หน้าหลัก ติวสอบดอทคอม เว็บฟรีข้อสอบออนไลน์

หน้าหลัก ติวสอบดอทคอม เว็บฟรีข้อสอบออนไลน์
หน้าหลัก ติวสอบดอทคอม เว็บฟรีข้อสอบออนไลน์

คู่มือ ติวสอบครูผู้ช่วย ปี 2566 ครบ ภาค กขค

คู่มือ ติวสอบครูผู้ช่วย ปี 2566 ครบ ภาค กขค
คู่มือ ติวสอบครูผู้ช่วย ปี 2566 ครบ ภาค กขค

คลิ๊ก "สมัครพัฒนาความรู้สู่ผู้บริหาร / ครูผู้ช่วย

คลิ๊ก... สมัคร พัฒนาความรู้ สู่ ครูผู้ช่วย
คลิ๊ก... สมัคร พัฒนาความรู้ สู่ ผู้บริหาร

ติวสอบดอทคอม (เตรียมสอบครูผู้ช่วย-ผู้บริหาร-บุคลากร การศึกษา)

ติวสอบดอทคอม (เตรียมสอบครูผู้ช่วย-ผู้บริหาร-บุคลากร การศึกษา)
ติวสอบดอทคอม (เว็บฟรีข้อสอบออนไลน์ สอบครู ผู้บริหาร บุคลากร)

วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ความรอบรู้ / การเปลี่ยนแปลงบริบทโลก สังคม พฤษภาคม 2566




ความรอบรู้ / การเปลี่ยนแปลงบริบทโลก สังคม 


1."ไอซ์ ปรีชญา" ยอมรับ สั่ง "ไซยาไนด์" จริง แค่ต้องการไล่ตัวเงินตัวทองที่บ้าน แต่ไม่ได้เปิดใช้ จ่อฟ้องสื่อโยงวางยาอดีต ผจก.!

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 พ.ค. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เผยระหว่างกล่าวถึงคดีนางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ แอม ผู้ต้องหาใช้สารไซยาไนด์วางยาฆ่าเหยื่อชีวิตหลายราย เพื่อล้างหนี้และประสงค์ต่อทรัพย์ว่า จากการตรวจสอบโรงงานแหล่งที่มาของไซยาไนด์แล้วพบความเชื่อมโยงว่า มีนักแสดงสาวคนหนึ่งได้สั่งซื้อไซยาไนด์ลอตเดียวกันกับนางสรารัตน์ จากการตรวจสอบพบว่า มีการสั่งซื้อหลังเกิดเหตุกรณีการเสียชีวิตของ น.ส.ก้อย

ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในวันที่ 8 พ.ค. จะเรียกนักแสดงสาวคนดังกล่าวมาสอบปากคำ เพื่อชี้แจงเรื่องวัตถุประสงค์การสั่งซื้อ โดยเบื้องต้นพบว่า มีการสั่งซื้อเพียง 1-2 หลอดเท่านั้น ซึ่งทางตำรวจได้ติดต่อไปยังผู้จัดการของนักแสดงสาวดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อมูลใดๆ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากจะเรียกนักแสดงสาวมาให้ปากคำแล้ว ตำรวจจะเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องอีก 20 คน มาสอบถามเรื่องการสั่งซื้อไซยาไนด์มาสอบเพิ่มเติมด้วย มีรายงานว่า ดาราสาวที่ทางชุดสืบสวนกำลังจะออกหมายเรียกมาสอบปากคำเป็นถึงนางเอกระดับ 100 ล้าน

ปรากฏว่า วันต่อมา (5 พ.ค.) "ไอซ์" ปรีชญา พงษ์ธนานิกร นักแสดงสาว ได้ออกมายอมรับว่า เป็นผู้สั่งซื้อสารไซยาไนด์ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยจะนำมาใช้ไล่ตัวเงินตัวทอง สัตว์มีพิษที่บุกเข้าบ้าน โดยที่ไม่รู้มาก่อนว่า หากครอบครองสารดังกล่าวจะมีความผิด และรู้สึกเสียใจที่ถูกกระแสสังคมมองว่า ซื้อเพื่อไปทำร้ายคนอื่นหรือไม่

