เรื่องใหม่น่าสนใจ
-คู่มือ 4 ชุด นโยบาย บริบริหาร ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
http://academic.obec.go.th/web/node/1/77/govdoc_sec_detail/296
-เกณฑ์ประเมินคุณภาพภายนอกรอบสี่ โดย สมศ.
-เกณฑ์การย้ายครู พ.ศ.2558 http://www.otepc.go.th/images/document/2558/v16-2558.pdf
- พรบ.เงินเดือนใหม่ข้าราชการครูฯ พ.ศ.2558
http://tuewsob.blogspot.com/2015/05/4-10-1-57.html
ข้อสอบออนไลน์ ( พัฒนาความรู้ครู - ผู้บริหาร - บุคลากรการศึกษา) ชุดใหม่ โดย อ.นิกร
ข้อสอบออนไลน์ ( พัฒนาความรู้ครู - ผู้บริหาร - บุคลากรการศึกษา) ชุดใหม่ โดย อ.นิกร
เตรียมสอบ บน ยูทูป ทั้งหมด ได้ที่
ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 398/2558ประชุมหารือกับอธิการบดี มรภ.เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
จังหวัดสกลนคร – นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมหารือกับอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 แห่ง เมื่อวันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2558 ณ ห้องประชุมอาคาร 10มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เพื่อให้นโยบายใน การจัดตั้งศูนย์สอบภาษาอังกฤษ การผลิตและพัฒนาครู และ การบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมหาวิทยาลัยราชภัฏ โดยมีนางสาวอาภรณ์ แก่นวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เข้าร่วมประชุมหารือ
ภาพ : บัลลังก์ โรหิตเสถียร
การให้มหาวิทยาลัยราชภัฏจัดตั้งศูนย์สอบภาษาอังกฤษ
นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการและรัฐบาลคือ ต้องการยกระดับมาตรฐานภาษาอังกฤษในทุกหลักสูตร เพราะที่ผ่านมาระบบการศึกษาไทยได้มีแนวคิดในการนำกรอบมาตรฐานการประเมินความสามารถทางภาษาจากประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป หรือ CEFR (Common European Framework of Reference for Languages) มาใช้เป็นกรอบการประเมินความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษกว่า 10 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ
รวมทั้งในปัจจุบันทั่วโลกได้นำระบบการสอบ IELTS หรือไอเอลส์ (International English Language Testing System) ซึ่งเป็นระบบการวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดกว่า 2 ล้านคนใน 135 ประเทศทั่วโลก มาใช้ในการประเมินมาตรฐานภาษาอังกฤษของผู้เรียน เพื่อเข้าทำงาน ใช้เพื่อจบการศึกษา การขอวีซ่า ฯลฯ เพราะระบบดังกล่าวมีมาตรฐานในการประเมินความรู้ทักษะทั้ง 4 ส่วน คือ การฟัง (Listening) การอ่าน (Reading)การเขียน (Writing) และ การพูด (Speaking)
นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายให้บัณฑิตทุกสาขาที่จบออกไป มีความรู้พื้นฐานและสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ จึงมีแนวคิดจะให้มีการจัดสอบความรู้ทักษะภาษาอังกฤษในระดับปริญญาตรี โดยอาจจะเริ่มแจ้งให้นักศึกษาทราบตั้งแต่เรียนชั้นปีที่ 1-2 เพื่อให้มีการเตรียมตัวสอบล่วงหน้า และนำผลสอบไปกำหนดไว้ใน Transcript ของผู้เรียน แต่ไม่ใช่เป็นเกรด (Grade) ตัดสินผลการเรียน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็เป็นการเปิดเผยข้อมูลธรรมดาๆ ต่อนายจ้างในการสมัครงาน เพราะประเทศไทยช้ามากในเรื่องภาษาอังกฤษ ในขณะที่การใช้ภาษาอังกฤษเป็นความจำเป็นของประเทศต่างๆ ทั่วโลก แม้แต่บริษัท SCG ของไทย ก็จะเริ่มใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักในปี พ.ศ.2561 จึงมีความจำเป็นต้องใช้กรอบมาตรฐานเป็นตัวขับ
