดย อ.นิกร
ข้อสอบออนไลน์ ( สอบครู - ผู้บริหาร - บุคลากรการศึกษา) ชุดใหม่ โดย อ.นิกร
เตรียมสอบ บน ยูทูป ทั้งหมด ได้ที่
บิ๊กตู่ให้อิสระสปช. ‘โหวตเสรี’ โปรดเกล้าฯแล้ว จักรทิพย์ผบ.ตร. นพดลเฮพ้นคดี
สปช. 2 ขั้วระเบิดศึกล็อบบี้เดือด “ประสาร” แฉก๊วนรับงาน อ้าง คสช.ส่งซิกล้มโต๊ะ แบ่งทีมโทร.จิก-กล่อมก๊วนย่อย-ปั่นยอดโหวตโกยเรตติ้ง กลุ่มจ้องคว่ำเดินเกมหนัก ต่อสายตรงโน้มน้าวพวกลังเลวันละ 5 รอบ กุมขมับ 40 เสียง แทงกั๊กชื่อโผล่ทั้งสองฝ่าย “ทิวา” ฟุ้งกลุ่มทำแท้ง รธน.แต้มพุ่ง 140 เสียง ผวาวันสุดท้ายสวิงกลับ เร่งสปีดดึงคะแนนสายวิชาการ-สายสังคม “เอกราช” โวภาพรวม 80 เปอร์เซ็นต์รับไม่ได้ คปป. นายกฯคนนอก เทใจไม่เอาด้วย “ประยุทธ์” ย้ำไม่คิดเลื่อนโรดแม็ป ให้อิสรเสรี ไม่ชี้นำ ทูลเกล้าฯถอดยศ “ทักษิณ” แล้ว รองโฆษกรัฐวอนอย่ามองกลั่นแกล้งกัน ผบ.ตร.ปัดตั้งแท่นถอนพาสปอร์ต “จาตุรนต์” สั่งตรวจสอบหาที่มา ศาลฎีกาฯลงมติ 6 ต่อ 3 ยกฟ้อง “นพดล” คดีปราสาทพระวิหาร อดีต รมว.กต.หลั่งน้ำตาอโหสิกรรม ศาลอาญาจำคุกตลอดชีวิต 4 มือยิงเอ็ม 79 ถล่ม กปปส.
กรณีสภาที่ปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้ฤกษ์ลงมติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ หลังจากกลุ่มที่เห็นควรรับและกลุ่มที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญต่างขับเคี่ยวล็อบบี้คะแนนเสียงกันอย่างเข้มข้น ซึ่งแนวโน้มคะแนนเสียงจะออกมาสูสีกันนั้น
กมธ.ยกร่างฯน้อมรับคำตัดสิน
เมื่อวันที่ 4 ก.ย. ที่รัฐสภา พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช สมาชิกปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อลงมติว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 6 ก.ย.ว่า ตนถูกเลือกจาก สปช.ให้ไปยกร่างรัฐธรรมนูญ บัดนี้ ได้ทำหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว ภายใต้ปัจจัยและภาวะสุ่มเสี่ยงจากความคิดเห็นและความต้องการที่แตกต่าง จนถึงแตกแยกกันในสังคม ตลอดระยะเวลา 9 เดือน 18 วัน ที่พวกเราทุกคนทำงานกันอย่างหนัก หากผลงานของ กมธ.ยกร่างฯจะเป็นประโยชน์นำพาชาติไทยไปสู่ความสงบสุขได้ คงจะได้รับเสียงยอมรับจาก สปช. แต่ถ้าผลออกมาตรงกันข้ามแสดงว่าน่าจะมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ เชื่อว่าพวกเราทุกคนพร้อมน้อมรับทุกการตัดสินใจ เพื่อประโยชน์ของประเทศไทยและปวงชนชาวไทย
เชื่อดุลพินิจไม่เกี่ยวผลประโยชน์
นายคำนูณ สิทธิสมาน สปช.และโฆษก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวล็อบบี้ให้ลงมติไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญว่า ตนไม่ทราบเพราะไม่มีใครมาล็อบบี้ และไม่ได้ไปล็อบบี้ผู้ใดด้วย เชื่อว่า สปช.จะใช้ดุลพินิจตามประสบการณ์ ความรู้และความสามารถ จากที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญไปพิจารณาแล้ว ถึง 15 วัน จะไม่มีประเด็นประโยชน์อื่นใดมาเกี่ยวข้อง ส่วนที่มีข่าวการล็อบบี้แลกรับผลประโยชน์ทางการเมือง ขอไม่ออกความเห็น เพราะไม่รู้ว่าข่าวล็อบบี้มีจริงหรือไม่
ผวานักการเมืองไม่เอาไปไม่รอด
ด้านนายอุทัย สอนหลักทรัพย์ สปช. และรองประธานคณะ กมธ.ปฏิรูปการเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชย์ การท่องเที่ยว และบริการ คนที่สองกล่าวว่า เท่าที่ฟังเสียงขณะนี้ก้ำกึ่งกันมาก แต่เรื่องคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) จะทำให้เสียงโหวตผ่านลดลง ไม่แน่ใจว่าหาก สปช.โหวตผ่านรัฐธรรมนูญไป จะผ่านประชามติของประชาชนหรือไม่ ได้ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรจำนวนมากบอกว่านักการเมืองส่งสัญญาณล่วงหน้าแล้วว่าประชามติมาก็ไม่เอาด้วย หากสูญเงิน 3 พันล้านบาทไปฟรีๆ ใครจะรับผิดชอบ สปช.ต้องมีจิตสำนึก เงินเดือน สปช.เเต่ละคนที่เสียไปรวมกันกว่าพันล้านบาทเเล้ว ต้องพบกันครึ่งทาง อย่าไปสุดซอย ถ้านักการเมืองไม่เอาหวั่นวิตกว่าจะไปไม่รอด
“อลงกรณ์” แนะมองสิ่งสำคัญ 3 ข้อ
นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วิป สปช.) กล่าวว่า การลงมติร่างรัฐธรรมนูญ สปช.ทำได้ 3 แนวทาง คือ 1.เห็นชอบ 2.ไม่เห็นชอบ 3.งดออกเสียง หากร่างรัฐธรรมนูญผ่านความเห็นชอบจะดำเนินการสู่วาระที่ 2 คือ การตั้งคำถามประกอบการทำประชามติ ที่ประชุมต้องลงมติว่าจะให้มีคำถามหรือไม่ หากมีมติให้มีคำถามต้องพิจารณาให้เสร็จก่อนเวลา 24.00 น. ของวันที่ 6 ก.ย. ยืนยันว่าไม่มีการล็อบบี้ ทุกคนมีเหตุผล เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ สมาชิกทุกคนมีอิสระ โดยอยากให้ สปช.มองสิ่งสำคัญ 3 ข้อ คือ 1.มองเจตนารมณ์และเนื้อหาของรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ 2.สถานการณ์บ้านเมืองในวันข้างหน้าที่มีผลจากรัฐธรรมนูญนี้ และ 3.มองเป้าหมายของประเทศตามที่รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 กำหนดไว้
