เรื่องใหม่ ...น่าโหลด...(วันนี้)
- ระบบควบคุมภายใน 2557
- แนวทางการจัดทำรายงานการติดตามประเมินผลการควบคุมภายในประจำปี 2557
ข้อสอบออนไลน์ ( สอบครู - ผู้บริหาร - บุคลากรการศึกษา) ชุดใหม่ล่าสุด
ติวสอบ บน ยูทูป ทั้งหมด ได้ที่
ติวสอบ บน ยูทูป ทั้งหมด ได้ที่
ร่างรธน.เสร็จชงวิษณุแก้
ร่างธรรมนูญปกครองชั่วคราวเสร็จแล้ว เตรียมส่งให้ "เนติบริกร" ปรับแก้ เผย "สนช." มี 200 คน ขณะที่สมาชิกสภาปฏิรูปประเทศมี 150 คน มาจากการเลือกกันเองของสาขาวิชาชีพต่างๆ พร้อมมอบหน้าที่แต่งตั้ง 35 อรหันต์เพื่อทำการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขณะที่ "คสช." จ่อยกเลิกเคอร์ฟิวทั่วประเทศ คืนความสุขให้คนไทย 13 มิถุนายนนี้
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน มีรายงานข่าวแจ้งถึงความคืบหน้าการร่างธรรมนูญปกครองฉบับชั่วคราวปี 57 ว่า ขณะนี้คณะทำงานที่ คสช.มอบหมายได้ร่างเสร็จสิ้นแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษ ที่มีนายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษา คสช. ดูแลพิจารณาปรับปรุง ซึ่งน่าจะมีการปรับแก้พอสมควร แต่มีประเด็นที่น่าสนใจคือสัดส่วนของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คาดว่าน่าจะมี 200 คน ขณะที่สัดส่วนของสภาปฏิรูปประเทศจะประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 150 คน โดยมาจากสาขาวิชาชีพต่างๆ และจากการเลือกตั้งกันเอง โดยสภาปฏิรูปจะทำหน้าที่แต่งตั้งคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จำนวน 35 คน แบ่งเป็น มาจากสภาปฏิรูป 20 คน, คณะรัฐมนตรี (ครม.) 5 คน, สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 5 คน และจาก คสช. 5 คน
รายงานข่าวระบุว่า คณะทำงานที่ดูแลเรื่องกฎหมายของ คสช.มีจำนวน 3 คณะ ได้แก่ คณะที่ 1 ดูแลรับผิดชอบเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 57 มีนายวิษณุ และนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นผู้รับผิดชอบ, คณะที่ 2 ดูแลรับผิดชอบกลั่นกรองกฎหมายเรื่องที่ส่วนราชการ กระทรวง ทบวง กรม นำเสนอ โดยคณะทำงานชุดนี้ อาทิ นายวิษณุ, นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คณะที่ 3 ดูแลรับผิดชอบกลั่นกรองกฎหมายที่จะส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกฎหมายที่ค้างการพิจารณาอยู่ในวาระ 2 และวาระ 3 เมื่อครั้งก่อนยุบสภา โดยมีนายวิษณุ ดูแลรับผิดชอบ ทั้งนี้ กฎหมายที่คณะทำงานคณะที่ 2 และ 3 พิจารณาแล้วจะต้องส่งให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ปรึกษา คสช. เห็นชอบก่อน
แหล่งข่าวจาก คสช.เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะทำงานกลุ่มที่ 2 ซึ่งทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายได้ประชุมกันมาแล้วจำนวน 2 ครั้ง และมีการนำเสนอกฎหมายจากหน่วยงานต่างๆ เข้ามาจำนวนมาก บางกฎหมายพิจารณาเสร็จแล้ว เช่น พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ที่ คสช.ประกาศให้มีผลบังคับใช้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม มีกฎหมายที่น่าสนใจ อาทิ กฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูประบบให้บริการประชาชน ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการปรับปรุงระบบการให้บริการประชาชน และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน จนไม่สามารถสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่ได้ ตั้งแต่สมัยคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา โดยขณะนี้มีความพยายามจะผลักดันให้สำเร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ คาดว่า สำหรับกฎหมายดังกล่าว ทาง คสช.จะออกประกาศ คสช.เพื่อให้มีผลบังคับใช้เร็วๆ นี้
เด้ง "อสส." ไม่เกี่ยวการเมือง
พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ในฐานะทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีโยกย้ายเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อัยการสูงสุด (อสส.) และปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) มาประจำสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีว่า อย่ามองว่าคนเหล่านี้กระทำความผิดอะไร แต่เป็นไปด้วยความเหมาะสม ส่วนที่มีการมองว่าทั้ง 3 คนเหมือนเป็นมือเป็นไม้ให้กับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาก่อนนั้น คงไม่ใช่ปัจจัยนั้น เพียงแต่ที่ผ่านมาบางคนอาจจะมีส่วนร่วมบ้างอยู่ในความขัดแย้ง แต่ยืนยันว่าทั้ง 3 คนไม่ได้มีความผิด
พ.อ.วินธัยกล่าวถึงกรณีนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ เคลื่อนไหวต่อต้านอยู่ต่างประเทศว่า ขณะนี้มาตรการที่ดำเนินอยู่คือ ขอความเห็นใจจากต่างประเทศไม่ให้การสนับสนุน เพราะการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้เข้าข่ายยุยง ปลุกปั่น ไม่เป็นไปตามหลักที่ควรจะเป็น ส่วนกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. แสดงความเป็นห่วงในเรื่องนี้นั้น ขณะนี้ยังให้ความสำคัญกับพื้นที่ภายในประเทศ ส่วนต่างประเทศให้หน่วยงานที่มีช่องทางอยู่ต่างประเทศ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงกลาโหม ผู้ช่วยทูตต่างๆ พยายามทำความเข้าใจ ยังไม่ได้ใช้ช่องทางกฎหมายมากนัก
พ.อ.วินธัยกล่าวต่อว่า อีกทั้งขณะนี้การเคลื่อนไหวดังกล่าวยังไม่อยู่ในลักษณะที่น่ากังวลเท่าใด แค่พยายามจะเคลื่อนไหวเท่านั้น ยังเชื่อว่ากลไกภาครัฐที่มีอยู่ยังสามารถทำความเข้าใจได้ ทั้งนี้ เบื้องต้นการดำเนินการดังกล่าวเป็นเรื่องการละเมิดกฎหมายปกติ อาทิ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (2)
ส่วนกรณีหัวหน้า คสช.ขอความร่วมมือให้ทูตต่างๆ เร่งติดตามผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในต่างประเทศนั้น พ.อ.วินธัยกล่าวว่า เป็นเรื่องความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 (2) เรื่องยุยง ปลุกปั่น และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ไม่ใช่เฉพาะเจาะจงเฉพาะประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งพวกที่อยู่ในต่างประเทศจะใช้มาตรการทำความเข้าใจ เพราะไม่อยากให้มีการสนับสนุนให้มีการเคลื่อนไหวในลักษณะแบบนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางกัมพูชาแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ให้นายจักรภพเคลื่อนไหว แต่ยังมีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยหลายคนมีที่อยู่ชัดเจน อย่างบ้านพักของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา พ.อ.วินธัยกล่าวว่า เรื่องนี้พิสูจน์ยาก ยังไม่อยากพูดอะไรเพราะอาจกระทบความสัมพันธ์ได้ และเมื่อเขาแสดงเจตจำนงชัดเจน และพูดผ่านผู้นำแล้ว เราคงต้องให้ความสำคัญตรงนั้นก่อน
ดูหนังฟรีคืนความสุข
นอกจากนี้ พ.อ.วินธัยยังกล่าวถึงกรณี คสช.จัดกิจกรรมปรองดองให้ประชาชนรับชมภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ตอน “ยุทธหัตถี” โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายวันที่ 15 มิถุนายนนี้ว่า เนื่องจากทางผู้จัดคิดว่ามีประชาชนหลายคนได้รับชมไปแล้วจำนวนมาก ทางเจ้าของหนังกับเจ้าของโรงภาพยนตร์จึงอยากมีอะไรที่ตอบแทนสังคม เลยได้มาคุยกับ คสช. ซึ่ง คสช.ชอบในเรื่องเนื้อหา จึงมีการหารือร่วมกัน โดยไม่ได้พูดถึงเรื่องงบประมาณ เหมือนเป็นการคืนกำไรให้สังคม แต่พอมีคนไปแปลงเจตนาที่ผิด คนที่เขาคิดดีจึงเสียใจ
ทั้งนี้ รูปแบบการเข้ารับชมสามารถรับบัตรได้ที่หน้างาน โดยมีการฉายรอบเดียว ไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนจำนวนโรงภาพยนตร์ หากเจ้าของสามารถจัดสรรได้มากกว่าหนึ่งคงทำให้ นอกจากนี้ วันที่ 14 มิถุนายน เป็นรอบที่เชิญผู้บังคับบัญชา ข้าราชการ และสื่อมวลชน เข้ารับชมที่ห้างสรรพสินค้าพารากอน เนื่องจากที่ผ่านมาหากเป็นกิจกรรมของกองทัพหรือช่วยเหลือสังคม ทางห้างสรรพสินค้าพารากอนจะอนุญาตให้ไปใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงการหารือร่วมกันระหว่างหัวหน้าคสช.กับคณะเอกอัครราชทูตไทยและกงสุลใหญ่ไทย เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา ว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้ขอให้เอกอัครราชทูตไทยและกงสุลใหญ่ไทยไปพบปะกับสื่อมวลชนท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจ หากยังเกิดความเข้าใจ ผิดต่อสถาบันเบื้องสูงของไทย และมีความคิดเห็นที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย อย่างไรก็ตาม สถานเอกอัครราชทูตไทยจะตรวจตราการรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศแล้วจะจัดทำสรุปส่งให้ คสช.ต่อไป
นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อดีตอัยการสูงสุด ได้เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อรายงานตัวหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังมีคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยนายอรรถพลกล่าวถึงการตั้งข้อสังเกตเป็นฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าไม่ต้องชี้แจง แต่ให้ดูการกระทำ เห็นจุดยืนตนหรือไม่ จำคดียุบพรรคไทยรักไทยได้หรือไม่ ตนเป็นคนว่าความเอง รวมถึงคดีอาญาทางการเมืองตนก็ทำ ชื่ออรรถพลขายได้ตลอดในลักษณะบู๊ แต่การมองภาพอย่างไรเราเอาความจริงเป็นตัวตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การโยกย้ายครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองใช่หรือไม่ นายอรรถพลกล่าวว่า ไม่ทราบ ตอบไม่ได้ แต่วันนี้ยังยิ้มได้ตลอด แล้วเราให้อัยการมาช่วยคสช.ตั้งหลายคน อะไรที่ทำแล้วเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ เกิดความปรองดอง สามัคคี คนชื่ออรรถพลยิ้มได้เสมอ อย่างไรก็ตาม ใครจะมองตนอย่างไรเช็กดูประวัติตนได้ การดำเนินคดีของอัยการเราชี้แจงได้ ตนไม่ได้สนับสนุนการปฏิวัติ แต่สนับสนุนการทำตามกฎหมาย
รายงานตัวเพิ่มอีก 12 คน
วันเดียวกัน ที่ห้องจามจุรี สโมสรกองทัพบก เทเวศร์ ตั้งแต่เวลา 10.00-12.00 น. มีผู้เข้ารายงานตัวต่อ คสช.รวม 12 คน ประกอบด้วย 1.นายอิสสระ สมชัย แกนนำ กปปส. 2.นายถนอม อ่อนเกตุพล แนวร่วมกปปส. 3.นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) 4.นายรัชต์ชยุตม์ ศิรโยธินภักดี แนวร่วม คปท. 5.นายทินกร ปลอดภัย คนใกล้ชิดนายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. 6.นายนัสเซอร์ ยีหมะ หัวหน้าการ์ด คปท. 7.นายอุทัย ยอดมณี แกนนำ คปท. 8.นายมั่นแม่น กะการดี แกนนำกองทัพธรรม 9.พล.ต.สมเกียรติ วัฒนวิกย์กิจ แนวร่วมกปปส.แจ้งวัฒนะ 10.นายศิรวัฒน์ วิยะเศษ กรรมการสาขาพรรคประชาธิปัตย์ 11.นายกิตติไชย ใสสะอาด หัวหน้าการ์ด คปท. และ 12.นายสมชาย บุญไชย แกนนำกลุ่มเพื่อนทักษิณ
ขณะที่กรณีนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุดนั้น นายอานนท์ นำภา ทนายความของนายสมบัติเผยว่า ตนจะขอเข้าไปร่วมฟังการสอบสวนระหว่างนายสมบัติ กองบังคับการปราบปราม และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ทั้งนี้ คาดว่านายสมบัติเดินทางจาก ร.21 รอ. ชลบุรี มาถึงหอประชุมเทเวศร์ กองทัพบก ตั้งแต่คืนวานแล้ว รวมทั้งคาดว่าภายหลังการสอบสวนแล้วเสร็จนายสมบัติจะถูกควบคุมตัวไปยังศาลทหาร
เวลา 12.10 น. เจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจปราบปรามได้ควบคุมตัว นายสมบัติ บุญงามอนงค์ (บ.ก.ลายจุด) ไปศาลทหาร ถนนราชดำเนินใน เพื่ออนุมัติฝากขัง ทั้งนี้ มีขบวนรถฮัมวีของทหารและรถตำรวจกองปราบปรามคุ้มกันด้วย
ที่ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม องค์คณะตุลาการศาลทหาร ได้ออกนั่งบัลลังก์พิจารณารายงานคำร้องของพนักงานสอบสวนจากกองบังคับการกองปราบปรามในการขอฝากขังนายสมบัติ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในกรณีที่กระทำผิดตามมาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญา ในการยุยง ปลุกปั่น โดยใช้เทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ ทำให้มีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมถึงฝ่าฝืนไม่มารายงานตัวในคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในช่วงที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก โดยขอฝากขังผลัดแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 12-23 มิ.ย.