ไอซ์ เล่าว่า ตอนที่มีการสั่งซื้อสารไซยาไนด์ ไม่คิดว่า จะสั่งได้ด้วยซ้ำ เชื่อว่าถูกหลอกแน่ แต่ผ่านไปเพียง 2 วัน ก็มีพนักงานส่งของนำมาส่งที่บ้าน แม่บ้านเป็นผู้ที่เปิดดู ก่อนวางไว้ที่โต๊ะอาหาร

เมื่อตัวเองกลับมาบ้าน เห็นขวดสารไซยาไนด์ ก็รู้สึกตกใจมาก เพราะขวดเหมือนที่เห็นในข่าวคดีแอม จึงไม่กล้าเปิดใช้ แม้พลาสติกที่พันขวดก็ยังไม่ได้แกะ และตอนนั้นคิดอย่างเดียวคือ ต้องไปแสดงความบริสุทธิ์ใจกับตำรวจ จึงเข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.บางเขน ซึ่งตำรวจก็บอกว่า ไม่น่าจะผิดกฎหมาย เพราะมีขายอยู่ในออนไลน์

ด้านแม่บังอร พงษ์ธนานิกร แม่ของไอซ์ บอกว่า ก่อนที่จะซื้อสารไซยาไนด์มา หวังจะใช้ไล่ตัวเงินตัวทอง เพราะทำทุกวิธีแล้ว แต่จัดการได้เพียงหนู และสัตว์ตัวเล็กเท่านั้น ซึ่งตัวเองเห็นในอินเทอร์เน็ตว่า สารไซยาไนด์มีฤทธิ์ที่จะช่วยฆ่า และไล่ตัวเงินตัวทองได้ แต่ยืนยันว่า ยังไม่ได้แกะสารไซยาไนด์มาใช้

ซึ่งในช่วงจังหวะที่สารไซยาไนด์ส่งมาถึงบ้านเป็นวันที่ 25 เม.ย. ช่วงที่มีคดีแอมพอดี ซึ่งตัวเองยังพูดกับลูกสาวว่า จังหวะนรกจริงๆ โดยตอนนี้สารไซยาไนด์ที่สั่งมา ตำรวจได้เก็บไว้เรียบร้อย ซึ่งตัวเองก็สังเกตว่า ตำรวจเขียนไว้ในใบแจ้งความว่า จะเก็บรักษาวัตถุนี้ไว้ มารับคืนเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งในเมื่อตำรวจเองก็ยังไม่ทราบว่า หากครอบครองแล้วจะมีความผิด ตัวเองซึ่งเป็นประชาชนธรรมดาก็ไม่ทราบเช่นกัน รวมถึงก็เพิ่งจะทราบว่าตัวเงินตัวทองเป็นสัตว์สงวน ไม่สามารถฆ่าได้ ก็เลยให้ตำรวจเป็นผู้เก็บสารไซยาไนด์ไว้

แม่บังอร กล่าวด้วยว่า หลังจากมีข่าวออกมา ไอซ์โดนแคนเซิลเรื่องงาน กระทบกับเรื่องงานมาก และมีเพจๆ หนึ่งเอารูปของไอซ์กับอดีตผู้จัดการส่วนตัวที่เสียชีวิตไปหลายปีแล้วมาขึ้นคู่กัน เขียนทำนองว่า ตายเพราะอย่างนี้รึเปล่า ซึ่งการซื้อไซยาไนด์ครั้งนี้ของเราเป็นการซื้อครั้งแรก ไปตรวจสอบประวัติได้เลยว่า เราไม่เคยซื้อยานี้มาก่อน เราไม่เคยรู้จักมาก่อน โดยส่วนหนึ่งมันเกิดจากการที่เราไม่รู้กฎหมายเรื่องสารร้ายแรง