ด้านนายนิมิต สิทธิไตรย์ สปช.อุบลราชธานี กล่าวว่า ขอปฏิเสธข่าว สปช.แบ่งเป็น 2 ฝ่ายล็อบบี้คะแนนเสียง โดยพาดพิง คสช.และรัฐบาลว่าชี้นำ ซึ่งไม่เพียงสร้างความสับสนให้ประชาชน ยังกระทบต่อศักดิ์ศรีของ สปช.ด้วย ผลที่ออกมาไม่ใช่เรื่องแพ้ชนะ แต่เป็นความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง สปช.ไม่มีการแบ่งฝ่าย ทุกคนมีเกียรติมีวุฒิภาวะ ตัดสินใจได้อย่างอิสระ ไม่ต้องมีใครมาชี้นำ ทุกคนปฏิญาณว่า จะทำหน้าที่เพื่อชาติ จึงขอให้ สปช.ทำหน้าที่ครั้งสุดท้ายให้ดีที่สุด
กระตุกสำนึกอย่าไหลตามกระแส
นายประสาร มฤคพิทักษ์ สปช.กลุ่มที่สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญกล่าวว่า ขณะนี้มีข่าวลือหนาหูว่า คสช.ส่งสัญญาณให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ โดยล่อใจว่าจะได้ตีตั๋วต่อเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป ไม่รู้เรื่องนี้จริงหรือไม่ แต่ฟังมาว่ามีการบริหารจัดการแบ่งงานกัน บางคนมีหน้าที่โทรศัพท์ นัดคุยเป็นกลุ่ม บางคนคอยออกสื่อ บางคนยกเมฆตัวเลขสูงๆ ของฝ่ายคว่ำไว้จูงใจเพื่อน สปช. บางคนเอาสว่านเจาะเรือให้รั่ว เพื่อทำลายความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ ขนาดเอาชันยารูรั่วแล้ว ยังไปเจาะรูใหม่ไม่เลิกรา พวกนี้มักทำงานอยู่ในหลืบซอกมุมมืดที่ไม่ต้องแสดงตัวเปิดเผย ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ย้ำตลอดสัปดาห์จะทำตามโรดแม็ป ส่วน คปป.คือทางออกประเทศ จึงเป็นหลักประกันว่าการปฏิรูปต้องเดินหน้าต่อไป ถอยหลังไม่ได้ เชื่อว่า สปช.ส่วนใหญ่ จะเคารพตนเอง ไม่ไหลเคลื่อนไปตามสัญญาณหรือบัญชาใคร ไม่ใช่การยื่นหมูยื่นแมวระหว่างคะแนนเสียงกับตำแหน่งล่อใจ
ลั่นต้องทำแท้ง รธน.ก่อนแตกแยกยับ
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่รัฐสภา นายบุญเลิศ คชายุทธเดช แถลงถึงการลงมติร่างรัฐธรรมนูญว่า หลังจากประกาศจุดยืนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญไป มี สปช.หลายรายมาขอร้องให้เปลี่ยนใจสนับสนุน แต่ปฏิเสธไปว่า ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ หาก สปช.เสียงส่วนใหญ่ให้ผ่านหรือไม่ผ่าน ขอให้เป็นไปด้วยคะแนนท่วมท้นขาวสะอาด ปราศจากข้อครหาว่าได้คะแนนมาอย่างไม่ชอบธรรม เพราะหากผ่านความเห็นชอบไปอย่างสูสี แล้วถูกคว่ำในชั้นประชามติ จะเสียหายอย่างใหญ่หลวง ทั้งค่าจัดพิมพ์ ค่าดำเนินการลงมติ รวมกว่า 3 พันล้านบาท รวมทั้งความแตกแยกปั่นป่วนและความเคลื่อนไหวที่แย่ต่อ คสช. ซึ่ง สปช. ที่ลงมติให้ผ่านก็คงไม่สามารถรับผิดชอบอะไรได้ ตนไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่าให้ สปช.รับร่างรัฐธรรมนูญไปก่อนแล้วค่อยให้ประชาชนไปลงมติ เพราะตนมองว่าต้องหยุดร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปก่อน แล้วให้คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ 21 คน ชุดใหม่ ปรับแก้ให้ดีขึ้นจนเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย และค่อยนำร่างที่ได้รับการปรับแก้ไปให้ประชาชนลงมติ
โวสายอีสาน 95% เทเสียงไม่เอาด้วย
นายเอกราช ช่างเหลา สปช.ขอนแก่น กล่าวว่า ขณะนี้ สปช.จังหวัด โดยเฉพาะภาคอีสาน จำนวน 95% จะโหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เป็นตัวเลขที่ค่อนข้างจะนิ่งแล้ว คาดว่า เมื่อรวม สปช.ทั้ง 247 คนแล้ว จะมี สปช. 80% ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีประเด็นรับไม่ได้คือ คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) ที่มานายกรัฐมนตรีคนนอก อำนาจ ส.ว. ประเด็นเหล่านี้ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ยืนยันว่า ไม่มีการล็อบบี้ แต่เมื่อทุกคนเมื่อได้ศึกษาร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ต่างเห็นไปในทางเดียวกัน และไม่มีบิ๊ก คสช.คนใดมาสั่งการในการลงมติ
นางจุไรรัตน์ จุลจักรวัฒน์ สปช.เชียงใหม่ กล่าวว่า จะลงมติไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ไม่มีใครมาล็อบบี้ ที่ไม่ให้ผ่าน เพราะเนื้อหาไม่สมบูรณ์ อาทิ กับดักบทบัญญัติที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับนายกฯมาจากคนนอกได้ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปฯ ยังขาดๆ เกินๆ ถ้ายกมือผ่าน อาจไปผลักภาระให้ประชาชน
กลุ่มคว่ำคุยแต้มพุ่ง 140 เสียง
นายทิวา การกระสัง สปช.บุรีรัมย์ กล่าวถึงการนัดประชุม สปช.จังหวัดภาคอีสาน เมื่อคืนวันที่ 3 ก.ย.ว่า เป็นการนัดเลี้ยงสังสรรค์ขอบคุณ สปช.ภาคอีสาน หลังทำงานร่วมกันมานาน ได้พูดคุยประเมินทิศทางคะแนนเสียงของกลุ่มไม่รับร่างรัฐธรรมนูญกันบ้าง ขณะนี้เสียง สปช.ทั้งสองกลุ่มสูสีกันมาก เท่าที่เช็กเสียงล่าสุดกลุ่มไม่รับร่างรัฐธรรมนูญมีเสียงอยู่ 140 เสียง แต่คะแนนส่วนนี้ยังอาจจะสวิงกลับไปที่ฝ่ายรับร่างรัฐธรรมนูญได้ประมาณ 20 เสียง ถ้าคะแนนส่วนนี้สวิงกลับไปจริง กลุ่มไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ จะมีคะแนนตามหลังกลุ่มรับร่างรัฐธรรมนูญทันที แต่ตามอยู่ไม่มาก จึงต้องเร่งทำความเข้าใจให้เพื่อนสมาชิก สปช.ทราบถึงข้อเสียของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ขณะนี้เสียง สปช.สายจังหวัดจะร่วมโหวตไม่รับร่างด้วยจำนวนมาก แต่กลุ่มไม่รับร่างฯอยากได้เสียงจาก สปช.สายวิชาการ และสายสังคมที่ยังเทเสียงมาให้แค่บางส่วนเท่านั้น