ฝากขัง "ลายจุด" 12 วัน
โดยตุลาการศาลทหารได้พิจารณาเห็นว่า นายสมบัติมีฐานความผิดร้ายแรง โดยมีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี อีกทั้งคำร้องพนักงานสอบสวนมีเหตุผลเพียงพอ ศาลจึงได้อนุญาตฝากขังนายสมบัติตามคำร้องเป็นระยะเวลา 12 วัน ตั้งแต่ 12-23 มิถุนายน ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายสมบัติเดินทางไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทันที
นายสมบัติกล่าวสั้นๆ กับมวลชนผู้สนับสนุนที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้า-ออกที่ได้ตะโกนสอบถามนายสมบัติว่า “โอเคมั้ย” นายสมบัติกล่าวว่า “โอเค ไม่เป็นไร” พร้อมกับชู 3 นิ้ว เพื่อแสดงสัญลักษณ์ก่อนขึ้นรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจออกไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการพิจารณาคดี ศาลได้อนุญาตให้ครอบครัวและญาติของนายสมบัติ ทีมทนายความ รวมถึงตัวแทนสื่อมวลชน จำนวน 9 คน และผู้ที่เกี่ยวข้องคนอื่นๆ เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดีดังกล่าว แต่ไม่อนุญาตให้นำอุปกรณ์สื่อสาร เครื่องบันทึกเทป หรือสมุดจดเข้าไปในห้องอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ ระหว่างการพิจารณาคดี นายสมบัติรวมถึงภรรยาและญาติต่างมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
ต่อมาเวลา 16.10 น. ภายหลังจากศาลมีคำสั่งให้ฝากขังนายสมบัติแล้ว นายอานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และญาติ ได้นำหลักทรัพย์รวมมูลค่า 4 แสนบาท ขอยื่นประกันตัวขอปล่อยตัวชั่วคราว แต่ศาลพิจารณาแล้วยังไม่อนุญาตให้ประกันตัวขอปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง เมื่อพิจารณาพฤติกรรมแห่งคดีแล้ว ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ซึ่งอยู่ระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึก หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ผู้ต้องหาอาจไปกระทำการใดๆ เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน หรืออาจไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น ดังนั้นจึงไม่อนุญาต
มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พล.ท.ธีรชัย นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) ได้สรุปสถานการณ์และทำเรื่องเสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ในการพิจารณายกเลิกการประกาศห้ามออกนอกเคหสถาน หรือเคอร์ฟิว ในพื้นที่ที่เหลือ โดยเฉพาะพื้นที่ กทม. เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้ได้ดีขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ คาดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะมีคำสั่งดังกล่าวในวันที่ 13 มิถุนายน หลังจากที่มีการถ่ายทอดรายการคืนความสุขให้คนในชาติแล้วเสร็จเวลา 20.30 น. เพื่อคืนความสุขให้กับคนไทยทั้งประเทศ ประกอบกับเป็นช่วงบอลโลกด้วย
ที่กรมทหารราบที่ 8 ค่ายสีหราชเดโชชัย จ.ขอนแก่น พล.ต.ท.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา รรท.ผบก.ภ.4 ร่วมกับ พล.ต.ศักดา เปรุนาวิน ผบ.กกล.รส.พล.ร.31 และทีมสอบสวน ได้สอบสวนขยายผลผู้ต้องหาในเครือข่าย “ขอนแก่นโมเดล” ซึ่งมีการซัดทอดถึงผู้ร่วมขบวนการอีกหลายคน จึงได้ติดตามจับกุมนายคมสันต์ ภูสีเขียว ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ถูกซัดทอดได้ที่ อ.ร่องคำ จ.กาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา และสามารถตรวจยึดอาวุธสงครามพร้อมเครื่องกระสุนได้อีกจำนวนมาก ที่นายคมสันต์ซุกซ่อนไว้ที่บ้านไทรทอง ต.ดงมูล อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์
ประกอบด้วยอาวุธปืนอาก้า เซกาเซ และคาร์บิน รวม 5 กระบอก วัตถุระเบิดขว้าง ระเบิดควัน รวม 6 ลูก และลูกระเบิด M79 จำนวน 2 ลูก เครื่องกระสุนปืนอาก้า 326 นัด เครื่องกระสุนปืนคาร์บิน 292 นัด กระสุนลูกซอง 2 นัด ทั้งนี้ สอบสวนทราบข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า นายคมสันต์ยังมีผู้ร่วมขบวนการขอนแก่นโมเดลที่ทำหน้าที่เป็นคลังอาวุธอีกหลายคน หลายสถานที่ ซึ่งจะต้องดำเนินการขยายผลจับกุมเครือข่ายขอนแก่นโมเดลรายอื่นต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายคมสันต์เป็นผู้ต้องหารายที่ 26 ของกลุ่มขอนแก่นโมเดล ซึ่งทางตำรวจและทหารจะได้ขยายผลในการจับกุมขบวนการที่เหลือต่อไป เพราะยังมีเครือข่ายขอนแก่นโมเดลอีกจำนวนหนึ่งที่กำลังหลบหนีการจับกุม.