เมื่อถามว่า มีคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นห่วงไอซ์ว่าก่อนหน้านี้ไอซ์เป็นซึมเศร้า เขากังวลใจถ้าไอซ์สั่งไปจะไปใช้ในทางที่ไม่ถูก ด้านไอซ์ บอกว่า "เข้าใจที่ถูกมองอย่างนี้ แต่ไม่ได้มีเจตนาใช้มันอยู่แล้ว หนูรู้ตัวดีว่าทำอะไร ไม่ได้ป่วยจนขั้นที่ต้องการทำร้ายตัวเอง"

ส่วนกรณีที่มีคนเอารูปของไอซ์ กับโกโก้ อดีตผู้จัดการส่วนตัวไปขึ้นคู่กัน แล้วเขียนข่าวออกมาว่า ไอซ์ไปซื้อยาไซยาไนด์ ทำให้คนมองว่าไอซ์วางยาโกโก้ ไอซ์ บอกว่า "หนูพูดไม่ออก (ร้องไห้) ไม่คิดว่าเขาจะโยงแบบนี้ได้ คือผู้จัดการหนูเสีย แล้วทางเพจนี้ก็เขียนชื่อย่อหนู เหมือนให้คิดว่าตายช่วงเวลาเดียวกันกับเหยื่อนะ คือหนูหรือเปล่าที่เป็นคนวางยาผู้จัดการ สื่อไปทางนั้นค่ะ แล้วมีคนพูดต่อๆ กัน ตรงนี้สะเทือนใจมาก"

ขณะที่แม่บังอร ยืนยันว่า "เวลาที่โกโก้ป่วยจะไม่ค่อยบอก จนเราต้องตามหา แล้วมารู้อีกทีว่าอยู่โรงพยาบาล กำลังให้ออกซิเจนอยู่ ที่หมอบอกก็คือหัวใจวาย แต่ว่าอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 5-6 วัน แล้วกลับมาอยู่ที่บ้าน วันที่เขาเสีย ไม่มีใครอยู่บ้านเลย แม่เป็นคนไปจัดงานศพให้เขา เขาเป็นคนที่รักน้องมาก เลยสะเทือนใจเรื่องนี้"

แม่บังอร เผยด้วยว่า ตอนนี้ไอซ์เครียด นอยด์ และจะฟ้องสำนักข่าวออนไลน์ที่นำภาพผู้จัดการของไอซ์ที่เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนไปลง โดยไม่ได้ขออนุญาต แล้วมีการแสดงความคิดเห็นในทางเสียหายว่าอาจนำไปใช้ฆ่าผู้จัดการหรือไม่ โดยจะฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท และนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ

ล่าสุด (6 พ.ค.) "จิ๊ก" พี่สาวของ โกโก้ อดีตผู้จัดการส่วนตัวของไอซ์ ที่เสียชีวิต ข้องใจการให้สัมภาษณ์ที่คลาดเคลื่อนของฝ่ายไอซ์ที่มีการระบุว่า วันที่โกโก้เสียชีวิต ไม่มีใครอยู่บ้านเลย และทางแม่ไอซ์เป็นคนจัดงานศพให้ จึงได้ออกชี้แจงผ่านสื่อว่า ก่อนที่โกโก้จะเสียชีวิต โกโก้เข้าโรงพยาบาล รักษาด้วยอาการน้ำเกินเพราะค่าไตสูง ซึ่งน้องมีโรคประจำตัวคือโรคกล้ามเนื้อหัวใจโต แต่การเสียชีวิตเกิดขึ้นภายหลังจากออกโรงพยาบาลมาประมาณ 2-3 เดือน เกิดอาการวูบหมดสติไปซึ่งก็กะทันหันเหมือนกัน โดยยืนยันในเบื้องต้นไม่ติดใจการเสียชีวิต