สปช.คึกคักเช็กเสียงรับ–ไม่รับ รธน.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ถึงความเคลื่อนไหวก่อนถึงวันลงมติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 6 ก.ย.ว่า ขณะนี้ สปช.กลุ่มที่สนับสนุนให้รับร่างและกลุ่มที่จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญยังคงเดินเกมล็อบบี้ขอคะแนนเสียงจากสมาชิก สปช.อย่างเข้มข้น ทั้งสองฝ่ายแบ่งทีมออกเป็นกลุ่มย่อยๆนัดรับประทาน ไล่เช็กเสียงและประเมินสถานการณ์กันแบบวันต่อวัน ล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 3 ก.ย. คณะ กมธ.ปฏิรูปเศรษฐกิจ 14 คน นำโดยนายสมชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กมธ.ปฏิรูปเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนให้ผ่านร่างรัฐธรรมนูญ ได้นัดรับประทานอาหารค่ำที่โรงแรมริเวอร์ไซด์ เพื่อเลี้ยงสังสรรค์ขอบคุณที่ทำงานร่วมกันมา โดยมีการประเมินสถานการณ์ลงมติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 6 ก.ย. แต่ไม่ได้มีมติการโหวตลงมติอย่างเป็นทางการ ให้เป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละคน ขณะเดียวกัน ช่วงค่ำวันที่ 4 ก.ย. สปช.จังหวัดสายอีสาน นำโดยนายชัย ชิดชอบ นัด สปช.จังหวัดภาคอีสานทั้งหมดมานัดหารือถึงการลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่ รร.พูลแมนด้วย
กลุ่มคว่ำรุกคืบล็อบบี้หนักมาก
ผู้สื่อข่าวรายงาน ขณะที่กลุ่ม สปช.ที่จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญได้เดินเกมล็อบบี้ เพื่อโน้มน้าวใจเพื่อนสมาชิกอย่างหนัก โดยใช้วิธีโทรศัพท์ไปหาสมาชิก สปช.ที่ยังลังเลไม่ตัดสินใจในการลงมติ วันละ 5 รอบ โดยเปลี่ยนคนที่ทำหน้าที่โทรศัพท์ไปล็อบบี้แบบไม่ซ้ำหน้ากัน เพื่อยกเหตุผลหว่านล้อมต่างๆ นานา ชี้ให้เห็นถึงผลเสียของร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมอ้างชื่อสมาชิก สปช.คนอื่นๆ ที่ยังลังเลว่า ได้ตัดสินใจคว่ำร่างรัฐธรรมนูญไปแล้ว พร้อมกับอ้างชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม และคนสุดท้ายที่โทรศัพท์ไปล็อบบี้จะทิ้งทวนอ้างว่ามีคำสั่งมาจากนายกฯ ให้ลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจูงใจให้คนที่ยังลังเลเทคะแนนไม่รับร่างฯ ทำให้เสียง สปช.ที่จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เพิ่มขึ้นมาแตะอยู่ที่ 100-120 เสียงแล้ว
สปช.จังหวัด–ท้องถิ่นเทเสียงเบรก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนเสียง สปช.ที่จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่เพิ่มขึ้นมานั้น ส่วนใหญ่เป็น สปช.จังหวัด ที่จะเทคะแนน 70-80% ให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ สปช.สายภาคเหนือ อีสาน ที่เทเสียงให้เกือบทั้งหมด ตลอดจนนักวิชาการในสายของนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะ กมธ.ปฏิรูปการเมือง นอกจากนี้ยังมี เสียง สปช.จากกลุ่มคณะ กมธ.ปฏิรูปการปกครองท้องถิ่น ที่เดิมจะลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญทั้งคณะ แต่ล่าสุดในการประชุมนายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 ก.ย. ที่ประชุมมีมติให้ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้เสียง สปช.ที่เป็นสมาชิกของสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ประมาณ 10 คน ที่อยู่ใน กมธ.ปฏิรูปการปกครองท้องถิ่น เปลี่ยนใจหันมาสนับสนุนการไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ
40 สปช.แทงกั๊กมีชื่อโผล่ทั้ง 2 กลุ่ม
ผู้สื่อข่าวรายงาน อย่างไรก็ตาม จากการเช็กเสียงสมาชิก สปช.ทั้งกลุ่มที่สนับสนุนให้รับร่างและกลุ่มที่จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พบว่ายังมีสมาชิก สปช.ประมาณ 30-40 คน มีชื่ออยู่ใน สปช.ทั้งสองกลุ่มดังกล่าว ทำให้ สปช.ทั้งสองกลุ่มยังไม่สามารถระบุจำนวนเสียงของฝ่ายตัวเองแบบชัดเจนได้
กมธ.เศรษฐกิจพอใจเนื้อหา
นายสมชัย ฤชุพันธุ์ สปช.และประธาน กมธ. ปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง ให้สัมภาษณ์ กรณีมีกระแสข่าวว่า กมธ.ปฏิรูปเศรษฐกิจฯ ได้นัดพบปะกันที่โรงแรมริเวอร์ไซด์ เมื่อวันที่ 3 ก.ย.ว่า ยอมรับว่าเราได้นัดทานข้าวกันจริง แต่ไม่ได้นัดเพื่อคุยเรื่องการเมือง ไม่มีการเช็กเสียงโหวตรัฐธรรมนูญ มีแต่การร้องเพลงสังสรรค์เลี้ยงอำลา ตนกับ กมธ.ปฏิรูปเศรษฐกิจ แต่ละคนไม่มีความรู้เรื่องการเมือง จึงวิเคราะห์กันไม่ได้ ว่ารัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่าน หรือเสียงโหวตของ สปช.ขณะนี้กำลังสูสีหรือทิ้งห่างกัน แต่ได้คุยกันว่า กมธ.ปฏิรูปเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่รู้สึกพอใจกับสิ่งที่ กมธ.ยกร่างฯ ยอมปรับแก้หลายเรื่องในรัฐธรรมนูญตามที่กลุ่มเราเสนอแนะไป
“วิษณุ” ปัดข่าวลวงใบสั่ง คสช.