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน มีรายงานข่าวแจ้งถึงความคืบหน้าการร่างธรรมนูญปกครองฉบับชั่วคราวปี 57 ว่า ขณะนี้คณะทำงานที่ คสช.มอบหมายได้ร่างเสร็จสิ้นแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษ ที่มีนายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษา คสช. ดูแลพิจารณาปรับปรุง ซึ่งน่าจะมีการปรับแก้พอสมควร แต่มีประเด็นที่น่าสนใจคือสัดส่วนของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คาดว่าน่าจะมี 200 คน ขณะที่สัดส่วนของสภาปฏิรูปประเทศจะประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 150 คน โดยมาจากสาขาวิชาชีพต่างๆ และจากการเลือกตั้งกันเอง โดยสภาปฏิรูปจะทำหน้าที่แต่งตั้งคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จำนวน 35 คน แบ่งเป็น มาจากสภาปฏิรูป 20 คน, คณะรัฐมนตรี (ครม.) 5 คน, สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 5 คน และจาก คสช. 5 คน
รายงานข่าวระบุว่า คณะทำงานที่ดูแลเรื่องกฎหมายของ คสช.มีจำนวน 3 คณะ ได้แก่ คณะที่ 1 ดูแลรับผิดชอบเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 57 มีนายวิษณุ และนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นผู้รับผิดชอบ, คณะที่ 2 ดูแลรับผิดชอบกลั่นกรองกฎหมายเรื่องที่ส่วนราชการ กระทรวง ทบวง กรม นำเสนอ โดยคณะทำงานชุดนี้ อาทิ นายวิษณุ, นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คณะที่ 3 ดูแลรับผิดชอบกลั่นกรองกฎหมายที่จะส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกฎหมายที่ค้างการพิจารณาอยู่ในวาระ 2 และวาระ 3 เมื่อครั้งก่อนยุบสภา โดยมีนายวิษณุ ดูแลรับผิดชอบ ทั้งนี้ กฎหมายที่คณะทำงานคณะที่ 2 และ 3 พิจารณาแล้วจะต้องส่งให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ปรึกษา คสช. เห็นชอบก่อน
แหล่งข่าวจาก คสช.เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะทำงานกลุ่มที่ 2 ซึ่งทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายได้ประชุมกันมาแล้วจำนวน 2 ครั้ง และมีการนำเสนอกฎหมายจากหน่วยงานต่างๆ เข้ามาจำนวนมาก บางกฎหมายพิจารณาเสร็จแล้ว เช่น พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ที่ คสช.ประกาศให้มีผลบังคับใช้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม มีกฎหมายที่น่าสนใจ อาทิ กฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูประบบให้บริการประชาชน ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการปรับปรุงระบบการให้บริการประชาชน และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน จนไม่สามารถสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่ได้ ตั้งแต่สมัยคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา โดยขณะนี้มีความพยายามจะผลักดันให้สำเร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ คาดว่า สำหรับกฎหมายดังกล่าว ทาง คสช.จะออกประกาศ คสช.เพื่อให้มีผลบังคับใช้เร็วๆ นี้
เด้ง "อสส." ไม่เกี่ยวการเมือง
พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ในฐานะทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีโยกย้ายเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อัยการสูงสุด (อสส.) และปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) มาประจำสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีว่า อย่ามองว่าคนเหล่านี้กระทำความผิดอะไร แต่เป็นไปด้วยความเหมาะสม ส่วนที่มีการมองว่าทั้ง 3 คนเหมือนเป็นมือเป็นไม้ให้กับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาก่อนนั้น คงไม่ใช่ปัจจัยนั้น เพียงแต่ที่ผ่านมาบางคนอาจจะมีส่วนร่วมบ้างอยู่ในความขัดแย้ง แต่ยืนยันว่าทั้ง 3 คนไม่ได้มีความผิด