จิ๊ก กล่าวด้วยว่า กรณีที่ทางไอซ์ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ไปตามหาโก้โก้ที่โรงพยาบาล หรือไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลนั้น ไม่เป็นความจริง และที่บอกว่าไปเจอน้องสาวเสียชีวิต แล้วไม่มีใครนั้นไม่เป็นความจริง เพราะครอบครัวอยู่กับน้องสาวตลอด ญาติเป็นคนแจ้งรายละเอียดให้กับตำรวจและแจ้งโรงพยาบาลทั้งหมด

ส่วนไอซ์นั้นมาเป็นเจ้าภาพงานศพ 1 คืน และมาร่วมงานศพในวันเผาเท่านั้น รายละเอียดเรื่องการจัดงานศพ ญาติเป็นคนจัดการทั้งหมด ไม่ใช่แบบฝ่ายไอซ์ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นคนจัดการเอง แล้วหลังจากที่น้องสาวเสีย ทางของไอซ์ ก็ไม่ได้ติดต่อหรือโทรมาพูดคุยอะไรกันอีกเลย

จิ๊ก ระบุอีกว่า ไม่รู้ว่าเจตนาที่ฝ่ายไอซ์ให้สัมภาษณ์คืออะไร แต่สิ่งที่ให้ข้อมูลกับทางสื่อมันมีความคลาดเคลื่อน แล้วทำให้กระทบกับความรู้สึกของครอบครัว เพราะเรื่องราวผ่านไปกว่า 3 ปีแล้ว เราทุกคนพยายามจะก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาเลวร้าย แต่เมื่อมีข่าวนี้มาอีก ก็ทำให้กระทบต่อสภาพจิตใจของครอบครัวเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ มีรายงานว่า โกโก้ อดีตผู้จัดการส่วนตัวของไอซ์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 ม.ค.2563

ทั้งนี้ วันเดียวกัน “สเตฟาน อิสเลอร์” แฟนหนุ่มของ ไอซ์ ปรีชญา ได้ออกมาโพสต์ผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว ยืนยันเจตนาในการสั่งไซยาไนด์ของไอซ์ไม่ได้ต้องการทำร้ายใครแน่นอน เอาชีวิตตนเองเป็นประกันได้ โดยระบุว่า “สวัสดีทุกคนครับ ผม สเตฟาน อิสเลอร์ (แฟนไอซ์) ผมขอพูดเรื่องของไอซ์หน่อยนะครับ ไม่ได้ยุ่งกับคดีแอมแน่นอน ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะเอามาทำร้ายผู้อื่น กรณีผู้จัดการเก่า ไม่เกี่ยวข้องแน่นอน ไม่เคยฆ่าใคร (ไม่เคยวางยาใคร) ไม่เคยสั่งมาก่อน (เป็นครั้งแรก) ขวดยังไม่ได้เปิดใช้ (หรืออะไรทั้งสิ้น) พูดแบบตรงๆ เลยนะครับ เอาผมไปประหารชีวิตได้เลย ถ้าไอซ์ยุ่งเกี่ยวกับ 6 ข้อนี้ เอาชีวิตผมเป็นประกัน **ส่วนเราผิดไหม ผิดครับ เพราะเราสั่งมาจริง ให้มันเป็นไปตามข้อกฎหมาย

"ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแฟนผมผิดไปหมด แฟนผมไม่ใช่ฆาตกรนะครับ แต่ตอนนี้ข่าวออกมา แฟนผมไม่ต่างกับฆาตกรเลย รบกวนให้ความเป็นธรรมด้วยนะครับ เลิกโฟกัสที่ไอซ์ได้แล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ ควรไปโฟกัสคดีแอมจริงๆ ดีกว่าครับ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่ส่งให้ไอซ์นะครับ มันช่วยได้เยอะมาก เพราะตอนนี้ น้องแย่มากครับ"#จะไม่ทำอีก #อย่าหาทำ #บทเรียน #อุทาหรณ์ #2023 ขอบคุณทุกกำลังใจ”

2.ตร.ขอศาลฝากขัง "พ.ต.ท." อดีตสามี "แอม" ความผิด 4 ข้อหา เจ้าตัวยันไม่เกี่ยวฆาตกรรม ด้าน "แอม" ยังอยู่เรือนจำ-ไม่รับสารภาพ!