เมื่อเวลา 09.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการลงมติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของ สปช.ในวันที่ 6 ก.ย.ว่า ยืนยันรัฐบาลให้อิสระกับ สปช.ทุกคนไม่มีการส่งสัญญาณให้ สปช.รับหรือไม่รับแต่อย่างใด หากมีสัญญาณจริงตนในฐานะผู้ดูแลงานด้านกฎหมายของรัฐบาลจะต้องรับทราบก่อนคนอื่น เป็นข่าวลวง หากมีสัญญาณจริงจะไม่มีการปล่อยข่าว
ย้ำยึดเสียงข้างมากผู้มาใช้สิทธิ
นายวิษณุกล่าวว่า ส่วนปัญหาการตีความมาตรา 37 วรรค 7 ว่าด้วยการทำประชามติในรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับแก้ไขเพิ่มเติมแตกต่างกันว่า ไม่ทราบว่าจะเป็นปัญหาหรือไม่ แต่สุดท้ายต้องได้ข้อยุติสำหรับรัฐบาลและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เข้าใจอย่างไรให้เดินหน้าไปแบบนั้น ยึดทั้งเจตนารมณ์และตัวอักษร ซึ่งตัวอักษรชัดเจนอย่างที่เคยบอกไปว่า การออกเสียงประชามติให้ยึดเสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิออกเสียง แต่คนที่เห็นต่างอย่าไปตำหนิติติง ทุกมาตราในรัฐธรรมนูญที่เขียนหรือกฎหมายที่ผ่านออกมาแล้ว มันชวนให้คิดออกมาได้ทั้งนั้น ยิ่งถ้าตั้งต้นด้วยจุดยืนที่เห็นต่างกันก็พยายามจะหาช่องจนได้ ถือเป็นเรื่องธรรมดา อย่างไรก็ตาม การเขียนว่าออกเสียงประชามติให้ยึดเสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิออกเสียง เป็นความตั้งใจ แต่อาจจะเขียนสั้นไปเท่านั้น ทั้งนี้คงไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมก่อนทำประชามติ หากเถียงกันแล้วต้องแก้ทั้งหมดคงต้องแก้ทุกเรื่อง แต่หากมีคำตอบออกมาว่าที่พูดกันมานั้นผิดก็ต้องแก้ หรือหากตีความออกมาว่าถูกเราก็ใช้ตามนี้ สุดท้ายต้องจบลงตรงไหนสักที่หนึ่ง หากมีช่องทางไปศาลรัฐธรรมนูญได้ก็ต้องไป แต่เบื้องต้นถ้าไปสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนได้จะหยุดไว้ที่ชั้นนั้น ปัญหาคือใครที่สงสัยก็ส่งเรื่องไป แต่รัฐบาลไม่ได้สงสัย
“บิ๊กป๊อก” เข้มผลเป็นอย่างไรก็ต้องรับ
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ไม่ว่าผลการลงมติของ สปช.จะออกมาเป็นอย่างไร ประชาชนทุกคนต้องรับให้ได้ และจะต้องไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น หากประเทศไทยและคนไทยยังไม่รู้ว่าการโหวตนี้มีทั้งผ่านและไม่ผ่าน และจะต้องวุ่นวายคงจะเดินไปไหนไม่ได้ทั้งสิ้น จะให้ออกมาทางใดทางหนึ่งไม่มีในโลกนี้ หรือจะต้องไปร่างกฎหมายให้โหวตผ่านอย่างเดียวหรือไม่ผ่านอย่างเดียวก็ไม่มีเช่นกัน เมื่อถามว่ามีผู้กล่าวอ้างว่ามีเบื้องหลังการโหวตร่างรัฐธรรมนูญ พล.อ.อนุพงษ์ตอบว่า อย่าปล่อยให้เขากล่าวอ้าง ขอยืนยันว่าไม่มี
นายกฯเกาะติด แต่ไม่กังวล
พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์ โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ต่อการโหวตร่างรัฐธรรมนูญของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในวันที่ 6 ก.ย. ว่า นายกฯติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่ไม่ได้มีความกังวลอะไรมากนัก โดยมองว่าเป็นเรื่องของ สปช.ที่มีการกำหนดโรดแม็ปไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว หากผ่านหรือไม่ผ่านจะต้องดำเนินการอย่างไร มีการกำหนดอย่างชัดเจนแล้วว่าแต่ละเงื่อนไขเป็นอย่างไร
ย้ำให้อิสระเสรี ไม่ชี้นำ สปช.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติว่า คสช.เดินตามโรดแม็ป ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนและเลื่อน โดย กมธ.ยกร่างฯได้ส่งร่างรัฐธรรมนูญให้ สปช.แล้ว จะผ่านหรือไม่เป็นเรื่องของ สปช. ถ้าผ่านจะต้องมั่นใจให้ได้ว่าต้องการปฏิรูปและไม่มีความขัดแย้ง ถ้าไม่ผ่านก็ไปดูว่าไม่ผ่านตรงไหน แต่ถ้าผ่านด้วยเหตุผลว่าไม่เป็นประชาธิปไตย อันนี้ไม่เป็นธรรมกับประชาชน ขอให้ สปช.พิจารณากันให้ดี หลายท่านอยากให้ตนออกมาตัดสินแต่ไม่ได้ ขอให้พิจารณาให้ครบทุกหมวด ไม่ใช่เฉพาะหมวดที่มีผลกระทบกับพรรคการเมือง การลงมติของ สปช.เป็นเสรีและอิสระ ไม่ต้องให้ใครชี้นำ ใครเห็นด้วยก็ลงเห็นด้วย ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่เห็นด้วย ตนเคารพการตัดสินใจของทุกท่าน หวังให้ประเทศเดินหน้าปฏิรูป และมีรัฐบาล นักการเมืองที่ดี ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ สปช.ในวันที่ 6 ก.ย.