ดังนั้น จึงได้หารือเรื่องนี้ เพื่อต้องการให้มหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งอยู่ในท้องถิ่นทั่วประเทศเป็น "ศูนย์สอบภาษาอังกฤษ" โดยให้พิจารณารูปแบบการจัดสอบ เพื่อประเมินมาตรฐานของผู้เรียนในระดับปริญญาตรี เช่น ส่วนกลางอาจจะจัดสอบเฉพาะการฟังและการอ่าน ส่วนมหาวิทยาลัยราชภัฏจัดสอบการเขียนและการพูด โดยอาจจะจัดสอบปีละ 2 ครั้ง และรัฐจัดงบประมาณสนับสนุน แต่การจะใช้ระบบการทดสอบใดมาเป็นมาตรฐานในการประเมิน ควรจะต้องคำนึงถึงการวัดทักษะครบทั้ง 4 ด้าน และเป็นการประเมินที่ทั่วโลกให้การยอมรับ
ด้วยภารกิจดังกล่าว ยิ่งจะทำให้มหาวิทยาลัยต่างๆ รวมทั้งกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ เกิดการแข่งขันคุณภาพกันมากขึ้นด้วย ซึ่งที่ประชุมก็เห็นพ้องกับนโยบายนี้ และรับว่าหากประกาศนโยบายนี้ออกมา สามารถดำเนินการได้ทันที เนื่องจากสภามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งพร้อมให้การสนับสนุนนโยบายการพัฒนาคุณภาพภาษาอังกฤษของประเทศอยู่แล้ว
ทั้งนี้ จะมีการหารือร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ เพื่อนำเสนอแนวทางการจัดตั้ง ศูนย์สอบภาษาอังกฤษ เสนอต่อ พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ในการประชุมร่วมกัน ในวันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายนนี้ต่อไป
การผลิตและพัฒนาครู
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ปัจจุบันหากดูตัวเลขบัญชีรายจ่ายในการพัฒนาประเทศ จะมีงบพัฒนาครูเพียง 1% ดังนั้นแม้จะมีโครงการที่วิเศษสุดเพียงใด ก็ยังไม่สามารถใช้งบประมาณที่มีอยู่เพียง 1% ไปพัฒนาครู 5 แสนกว่าคนได้อย่างเพียงพอ ในขณะที่ครูแต่ละคนจะอยู่ในระบบราชการประมาณ 37 ปี (หากบรรจุแต่งตั้งอายุ 23 ปี) ดังนั้นการพัฒนาครูจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ครูปรับเปลี่ยนวิธีสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตรและบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป
หลักคิดที่ดีที่สุดของการบริหารงานบุคคล คือ การสรรหาครูที่เก่งและดีเข้ามาในระบบ ซึ่งต่อไปเราจะมีครูที่เกษียณอายุราชการกว่า 2 แสนคน แต่เมื่อเด็กลดลงจะต้องการครูใหม่เข้ามาในระบบประมาณ 1.6 แสนคน แต่กว่าโครงการคุรุทายาทจะผลิตเสร็จ ใน 6 ปีข้างหน้า จะเหลือจำนวนครูใหม่เข้ามาในระบบประมาณ 1.2-1.3 แสนคน
ดังนั้น มหาวิทยาลัยราชภัฏจะเป็นหลักในการปฏิรูปครูได้ดีที่สุด ทั้งในแง่การผลิตครูตามโครงการคุรุทายาทจำนวน 3 หมื่นกว่ารายใน 6 ปีข้างหน้า และการพัฒนาครูใหม่ที่ควรจะต้องมีการทดสอบอย่างต่อเนื่องและเป็นการวางรากฐานที่มาตรฐานให้กับครูอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ การที่จะให้ครูไม่ต้องโยกย้ายบ่อยๆ จึงมีแนวทางให้ครูได้อยู่ในพื้นที่ของตนเองนานๆ หรือเท่ากับเป็นการให้ครูเลือกเขตพื้นที่เอง จึงเห็นว่าควรมีการทดสอบ โดยให้มหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นศูนย์สอบเพื่อยกระดับมาตรฐานครูใหม่ โดยกำหนดมาตรฐานของการสอบเป็น 3 ภาค คือ ข้อสอบวิชาเฉพาะ ข้อสอบวิชาชีพครู และการสัมภาษณ์ เช่น ครูไปสอบวิทยาศาสตร์ภาค ก-ข แล้วเก็บผลสอบไว้ จากนั้นสามารถนำคะแนนไปยื่นเพื่อสมัครสอบภาค ค ในแต่ละเขตพื้นที่ที่ต้องการได้ ซึ่งขอให้มหาวิทยาลัยราชภัฏไปพิจารณาแนวทางการจัดสอบเพื่อยกระดับครูใหม่ต่อไป
ภาพ : ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
การบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมหาวิทยาลัยราชภัฏ
ที่ประชุมได้หารือถึงประเด็นปัญหาการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลในมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งเห็นว่าทั้งมหาวิทยาลัยและ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ควรนำข้อรับฟังต่างๆ ในการหารือครั้งนี้ไปปรับปรุงให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารงาน โดยขอให้ดูถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆ มากกว่าความรู้สึก
นอกจากนี้ ขอให้ สกอ.ตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อดูแลสภาพปัญหา และความต้องการจำเป็นในมหาวิทยาลัยราชภัฏที่เกิดขึ้นใหม่ 3 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ร้อยเอ็ด และกาฬสินธุ์
ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 398/2558ประชุมหารือกับอธิการบดี มรภ.เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการและรัฐบาลคือ ต้องการยกระดับมาตรฐานภาษาอังกฤษในทุกหลักสูตร เพราะที่ผ่านมาระบบการศึกษาไทยได้มีแนวคิดในการนำกรอบมาตรฐานการประเมินความสามารถทางภาษาจากประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป หรือ CEFR (Common European Framework of Reference for Languages) มาใช้เป็นกรอบการประเมินความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษกว่า 10 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ
รวมทั้งในปัจจุบันทั่วโลกได้นำระบบการสอบ IELTS หรือไอเอลส์ (International English Language Testing System) ซึ่งเป็นระบบการวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดกว่า 2 ล้านคนใน 135 ประเทศทั่วโลก มาใช้ในการประเมินมาตรฐานภาษาอังกฤษของผู้เรียน เพื่อเข้าทำงาน ใช้เพื่อจบการศึกษา การขอวีซ่า ฯลฯ เพราะระบบดังกล่าวมีมาตรฐานในการประเมินความรู้ทักษะทั้ง 4 ส่วน คือ การฟัง (Listening) การอ่าน (Reading)การเขียน (Writing) และ การพูด (Speaking)
นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายให้บัณฑิตทุกสาขาที่จบออกไป มีความรู้พื้นฐานและสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ จึงมีแนวคิดจะให้มีการจัดสอบความรู้ทักษะภาษาอังกฤษในระดับปริญญาตรี โดยอาจจะเริ่มแจ้งให้นักศึกษาทราบตั้งแต่เรียนชั้นปีที่ 1-2 เพื่อให้มีการเตรียมตัวสอบล่วงหน้า และนำผลสอบไปกำหนดไว้ใน Transcript ของผู้เรียน แต่ไม่ใช่เป็นเกรด (Grade) ตัดสินผลการเรียน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็เป็นการเปิดเผยข้อมูลธรรมดาๆ ต่อนายจ้างในการสมัครงาน เพราะประเทศไทยช้ามากในเรื่องภาษาอังกฤษ ในขณะที่การใช้ภาษาอังกฤษเป็นความจำเป็นของประเทศต่างๆ ทั่วโลก แม้แต่บริษัท SCG ของไทย ก็จะเริ่มใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักในปี พ.ศ.2561 จึงมีความจำเป็นต้องใช้กรอบมาตรฐานเป็นตัวขับ
ดังนั้น จึงได้หารือเรื่องนี้ เพื่อต้องการให้มหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งอยู่ในท้องถิ่นทั่วประเทศเป็น "ศูนย์สอบภาษาอังกฤษ" โดยให้พิจารณารูปแบบการจัดสอบ เพื่อประเมินมาตรฐานของผู้เรียนในระดับปริญญาตรี เช่น ส่วนกลางอาจจะจัดสอบเฉพาะการฟังและการอ่าน ส่วนมหาวิทยาลัยราชภัฏจัดสอบการเขียนและการพูด โดยอาจจะจัดสอบปีละ 2 ครั้ง และรัฐจัดงบประมาณสนับสนุน แต่การจะใช้ระบบการทดสอบใดมาเป็นมาตรฐานในการประเมิน ควรจะต้องคำนึงถึงการวัดทักษะครบทั้ง 4 ด้าน และเป็นการประเมินที่ทั่วโลกให้การยอมรับ
ด้วยภารกิจดังกล่าว ยิ่งจะทำให้มหาวิทยาลัยต่างๆ รวมทั้งกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ เกิดการแข่งขันคุณภาพกันมากขึ้นด้วย ซึ่งที่ประชุมก็เห็นพ้องกับนโยบายนี้ และรับว่าหากประกาศนโยบายนี้ออกมา สามารถดำเนินการได้ทันที เนื่องจากสภามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งพร้อมให้การสนับสนุนนโยบายการพัฒนาคุณภาพภาษาอังกฤษของประเทศอยู่แล้ว