พ.อ.วินธัยกล่าวถึงกรณีนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ เคลื่อนไหวต่อต้านอยู่ต่างประเทศว่า ขณะนี้มาตรการที่ดำเนินอยู่คือ ขอความเห็นใจจากต่างประเทศไม่ให้การสนับสนุน เพราะการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้เข้าข่ายยุยง ปลุกปั่น ไม่เป็นไปตามหลักที่ควรจะเป็น ส่วนกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. แสดงความเป็นห่วงในเรื่องนี้นั้น ขณะนี้ยังให้ความสำคัญกับพื้นที่ภายในประเทศ ส่วนต่างประเทศให้หน่วยงานที่มีช่องทางอยู่ต่างประเทศ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงกลาโหม ผู้ช่วยทูตต่างๆ พยายามทำความเข้าใจ ยังไม่ได้ใช้ช่องทางกฎหมายมากนัก
พ.อ.วินธัยกล่าวต่อว่า อีกทั้งขณะนี้การเคลื่อนไหวดังกล่าวยังไม่อยู่ในลักษณะที่น่ากังวลเท่าใด แค่พยายามจะเคลื่อนไหวเท่านั้น ยังเชื่อว่ากลไกภาครัฐที่มีอยู่ยังสามารถทำความเข้าใจได้ ทั้งนี้ เบื้องต้นการดำเนินการดังกล่าวเป็นเรื่องการละเมิดกฎหมายปกติ อาทิ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (2)
ส่วนกรณีหัวหน้า คสช.ขอความร่วมมือให้ทูตต่างๆ เร่งติดตามผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในต่างประเทศนั้น พ.อ.วินธัยกล่าวว่า เป็นเรื่องความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 (2) เรื่องยุยง ปลุกปั่น และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ไม่ใช่เฉพาะเจาะจงเฉพาะประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งพวกที่อยู่ในต่างประเทศจะใช้มาตรการทำความเข้าใจ เพราะไม่อยากให้มีการสนับสนุนให้มีการเคลื่อนไหวในลักษณะแบบนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางกัมพูชาแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ให้นายจักรภพเคลื่อนไหว แต่ยังมีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยหลายคนมีที่อยู่ชัดเจน อย่างบ้านพักของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา พ.อ.วินธัยกล่าวว่า เรื่องนี้พิสูจน์ยาก ยังไม่อยากพูดอะไรเพราะอาจกระทบความสัมพันธ์ได้ และเมื่อเขาแสดงเจตจำนงชัดเจน และพูดผ่านผู้นำแล้ว เราคงต้องให้ความสำคัญตรงนั้นก่อน
ดูหนังฟรีคืนความสุข
นอกจากนี้ พ.อ.วินธัยยังกล่าวถึงกรณี คสช.จัดกิจกรรมปรองดองให้ประชาชนรับชมภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ตอน “ยุทธหัตถี” โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายวันที่ 15 มิถุนายนนี้ว่า เนื่องจากทางผู้จัดคิดว่ามีประชาชนหลายคนได้รับชมไปแล้วจำนวนมาก ทางเจ้าของหนังกับเจ้าของโรงภาพยนตร์จึงอยากมีอะไรที่ตอบแทนสังคม เลยได้มาคุยกับ คสช. ซึ่ง คสช.ชอบในเรื่องเนื้อหา จึงมีการหารือร่วมกัน โดยไม่ได้พูดถึงเรื่องงบประมาณ เหมือนเป็นการคืนกำไรให้สังคม แต่พอมีคนไปแปลงเจตนาที่ผิด คนที่เขาคิดดีจึงเสียใจ
ทั้งนี้ รูปแบบการเข้ารับชมสามารถรับบัตรได้ที่หน้างาน โดยมีการฉายรอบเดียว ไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนจำนวนโรงภาพยนตร์ หากเจ้าของสามารถจัดสรรได้มากกว่าหนึ่งคงทำให้ นอกจากนี้ วันที่ 14 มิถุนายน เป็นรอบที่เชิญผู้บังคับบัญชา ข้าราชการ และสื่อมวลชน เข้ารับชมที่ห้างสรรพสินค้าพารากอน เนื่องจากที่ผ่านมาหากเป็นกิจกรรมของกองทัพหรือช่วยเหลือสังคม ทางห้างสรรพสินค้าพารากอนจะอนุญาตให้ไปใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงการหารือร่วมกันระหว่างหัวหน้าคสช.กับคณะเอกอัครราชทูตไทยและกงสุลใหญ่ไทย เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา ว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้ขอให้เอกอัครราชทูตไทยและกงสุลใหญ่ไทยไปพบปะกับสื่อมวลชนท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจ หากยังเกิดความเข้าใจ ผิดต่อสถาบันเบื้องสูงของไทย และมีความคิดเห็นที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย อย่างไรก็ตาม สถานเอกอัครราชทูตไทยจะตรวจตราการรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศแล้วจะจัดทำสรุปส่งให้ คสช.ต่อไป
นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อดีตอัยการสูงสุด ได้เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อรายงานตัวหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังมีคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยนายอรรถพลกล่าวถึงการตั้งข้อสังเกตเป็นฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าไม่ต้องชี้แจง แต่ให้ดูการกระทำ เห็นจุดยืนตนหรือไม่ จำคดียุบพรรคไทยรักไทยได้หรือไม่ ตนเป็นคนว่าความเอง รวมถึงคดีอาญาทางการเมืองตนก็ทำ ชื่ออรรถพลขายได้ตลอดในลักษณะบู๊ แต่การมองภาพอย่างไรเราเอาความจริงเป็นตัวตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การโยกย้ายครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองใช่หรือไม่ นายอรรถพลกล่าวว่า ไม่ทราบ ตอบไม่ได้ แต่วันนี้ยังยิ้มได้ตลอด แล้วเราให้อัยการมาช่วยคสช.ตั้งหลายคน อะไรที่ทำแล้วเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ เกิดความปรองดอง สามัคคี คนชื่ออรรถพลยิ้มได้เสมอ อย่างไรก็ตาม ใครจะมองตนอย่างไรเช็กดูประวัติตนได้ การดำเนินคดีของอัยการเราชี้แจงได้ ตนไม่ได้สนับสนุนการปฏิวัติ แต่สนับสนุนการทำตามกฎหมาย
รายงานตัวเพิ่มอีก 12 คน
วันเดียวกัน ที่ห้องจามจุรี สโมสรกองทัพบก เทเวศร์ ตั้งแต่เวลา 10.00-12.00 น. มีผู้เข้ารายงานตัวต่อ คสช.รวม 12 คน ประกอบด้วย 1.นายอิสสระ สมชัย แกนนำ กปปส. 2.นายถนอม อ่อนเกตุพล แนวร่วมกปปส. 3.นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) 4.นายรัชต์ชยุตม์ ศิรโยธินภักดี แนวร่วม คปท. 5.นายทินกร ปลอดภัย คนใกล้ชิดนายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. 6.นายนัสเซอร์ ยีหมะ หัวหน้าการ์ด คปท. 7.นายอุทัย ยอดมณี แกนนำ คปท. 8.นายมั่นแม่น กะการดี แกนนำกองทัพธรรม 9.พล.ต.สมเกียรติ วัฒนวิกย์กิจ แนวร่วมกปปส.แจ้งวัฒนะ 10.นายศิรวัฒน์ วิยะเศษ กรรมการสาขาพรรคประชาธิปัตย์ 11.นายกิตติไชย ใสสะอาด หัวหน้าการ์ด คปท. และ 12.นายสมชาย บุญไชย แกนนำกลุ่มเพื่อนทักษิณ
ขณะที่กรณีนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุดนั้น นายอานนท์ นำภา ทนายความของนายสมบัติเผยว่า ตนจะขอเข้าไปร่วมฟังการสอบสวนระหว่างนายสมบัติ กองบังคับการปราบปราม และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ทั้งนี้ คาดว่านายสมบัติเดินทางจาก ร.21 รอ. ชลบุรี มาถึงหอประชุมเทเวศร์ กองทัพบก ตั้งแต่คืนวานแล้ว รวมทั้งคาดว่าภายหลังการสอบสวนแล้วเสร็จนายสมบัติจะถูกควบคุมตัวไปยังศาลทหาร
เวลา 12.10 น. เจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจปราบปรามได้ควบคุมตัว นายสมบัติ บุญงามอนงค์ (บ.ก.ลายจุด) ไปศาลทหาร ถนนราชดำเนินใน เพื่ออนุมัติฝากขัง ทั้งนี้ มีขบวนรถฮัมวีของทหารและรถตำรวจกองปราบปรามคุ้มกันด้วย
ที่ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม องค์คณะตุลาการศาลทหาร ได้ออกนั่งบัลลังก์พิจารณารายงานคำร้องของพนักงานสอบสวนจากกองบังคับการกองปราบปรามในการขอฝากขังนายสมบัติ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในกรณีที่กระทำผิดตามมาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญา ในการยุยง ปลุกปั่น โดยใช้เทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ ทำให้มีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมถึงฝ่าฝืนไม่มารายงานตัวในคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในช่วงที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก โดยขอฝากขังผลัดแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 12-23 มิ.ย.