เฉ่งขบวนการทำลายชาติไม่หยุด
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในช่วงนี้ประเทศชาติกำลังมีปัญหา มีภัย ตนเข้ามาแล้วก็ยังไม่หยุด หลายเรื่องทั้งในประเทศ นอกประเทศ อะไรบ้างที่มีความขัดแย้งกันทั่วไป ต้องลดของเราให้มากที่สุด เพื่อจะได้รวมกำลังกัน ป้องกันที่จะมาจากภายนอก ขณะเดียวกันขณะนี้มีบางคน บางพวกบางกลุ่มพยายามที่จะทำให้ในประเทศไม่เข้มแข็ง เพื่อจะไปสู่อะไรก็แล้วแต่ของท่าน ประชาชนต้องปฏิเสธ คนเหล่านี้ไม่ได้หวังดีกับท่าน ไม่อยากจะบอกว่าตนดีกว่าเขา แต่ดูการแสดงออกดูการทำงาน ดูการพูดการชี้แจงของตนแล้วกัน เคยฟังใครเขาพูดอย่างตนได้หรือไม่
“พิเชษฐ” รักทหาร แต่รัก ปชต.ยิ่งกว่า
วันเดียวกัน นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีต รมช.คลัง และอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ผมรักทหาร ไม่เคยรังเกียจทหาร แต่ผมยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย รักประชาธิปไตยและประเทศชาติยิ่งกว่า ยืนยันไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเจ้าปัญหาฉบับนี้ ผมเกิดทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ยึดมั่นและสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งแปลว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ผมสนับสนุนให้ทหารหาญเป็นผู้จงรักภักดี พิทักษ์รักษาราชอาณาจักรไทยและราชบัลลังก์ให้ตัวแทนประชาชนเป็นนักการเมืองที่ดีเพื่อประชาชน ให้ทหารเป็นทหารมืออาชีพ ที่มีเกียรติศักดิ์ เพื่อความอบอุ่นใจของประชาชนอย่างแท้จริงไม่อยากให้ทำหน้าที่สับสนกัน จนทำให้ประชาธิปไตยมีปัญหาตลอดมา
ย้ำหัวตะปูต้องคว่ำชั้นประชามติ
นายพิเชษฐ ระบุต่อว่า “ประชามติ” คือประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ร่างรัฐธรรมนูญจะต้องผ่านประชามติ ยืนยันมีความเห็นส่วนตัวไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผมไม่อาจชักจูงผู้ใด แต่หวังให้ความเห็นต่างๆ ช่วยประกอบการตัดสินใจของ สปช.ในวันที่ 6 ก.ย. ก่อนจะต้องสูญเสียงบประมาณหลายพันล้านบาทเพื่อความล้มเหลว และสารพัดปัญหาที่จะประดังต่อมา โดยนายพิเชษฐ กล่าวด้วยว่า ตอนนายชวน หลีกภัย เป็น รมว.กลาโหม ตนเป็น รมช.คลัง ได้ช่วยสนับสนุนกองทัพไว้มากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 40 นายทหารใหญ่ยุคปัจจุบันยังอยู่ต่างจังหวัด นายทหารรุ่นนั้นทราบดี ทั้งนี้จำเป็นต้องประกาศจุดยืนประชาธิปไตยเพื่อรักษาหลักการไว้
“ชูวิทย์” สีซอเหน็บอย่ามาอ้าง ปชช.
ช่วงบ่ายที่รัฐสภา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้ถือตะเกียง นำซออู้มาสีต่อ หน้าสื่อมวลชน โดยกล่าวว่าตนเล่นซออู้ไม่เป็น ไปเล่นให้ประชาชนฟังก็ไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าคนข้างบนบอกว่าเล่นดีก็ดี เพราะเชื่อฟังคำสั่ง คสช. ยุคสมัยเปลี่ยนไป นักการเมืองเลวโกงกินคอร์รัปชัน เล่นพรรคพวกโกงเลือกตั้ง แต่ทุกคนก็เลวอยู่ในระบบที่ประชาชนเลือกมา แต่พวกที่นอกกฎเกณฑ์คือพวกอีแอบไม่เคยเลือกตั้ง เวลามีรัฐประหารก็มาแอบ ส่วนเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ สปช.จะโหวตอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าผ่านไปจนถึงประชามติ รัฐบาลต้องเสี่ยงเอง ถือเป็นความรับผิดชอบที่ใหญ่หลวง หากประชามติไม่ให้ผ่านอาจส่งผลลบสร้างความเสียหาย หากโหวตไม่ผ่าน ต้องรับผิดชอบในฐานะผู้ร่าง เหมือนเดินหน้าติดกึกถอยหลังติดกัก จะมาอ้างประชาชนไม่ได้ เพราะท่านไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
บุกค้นบ้านนักกิจกรรมทำเสื้อโหวตโน
เมื่อเวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ราว 10 นาย พร้อมรถจี๊ปฮัมวี่ บุกเข้าค้นบ้านพักของนายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ หรือ “ฟอร์ด เส้นทางสีแดง” นักกิจกรรม เสื้อแดง หลังนายอนุรักษ์ได้ประกาศผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เตรียมจะจัดทำเสื้อยืด vote no ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญออกจำหน่าย และเริ่มมีคนเข้ามาสั่งจองเสื้อจำนวนมาก นายอนุรักษ์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ย. มีทหารโทร.มาขอให้หยุด ทำเสื้อ จึงประกาศทางเฟซบุ๊กไปแล้วว่าจะคืนเงินให้ผู้สั่งจอง แค่ข้ามวันก็มาบุกค้นบ้าน โดยไม่มีหมายค้น และพูดว่าจะควบคุมตัวภรรยา รวมถึงคาดคั้นหาใบเสร็จและจะโยงว่าเป็นการปลุกระดม เพราะเข้าใจผิด ตนจึงเตรียมจะทำหนังสือไปถาม คสช.ก่อนว่า เรื่องรัฐธรรมนูญนั้น อะไรที่ประชาชนทำได้ ไม่ได้ ถ้าจะทำเสื้อใหม่ อาจจะขอทำเสื้อทั้งสองแบบ คือ vote yes หรือ vote no เพื่อไม่ให้ต้องถูกทหารค้นบ้านอีก
พลเมืองโต้กลับนัดรวมตัวต้าน
อีกด้านหนึ่ง มีการนัดรวมตัวของมวลชนที่คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ ในนาม “กลุ่มประชาธิปไตยศึกษา” นำโดยนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ หนึ่งในสมาชิกกลุ่มพลเมืองโต้กลับ โดยมีการโพสต์เชิญชวนทางโซเชียลมีเดีย ให้ผู้ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญเข้าร่วมในกิจกรรม “กรวดน้ำคว่ำขันร่าง รธน.2558” ที่บริเวณหน้าหอศิลปวัฒนธรรม ปทุมวัน ในเวลา 16.00 น. วันที่ 5 ก.ย. นายสิรวิชญ์กล่าวว่า อยากส่งเสียงสะท้อนไปถึง สปช.ให้ทราบว่ามีคนที่ไม่เห็นด้วย โดยใช้การกรวดน้ำคว่ำขันเป็นสัญลักษณ์ ยืนยันว่าไม่ใช่การชุมนุมและไม่ก่อความวุ่นวาย แม้การจัดกิจกรรมหน้าหอศิลป์มีคนถูกจับและดำเนินคดีไปแล้วนับร้อยราย ยอมรับว่ากลัวแต่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าใจ เพราะใช้เวลาให้น้อยที่สุด และจะไม่เข้าไปในบริเวณที่เจ้าหน้าที่ห้ามเด็ดขาด