ความคืบหน้าคดี “แอม ไซยาไนด์” หรือนางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ แอม อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หลังถูกรวบ-ฝากขังค้านประกันคดีวางยาฆ่าล้างหนี้และเอาทรัพย์ของเหยื่อ โดยมีญาติของผู้เสียชีวิตเข้าร้องตำรวจเกือบ 20 คดี เนื่องจากสงสัยว่า แอมมีส่วนในการวางยาฆ่าหรือไม่

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 เม.ย. พนักงานสอบสวน กองปราบปรามได้เรียกพยานที่เกี่ยวข้องในคดีมาสอบปากคำ โดย น.ส.นก ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของแอม มีอาชีพเป็นพยาบาล ให้การว่า แอมมักจะโทรมาปรึกษาสอบถามถึงอาการของคนป่วยที่เป็นโรคหัวใจ ว่าจะมีอาการอย่างไร รวมถึงการกินยาฆ่าตัวตาย จะมีลักษณะอย่างไร ซึ่งตอนนั้นไม่ได้เอะใจ ก็ได้แนะนำกับทางแอมไปตามปกติ กระทั่งหลังมีข่าวแอมถูกจับ ทำให้เชื่อว่า หลังจากแอมก่อเหตุในแต่ละครั้งจะโทรศัพท์มาปรึกษาทุกครั้ง เพื่อนำข้อมูลไปเป็นทางหนีทีไล่ หากถูกจับได้ จะใช้อ้างว่าผู้ตายมีอาการของโรคหัวใจ

ขณะที่นายกอล์ฟ ลูกน้องคนสนิทของนายสุทธิศักดิ์ พูนขวัญ หรือแด้ สามีอีกคนของนางแอม หนึ่งในเหยื่อที่เสียชีวิตในพื้นที่ จ.อุดรธานี ให้การว่า เคยได้ยินมาว่า นายแด้กับนางแอมมีปัญหาทะเลาะกันเกี่ยวกับเรื่องเงิน หนำซ้ำยังเคยเปรยว่าจะฆ่านายแด้ให้ตาย ซึ่งตำรวจจะนำคำให้การไปประกอบสำนวนคดี เพื่อเป็นหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับแอมในคดีของนายแด้ต่อไป

ต่อมา วันที่ 2 พ.ค. พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. ได้เชิญตัว พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.สวนผึ้ง อดีตสามีของนางแอม มาสอบปากคำในฐานะพยานเป็นครั้งที่สอง เพื่อซักถามรายละเอียดเกี่ยวกับพฤติการณ์แวดล้อมเพิ่มเติมในบางประเด็น

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เผยหลังร่วมประชุมคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนางแอมว่า เบื้องต้นอดีตสามีของนางแอมให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอย่างมาก และพบว่า เป็นผู้ที่ขับรถเก๋งสีขาวไปรับผู้ต้องหาที่ จ.อุดรธานี หลังจากเหตุการณ์ที่นายแด้เสียชีวิต ก่อนนำรถไปจำนำในพื้นที่ จ.นครปฐม แต่อดีตสามีของผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือรู้เห็นในการฆาตกรรมที่เกิดขึ้น ขณะนี้ได้สั่งการให้อดีตสามีของผู้ต้องหามาปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง จะดำเนินคดีตามกฎหมาย และให้ออกจากราชการทันที

สำหรับแผนการประทุษกรรม จากการสอบปากคำอดีตสามีผู้ต้องหา รวมถึงการสืบหาพยานหลักฐาน เบื้องต้นพบว่า ผู้ต้องหาติดหนี้บัตรเครดิตและถูกติดตามทวงหนี้ ติดแบล็กลิสต์เครดิตบูโร ที่เกิดจากการเล่นพนันออนไลน์