ฝากขัง "ลายจุด" 12 วัน
โดยตุลาการศาลทหารได้พิจารณาเห็นว่า นายสมบัติมีฐานความผิดร้ายแรง โดยมีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี อีกทั้งคำร้องพนักงานสอบสวนมีเหตุผลเพียงพอ ศาลจึงได้อนุญาตฝากขังนายสมบัติตามคำร้องเป็นระยะเวลา 12 วัน ตั้งแต่ 12-23 มิถุนายน ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายสมบัติเดินทางไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทันที
นายสมบัติกล่าวสั้นๆ กับมวลชนผู้สนับสนุนที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้า-ออกที่ได้ตะโกนสอบถามนายสมบัติว่า “โอเคมั้ย” นายสมบัติกล่าวว่า “โอเค ไม่เป็นไร” พร้อมกับชู 3 นิ้ว เพื่อแสดงสัญลักษณ์ก่อนขึ้นรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจออกไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการพิจารณาคดี ศาลได้อนุญาตให้ครอบครัวและญาติของนายสมบัติ ทีมทนายความ รวมถึงตัวแทนสื่อมวลชน จำนวน 9 คน และผู้ที่เกี่ยวข้องคนอื่นๆ เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดีดังกล่าว แต่ไม่อนุญาตให้นำอุปกรณ์สื่อสาร เครื่องบันทึกเทป หรือสมุดจดเข้าไปในห้องอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ ระหว่างการพิจารณาคดี นายสมบัติรวมถึงภรรยาและญาติต่างมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
ต่อมาเวลา 16.10 น. ภายหลังจากศาลมีคำสั่งให้ฝากขังนายสมบัติแล้ว นายอานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และญาติ ได้นำหลักทรัพย์รวมมูลค่า 4 แสนบาท ขอยื่นประกันตัวขอปล่อยตัวชั่วคราว แต่ศาลพิจารณาแล้วยังไม่อนุญาตให้ประกันตัวขอปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง เมื่อพิจารณาพฤติกรรมแห่งคดีแล้ว ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ซึ่งอยู่ระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึก หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ผู้ต้องหาอาจไปกระทำการใดๆ เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน หรืออาจไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น ดังนั้นจึงไม่อนุญาต
มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พล.ท.ธีรชัย นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) ได้สรุปสถานการณ์และทำเรื่องเสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ในการพิจารณายกเลิกการประกาศห้ามออกนอกเคหสถาน หรือเคอร์ฟิว ในพื้นที่ที่เหลือ โดยเฉพาะพื้นที่ กทม. เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้ได้ดีขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ คาดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะมีคำสั่งดังกล่าวในวันที่ 13 มิถุนายน หลังจากที่มีการถ่ายทอดรายการคืนความสุขให้คนในชาติแล้วเสร็จเวลา 20.30 น. เพื่อคืนความสุขให้กับคนไทยทั้งประเทศ ประกอบกับเป็นช่วงบอลโลกด้วย
ที่กรมทหารราบที่ 8 ค่ายสีหราชเดโชชัย จ.ขอนแก่น พล.ต.ท.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา รรท.ผบก.ภ.4 ร่วมกับ พล.ต.ศักดา เปรุนาวิน ผบ.กกล.รส.พล.ร.31 และทีมสอบสวน ได้สอบสวนขยายผลผู้ต้องหาในเครือข่าย “ขอนแก่นโมเดล” ซึ่งมีการซัดทอดถึงผู้ร่วมขบวนการอีกหลายคน จึงได้ติดตามจับกุมนายคมสันต์ ภูสีเขียว ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ถูกซัดทอดได้ที่ อ.ร่องคำ จ.กาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา และสามารถตรวจยึดอาวุธสงครามพร้อมเครื่องกระสุนได้อีกจำนวนมาก ที่นายคมสันต์ซุกซ่อนไว้ที่บ้านไทรทอง ต.ดงมูล อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์
ประกอบด้วยอาวุธปืนอาก้า เซกาเซ และคาร์บิน รวม 5 กระบอก วัตถุระเบิดขว้าง ระเบิดควัน รวม 6 ลูก และลูกระเบิด M79 จำนวน 2 ลูก เครื่องกระสุนปืนอาก้า 326 นัด เครื่องกระสุนปืนคาร์บิน 292 นัด กระสุนลูกซอง 2 นัด ทั้งนี้ สอบสวนทราบข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า นายคมสันต์ยังมีผู้ร่วมขบวนการขอนแก่นโมเดลที่ทำหน้าที่เป็นคลังอาวุธอีกหลายคน หลายสถานที่ ซึ่งจะต้องดำเนินการขยายผลจับกุมเครือข่ายขอนแก่นโมเดลรายอื่นต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายคมสันต์เป็นผู้ต้องหารายที่ 26 ของกลุ่มขอนแก่นโมเดล ซึ่งทางตำรวจและทหารจะได้ขยายผลในการจับกุมขบวนการที่เหลือต่อไป เพราะยังมีเครือข่ายขอนแก่นโมเดลอีกจำนวนหนึ่งที่กำลังหลบหนีการจับกุม.
ที่มา เว็บ นสพ.ไทยโพสต์
อัพเดทเรื่องราว - ข้อสอบใหม่ ๆ
เข้าห้องสอบออนไลน์ ( ฟรี)
เน็ตช้า ... คลิ๊กที่ http://tuewsob.blogspot.com
ห้องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
... ห้องติวสอบผู้บริหาร + การศึกษาพิเศษ
ห้อง ... ครูวิชาเอก ห้อง 1 คลิ๊กที่ http://tuewsobkru.blogspot.com
ห้อง ... ครูวิชาเอก ห้อง 2 คลิ๊กที่ http://tuewsob2011.blogspot.com
สมัคร ติวสอบผู้บริหารสถานศึกษา ที่
( คลิ๊ก ) สมัครติวสอบผู้บริหารภาค 4 ภาค 30 จุดปี 2557-2558
ฟรี... ห้องติวสอบผู้บริหารสถานศึกษา-ครู-บุคลากรการศึกษา ที่
" ติวสอบดอทคอม " เขียน-สร้าง-บรรยาย โดย (ผอ.นิกร เพ็งลี)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น