นปช.ทวง คสช.ขอแถลงข่าว
นายธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ โฆษกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. กล่าวถึงกรณีที่ทาง นปช.ทำหนังสือขออนุญาต คสช.ขอแถลงข่าวแสดงท่าทีเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 6 ก.ย. ที่โรมแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ราชประสงค์ โดยระบุว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับคำตอบจากทาง คสช. สอบถามไปก็ได้คำตอบเพียงว่ากำลังเสนอให้ผู้ใหญ่พิจารณาต้องรอก่อน ซึ่งตนมองว่าการจัดแถลงข่าวของ นปช.ครั้งนี้ ก็ทำเหมือนกับกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส.ทำ คือประกาศให้ทราบก่อนล่วงหน้า ทาง คสช.เองก็คงทราบอยู่แล้ว แต่ไม่เข้าใจทำไมถึงไม่ให้คำตอบ ดังนั้น ในเวลา 13.00 น. วันที่ 5 ก.ย. ตนจะเดินทางไปที่กองทัพบกอีกครั้งเพื่อทวงถาม เพราะขณะนี้ได้มีการจองโรงแรมไว้แล้ว จะได้ทราบว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ
“อดิศร” จ๊ากถูกระงับธุรกรรมการเงิน
นายอดิศร เพียงเกษ อดีต ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ตนถูกธนาคารระงับการฝากเงิน โดยช่วงเที่ยงของวันดังกล่าว ตนเดินทางไปยังธนาคารออมสิน สาขาอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว เพื่อจะเปิดบัญชีเงินฝากแบบออมทรัพย์ แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ยื่นสำเนากระดาษให้ดูระบุว่าตนเป็นนักการเมืองที่มีความเสี่ยงสูงระดับเลข 3 ธนาคารจะไม่ยอมทำธุรกรรมใดๆ รู้สึกตกใจจึงได้ขอสำเนาที่แจ้งว่าตนเป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง แต่ผู้ช่วยผู้จัดการไม่ยอม จึงอยากมาเล่าสู่กันฟังให้สาธารณชนทราบว่าการคุกคามสิทธิขั้นพื้นฐาน มิใช่จะมีเฉพาะเรื่องการเมืองและความมั่นคงเท่านั้น แต่ในด้านเศรษฐกิจก็กำลังถูกคุกคามต่อประชาชนด้วย
สพม.มีมติไม่เอาร่าง รธน.
ช่วงเย็น ที่สภาพัฒนาการเมือง (สพม.) นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ประธาน สพม.อ่านแถลงการณ์มติ สพม.ไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องจากยังมีจุดอ่อนและข้อบกพร่องหลายประการ ถือเป็นการร่างรัฐธรรมนูญที่ขาดจิตวิญญาณ ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนในพระราชอำนาจแห่งองค์พระมหากษัตริย์ เพราะมีการตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปฯ ที่มีอำนาจเหนือฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ เป็นอภิมหาคณะกรรมการแห่งชาติ เชื่อว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะถูกคว่ำแน่นอน
เผยทูลเกล้าฯ ถอดยศ “ทักษิณ” แล้ว
ด้านความคืบหน้าการดำเนินการถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ มีการทูลเกล้าฯ ไปแล้ว เมื่อถามว่ายืนยันหรือไม่ว่าไม่ใช่เป็นการกลั่นแกล้ง พล.ต.วีรชนกล่าวว่า ไม่มีอะไรต้องยืนยัน อย่าถามแบบนี้ หากถามแบบนี้เป็นการสร้างกระแส สื่อต้องช่วยกันทำความเข้าใจว่าหากมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต้องมีอะไรบ้าง อย่ามองว่าเป็นการกลั่นแกล้ง ต้องมองว่ามีสาเหตุจากอะไร อย่ามองว่าบุคคลคนนั้นเป็นใคร ชื่ออะไร ขอให้มองที่กติกาก่อน ให้เป็นไปตามขั้นตอน มีเรื่องหลายเรื่องที่น่าจะให้ความสนใจมากกว่านี้
ปัดถอนพาสปอร์ต “อ๋อย” เชือดไก่ให้ลิงดู
พล.ต.วีรชน กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีการถอนพาสปอร์ตนายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทยนั้น ก่อนจะมาถึงขั้นตอนนี้เรามีการสอบถาม มีการเตือน และแจ้งขอความร่วมมือมาตลอดว่าสิ่งไหนทำได้หรือสิ่งไหนไม่ควร อาจจะเป็นการไม่เข้าใจหรือแกล้งไม่เข้าใจ การออกมาวิจารณ์ลักษณะนี้ อาจจะก่อให้เกิดความไม่เข้าใจ ความแตกแยก จึงขอความร่วมมือในช่วงนี้ เมื่อถามว่า หลังจากนี้หากใครมาวิพากษ์วิจารณ์จะโดนลักษณะนี้ เหมือนเชือดไก่ให้ลิงดูใช่หรือไม่ พล.ต.วีรชน กล่าวว่า ไม่มีลิง ไม่มีไก่ ไม่ได้เป็นเรื่องของมาตรการ แต่อะไรที่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความไม่เรียบร้อย ขัดแย้งต่อการดำเนินงานของรัฐบาลและ คสช. ต้องมีการดำเนินการ
ผบ.ตร.ปัด สตช.ไม่ได้ตั้งเรื่อง
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีกระทรวงการต่างประเทศเพิกถอนหนังสือเดินทางนายจาตุรนต์ ตามที่ สตช.เสนอเข้ามาว่า ยังงงกับข่าวที่ออกมา กำลังให้ตรวจสอบทุกสำนักงานที่สังกัด ตร.เบื้องต้น ยังไม่มีข้อมูลเรื่องนี้ออกไปจาก ตร.เป็นผู้ดำเนินการ ไม่เคยได้รับรายงานเรื่องนี้ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวกระทรวงต่างประเทศชี้แจงว่า ตร.เป็นผู้ดำเนินการจะต้องตรวจสอบ ส่วนเรื่องการถอดถอนที่เป็นข่าวผู้ต้องหาที่มีความผิดถอดถอนเป็นหน้าที่จาก ตร.แต่ไม่ใช่มาจาก ตร.ช่องทางเดียว อาจจะมีช่องทางอื่นทำได้
“วิษณุ” งง กต.ใช้ฐานอำนาจใด