ทั้งนี้ จะมีการหารือร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ เพื่อนำเสนอแนวทางการจัดตั้ง ศูนย์สอบภาษาอังกฤษ เสนอต่อ พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ในการประชุมร่วมกัน ในวันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายนนี้ต่อไป
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ปัจจุบันหากดูตัวเลขบัญชีรายจ่ายในการพัฒนาประเทศ จะมีงบพัฒนาครูเพียง 1% ดังนั้นแม้จะมีโครงการที่วิเศษสุดเพียงใด ก็ยังไม่สามารถใช้งบประมาณที่มีอยู่เพียง 1% ไปพัฒนาครู 5 แสนกว่าคนได้อย่างเพียงพอ ในขณะที่ครูแต่ละคนจะอยู่ในระบบราชการประมาณ 37 ปี (หากบรรจุแต่งตั้งอายุ 23 ปี) ดังนั้นการพัฒนาครูจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ครูปรับเปลี่ยนวิธีสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตรและบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป
หลักคิดที่ดีที่สุดของการบริหารงานบุคคล คือ การสรรหาครูที่เก่งและดีเข้ามาในระบบ ซึ่งต่อไปเราจะมีครูที่เกษียณอายุราชการกว่า 2 แสนคน แต่เมื่อเด็กลดลงจะต้องการครูใหม่เข้ามาในระบบประมาณ 1.6 แสนคน แต่กว่าโครงการคุรุทายาทจะผลิตเสร็จ ใน 6 ปีข้างหน้า จะเหลือจำนวนครูใหม่เข้ามาในระบบประมาณ 1.2-1.3 แสนคน
ดังนั้น มหาวิทยาลัยราชภัฏจะเป็นหลักในการปฏิรูปครูได้ดีที่สุด ทั้งในแง่การผลิตครูตามโครงการคุรุทายาทจำนวน 3 หมื่นกว่ารายใน 6 ปีข้างหน้า และการพัฒนาครูใหม่ที่ควรจะต้องมีการทดสอบอย่างต่อเนื่องและเป็นการวางรากฐานที่มาตรฐานให้กับครูอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ การที่จะให้ครูไม่ต้องโยกย้ายบ่อยๆ จึงมีแนวทางให้ครูได้อยู่ในพื้นที่ของตนเองนานๆ หรือเท่ากับเป็นการให้ครูเลือกเขตพื้นที่เอง จึงเห็นว่าควรมีการทดสอบ โดยให้มหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นศูนย์สอบเพื่อยกระดับมาตรฐานครูใหม่ โดยกำหนดมาตรฐานของการสอบเป็น 3 ภาค คือ ข้อสอบวิชาเฉพาะ ข้อสอบวิชาชีพครู และการสัมภาษณ์ เช่น ครูไปสอบวิทยาศาสตร์ภาค ก-ข แล้วเก็บผลสอบไว้ จากนั้นสามารถนำคะแนนไปยื่นเพื่อสมัครสอบภาค ค ในแต่ละเขตพื้นที่ที่ต้องการได้ ซึ่งขอให้มหาวิทยาลัยราชภัฏไปพิจารณาแนวทางการจัดสอบเพื่อยกระดับครูใหม่ต่อไป
ที่ประชุมได้หารือถึงประเด็นปัญหาการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลในมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งเห็นว่าทั้งมหาวิทยาลัยและ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ควรนำข้อรับฟังต่างๆ ในการหารือครั้งนี้ไปปรับปรุงให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารงาน โดยขอให้ดูถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆ มากกว่าความรู้สึก
นอกจากนี้ ขอให้ สกอ.ตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อดูแลสภาพปัญหา และความต้องการจำเป็นในมหาวิทยาลัยราชภัฏที่เกิดขึ้นใหม่ 3 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ร้อยเอ็ด และกาฬสินธุ์
ที่มา ; เว็บ สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ
ฟรี... ห้องเตรียม-ครูผู้ช่วย
-ผู้บริหาร-บุคลากรการศึกษา ที่
ฟรี... ห้องเตรียม-ครูผู้ช่วย
-ผู้บริหาร-บุคลากรการศึกษา ที่
" ติวสอบดอทคอม " โดย อ.นิกร
เว็บฟรีข้อสอบออนไลน์
(พัฒนาความรู้เตรียมครู-ผู้บริหาร-บุคลากร การศึกษา)
" ติวสอบดอทคอม " โดย อ.นิกร
เว็บฟรีข้อสอบออนไลน์
(พัฒนาความรู้เตรียมครู-ผู้บริหาร-บุคลากร การศึกษา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น