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศยกเลิกหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตของนายจาตุรนต์ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ส่งเรื่องมาว่า ไม่ทราบรายละเอียดเรื่องดังกล่าว สตช.เป็นผู้ส่งหนังสือไปยังกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการต่างประเทศบอกว่ามีอำนาจ แต่ยังนึกไม่ออกว่ากระทรวงการต่างประเทศใช้อำนาจในส่วนใด
งัด ก.ม.รับผิดทางละเมิดยึดทรัพย์ “ปู”
อีกเรื่อง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย กล่าวถึงการเรียกค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าวว่า แบ่งเป็น 3 พวก คือ 1. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกกล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ 2.นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้คนกระทำ และ 3.บริษัทเอกชนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดไว้ โดยเรียกค่าเสียหายได้ 3 ช่องทางคือ 1.ฟ้องแพ่งต่อศาล 2.ฟ้องอาญาและเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง เหมือนกับคดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้บริษัทกฤษดามหานคร ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุกและให้ชดใช้เงิน และ 3.ใช้ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณา และหากผู้ถูกกล่าวหาไม่พอใจร้องศาลอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งได้ ทั้งนี้ กรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายบุญทรง ใช้ช่องทางที่ 3 ขณะที่เอกชนฟ้องทางแพ่งต่อศาล ส่วนมูลค่าที่ต้องเรียกค่าเสียหาย จะตัดบัญชี ณ วันที่ 30 ธ.ค.57 หลายหมื่นล้านบาท เอาเท่านี้ก่อน ส่วนการอ้างเจตนาทำเพื่อชาวนา อาจจะเป็นเหตุลดโทษและบรรเทาโทษ แต่ยกเว้นโทษไม่ได้ คนเราเวลาทำอะไรเป้าหมายอาจดี แต่วิธีการมีปัญหา
“นิพิฏฐ์” บี้อายัดทรัพย์ปล่อยกู้กรุงไทย
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลให้ ข้อเท็จจริงกับประชาชนกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก 18 ปี นายวิโรจน์ นวลแข อดีตผู้จัดการธนาคารกรุงไทยฐานอนุมัติสินเชื่อกว่า 9 พันล้านบาท ให้บริษัทกฤษดามหานคร มิชอบ เห็นด้วยกับมาตรการปราบทุจริตคอร์รัปชันและต้องตรวจสอบอายัดทรัพย์ผู้กระทำผิด ต้องตรวจสอบถึงที่มาของเงินและแหล่งรายรับทรัพย์สินที่มากกว่ารายรับหลายร้อยเท่ามาอย่างไร หากชี้แจงไม่ได้ก็ต้องยึดอายัดเป็นของรัฐ ให้สอบเลยตั้งแต่ซี 1 ถึงซี 11 ไม่เช่นนั้นปัญหาการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันบ้านเราก็ทำไม่สำเร็จ
“นพดล” ขึ้นศาลคดีปราสาทพระวิหาร
เวลา 13.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายประเสริฐ โอนพรัตน์วิบูล รองประธานศาลฎีกา พร้อมองค์คณะ 9 คน มีคำพิพากษาในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ เป็นจำเลย ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีที่นายนพดล ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก นายนพดลมาศาลตามนัด ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ปี 2551 รัฐบาลกัมพูชาต้องการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารต่อคณะกรรมการมรดกโลก มีการเจรจากับนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ และต่อมามอบให้จำเลยดูแลเรื่องนี้ว่าจะมีปัญหากระทบต่อพื้นที่ทับซ้อนหรือไม่ จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาไม่มีการกำหนดเขตแดนแน่นอน และจำเลยต้องเลื่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกออกไป จำเลยปฏิบัติตาม แต่คณะกรรมการมรดกโลกไม่เลื่อนและประกาศให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
มติ 6 ต่อ 3 ยกฟ้องไม่ผิด ม.157
ในช่วงเวลา ปี 2549-2551 มีการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารหลายครั้ง จำเลยได้ย้ำให้ระมัดระวังไม่ให้กระทบสิทธิของไทยให้มากที่สุด สมเหตุสมผลว่าจำเลยได้รักษาผลประโยชน์ของรัฐ และทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่รัฐ และในขั้นตอนการประชุม การเจรจาพบปะเกี่ยวกับเรื่องนี้ จำเลยมิได้เป็นผู้ริเริ่มขึ้นเอง ก่อนรับร่างแถลงการณ์มีการปรึกษาหารือ ประกอบกับกระทรวงการต่างประเทศได้ให้เจ้ากรมแผนที่ทหารตรวจดูแนวเขตแดน ก็แจ้งมาว่าไม่มีอะไรกระทบพื้นที่ของไทย ที่มีผู้กล่าวหาว่าจำเลยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีผลประโยชน์จากกรณีนี้ก็ไม่มีหลักฐานไปถึง เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายกฎหมาย เบิกความว่าการทำแถลงการณ์ไม่เป็นการทำสนธิสัญญาเปลี่ยนแปลงอาณาเขต จึงไม่ต้องผ่านรัฐสภาตราเป็นกฎหมาย ในชั้นการต่อสู้คดีในศาลโลกระหว่างไทย-กัมพูชาเรื่องเขตแดน เจ้าหน้าที่ไทยได้แจ้งต่อสำนักงานอัยการสูงสุดว่า แถลงการณ์ดังกล่าวไม่กระทบสิทธิของไทย คดีจึงฟังว่าจำเลยไม่มีการกระทำ ที่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงมีมติ 6 ต่อ 3 ให้ยกฟ้อง
ร่ำไห้–อโหสิกรรมคนกล่าวหา
นายนพดลกล่าวว่า 7 ปีที่ผ่านมาเหมือนตกนรกทั้งเป็น ถูกตราหน้าว่าเป็นคนขายชาติ วันนี้ศาลมีคำพิพากษาแล้วว่า ตนทำไปตามหน้าที่และรักษาสิทธิประโยชน์ของชาติ ฟังคำพิพากษาไปร้องไห้ไป แต่เชื่อว่าความยุติธรรมมีจริง ใครไม่เจอกับตัวเองไม่รู้ว่าความยุติธรรมเป็นอย่างไร แต่ตนได้รับแล้ว ขออโหสิกรรมแก่คนที่กล่าวหาตน และจะไม่เอาเรื่องนี้เป็นประเด็นเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
ตัดสิน 4 มือยิงเอ็ม 79 ถล่ม กปปส.
เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอ่านคำพิพากษา คดีนายชัชวาล หรือชัช ปราบบำรุง อายุ 45 ปี นายสมศรี มาฤทธิ์ อายุ 40 ปี นายสุนทร ผิผ่วนนอก อายุ 49 ปี และนายทวีชัย วิชาคำ อายุ 39 ปี เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดต่อชีวิตฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ทำร้ายร่างกาย พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 และความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อวันที่ 23 ก.พ.57 เวลากลางวัน ได้ออกประกาศศูนย์รักษาความสงบ ฉบับที่ 2/2557 ลงวันที่ 23 ม.ค.57 เรื่อง ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน ภายในเขตพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง จำเลยทั้ง 4 กับพวกอีก 3 คน หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันมีเครื่องยิงลูกกระสุนระเบิด แบบเอ็ม 79 ลูกระเบิดยิง ขนาด 40 มม. จำนวนเท่าใดไม่ปรากฏชัด เป็นอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดแบบที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ และเป็นยุทธภัณฑ์ทางทหาร ตามประกาศกระทรวงกลาโหม โดยจำเลยทั้งสี่กับพวก บังอาจนำและพาเครื่องยิงลูกกระสุนระเบิด ติดตัวไปที่สะพานข้ามแยกประตูน้ำ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม. เป็นการฝ่าฝืนประกาศและกฎหมาย
สั่งประหาร–ลดโทษจำคุกตลอดชีวิต
นอกจากนี้ จำเลยทั้งสี่ กับพวกมีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันใช้เครื่องยิงระเบิดแบบเอ็ม 79 ยิงไปยังกลุ่มประชาชนผู้ชุมนุม (กปปส.) บริเวณสี่แยกราชประสงค์ต่อเนื่อง มาถึงหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน โดยยิงไปตกใส่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาราชดำริ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บสาหัส 9 ราย เหตุเกิดที่แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี และแขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน ขอศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย และขอสั่งริบเครื่องยิงลูกกระสุนระเบิดเอ็ม 79 และรถยนต์ 3 คัน ของกลาง ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามฟ้อง ให้ประหารชีวิตสถานเดียว แต่คำให้การจำเลย เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสี่ไว้ตลอดชีวิต และให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนผู้บาดเจ็บ 534,700 บาทด้วย ภายหลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว ยังไม่ปรากฏว่ามีจำเลยรายใดยื่นประกันตัว ศาลได้ออกหมายขัง และคดีนี้หากจำเลยไม่อุทธรณ์ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 ให้ศาลชั้นต้นส่งอุทธรณ์แทนจำเลยไปยังศาลอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด
โปรดเกล้าฯ “จักรทิพย์” นั่ง ผบ.ตร.
ค่ำวันเดียวกัน เว็บไซต์สำนักราชกิจจานุเบกษา สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา พ้นจากตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. และแต่งตั้ง ให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.58 ประกาศ ณ วันที่ 4 ก.ย.58 ผู้รับ สนองพระบรมราชโองการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
“ปู” ควง “น้องไปก์” เที่ยวเยาวราช
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเย็นวันที่ 4 ก.ย.หลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปรับ ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือน้องไปก์ บุตรชายที่โรงเรียนนานาชาติฮาร์โลว์ เขตดอนเมือง จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์พร้อมน้องไปก์ได้เดินทางไปรับประทานอาหารจีนที่ร้านจกโต๊ะเดียว ย่านถนนเยาวราช และก่อนเดินทางกลับบ้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังได้เดินตลาดเยาวราช เลือกซื้อผลไม้และอาหารแห้ง ซึ่งได้รับความ สนใจจากบรรดาพ่อค้าแม่ค้า และประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของเช่นกัน ต่างเข้ามาจับมือ สวมกอดพร้อมให้กำลังใจ และขอถ่ายรูป ถือเป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งแรก หลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีโครงการรับจำนำข้าว เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา
ที่มา ; เว็บ นสพ.ไทยรัฐ
ที่มา ; เว็บ นสพ.ไทยรัฐ
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
เตรียมสอบครูผู้ช่วย
ฟรี... ห้องเตรียมสอบ-ครูผู้ช่วย
-ผู้บริหาร-บุคลากรการศึกษา ที่
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
เตรียมสอบครูผู้ช่วย
ฟรี... ห้องเตรียมสอบ-ครูผู้ช่วย
-ผู้บริหาร-บุคลากรการศึกษา ที่
" ติวสอบดอทคอม " โดย อ.นิกร
เว็บฟรีข้อสอบออนไลน์
(เตรียมสอบครู-ผู้บริหาร-บุคลากร การศึกษา)
" ติวสอบดอทคอม " โดย อ.นิกร
เว็บฟรีข้อสอบออนไลน์
(เตรียมสอบครู-ผู้บริหาร-บุคลากร การศึกษา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น