ส่วนการหย่าร้างกันระหว่างผู้ต้องหาและอดีตสามีที่เป็นตำรวจ คาดเป็นเรื่องของสถานะทางการเงินภายในครอบครัว ซึ่งเบื้องต้นอยู่ระหว่างตรวจสอบว่า อดีตสามีผู้ต้องหาที่เป็นตำรวจมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ ซึ่งทั้ง น.ส.แอม และอดีตสามี ยังให้การไม่ตรงกัน

ทั้งนี้ จากไทม์ไลน์ในคดี มักพบว่ามีการก่อเหตุในช่วงวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ และเมื่อก่อเหตุแล้ว จะกลับมาหาคนใกล้ชิดทุกครั้ง และไปต่างจังหวัดก็ไปกับคนใกล้ชิดคนนี้ คาดเพื่อเป็นการสร้างที่อยู่หลักฐาน ซึ่งอาจมีความเชื่อมโยงไปถึงบุคคลที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติม ซึ่งการกระทำของนางแอม หากไม่มีคนแนะนำ คงไม่สามารถทำได้ขนาดนี้ ส่วนแรงจูงใจ เกิดจากแรงกระตุ้นให้เริ่มก่อเหตุ เมื่อไหร่ที่มีการทวงหนี้ จะมีการลงมือก่อเหตุ

วันต่อมา (3 พ.ค.) มีรายงานว่า พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม ได้ไปยื่นศาลขออนุมัติออกหมายจับ พ.ต.ท. อดีตสามีของนางแอมใน 4 ข้อหา ประกอบด้วย ร่วมกันยักยอกทรัพย์ รับของโจร ร่วมกันฉัอโกง และปลอมแปลงเอกสาร

ช่วงเย็นวันเดียวกัน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เผยหลังประชุมคณะทำงานคลี่คลายคดีนางแอมว่า พบความเชื่อมโยงจากการเสียชีวิตของผู้เสียหาย 14 ราย รอดชีวิต 1 ราย รวมเป็น 15 ราย ปัจจุบันออกหมายจับแล้ว 14 คดี ยังมีสงสัยอีก 2-3 คดี โดยที่ประชุมลงมติให้โอนทั้ง 14 คดีให้กองบังคับการปราบปรามดำเนินการโดยมีหัวหน้าคณะสืบสวน คือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมให้เร่งรัดดำเนินการทุกวัน เพื่อให้ได้พยานหลักฐานที่แน่นหนาในการเอาผิดผู้ต้องหา

ด้านพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สำหรับ พ.ต.ท.วิฑูรย์ หรือ รอง ผกก.อ๊อฟ อดีตสามีแอม ตำรวจพบว่า มีการหย่าร้างทางนิตินัย แต่ทั้งสองยังคงใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ไม่ได้เลิกกันจริง ส่วนที่ไปมีสามีใหม่ คือนายแด้ จุดประสงค์แอมคือต้องการทรัพย์สิน เนื่องจากแอมทราบมาว่าแด้มีทรัพย์สินจำนวนมาก คดีของนายแด้เชื่อว่า พ.ต.ท.วิฑูรย์ มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะหลังก่อเหตุ แอมให้ พ.ต.ท.วิฑูรย์ ไปเอารถของแด้ที่ จ.อุดรธานี จากนั้นทั้งสองไปตระเวนทวงเงินจากลูกหนี้ของนายแด้

ส่วนพยานคนใหม่ในคดีซึ่งเป็นภรรยาน้อยของ รอง ผกก.อ๊อฟ ที่ตำรวจเรียกมาให้ปากคำ เนื่องจากพบว่า รอง ผกก.อ๊อฟ แอม และภรรยาน้อยทั้ง 3 คน ซึ่งรู้จักกันดี เดินทางไปที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังแอมก่อเหตุเพื่อสร้างแหล่งที่อยู่ว่า แอมไม่ได้อยู่ในจุดเหตุฆาตกรรมในท้องที่ สภ.บ้านโป่ง

ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า ผู้เสียหายทั้ง 15 ราย แอมใช้สารพิษไซยาไนด์ทั้งหมด ไม่ว่าในรูปแบบเป็นน้ำ อาหาร ยาเม็ดแคปซูล โดยปัญหาการเงินเป็นมูลเหตุจูงใจในการฆ่า โดยใช้วิธีการโอนเงิน ทั้งแบบหลอกรับจำนำรถยนต์ ขอกู้ยืม เพราะแอมล้มเหลวด้านการเงิน มีหนี้บัตรเครดิตจำนวนมาก ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากการตรวจค้นที่บ้านพักพี่สาวแอม ที่พบแคปซูลเป็นจำนวนมาก ซึ่งตรวจสอบพบว่า ในแคปซูลมีการปนเปื้อนสารไซยาไนด์

ต่อมา เมื่อวันที่ 4 พ.ค. พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม ได้ยื่นศาลจังหวัดนครปฐม ขอฝากขัง พ.ต.ท.วิฑูรย์ อดีตสามีนางแอม ข้อหาร่วมกันรับของโจร ร่วมกันปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม หลังจากนั้น ผู้ต้องหาได้ยื่นขอประกันตัว พร้อมแสดงความยินยอมติดอุปกรณ์กำไล EM ระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราวด้วย

ด้านศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยตีราคาประกัน 1 แสนบาท เนื่องจากไม่พบพยานหลักฐานที่บ่งชี้หรือยืนยันว่า ผู้ต้องหามีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม ประกอบกับไม่ปรากฏว่า ผู้ต้องหาจะยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน อีกทั้งผู้ต้องหาประสงค์ที่จะไปพบ น.ส.สรารัตน์ ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง พร้อมเจ้าพนักงานตำรวจ เพื่อพูดคุย และหาก น.ส.สรารัตน์ ได้กระทำผิดจริง ก็ขอให้การรับสารภาพ จึงอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว

ทั้งนี้ ช่วงเย็นวันเดียวกัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เผยหลังคุมตัว พ.ต.ท.วิฑูรย์ อดีตสามีนางแอม เข้าพูดคุยกับนางแอมในเรือนจำว่า นางแอมยังไม่ยอมรับสารภาพใดๆ มีอาการเครียด ร้องไห้เมื่อเจอหน้าสามี และรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะสร้างผลกระทบต่อครอบครัวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะลูกของตัวเอง

วันต่อมา (5 พ.ค.) น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ ทนายความของนางแอม ได้เข้าพบนางแอมในเรือนจำ โดยเผยก่อนเข้าพบว่า “วันนี้จะเข้าไปแจ้งสิทธิ์ และรายละเอียดให้แอมทราบพอคร่าวๆ แต่คดีของคุณก้อยไม่รับสารภาพอยู่แล้ว เพราะจากการตรวจดูหลักฐานพบว่าแอมไม่ได้ทำจริง ส่วนคดีอื่นๆ ต้องขอคุยกันก่อน"

น.ส.ธันย์นิชา เผยอีกครั้งหลังเข้าพบนางนางแอมว่า แอมยังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และเจ้าตัวประสงค์จะขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น

3. กองปราบฯ จับมือสำนักพุทธฯ รวบ "พระคม-พระหมอ" ยักยอกเงินวัดป่าธรรมคีรี กว่า 180 ล้าน ทั้งยังเสพเมถุนชายรักชายในกุฏิ!


วันนี้ (6 พ.ค.) พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พร้อมด้วยนายอินทพร จั่นเอี่ยม รอง ผอ.รักษาราชการแทน ผอ.สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พ.ศ.) ร่วมกันแถลงผลจับกุมขบวนการยักยอกเงินวัดกว่า 180 ล้านบาท ประกอบด้วย นายคม คงแก้ว หรือพระอาจารย์คม อภิวโร หรือพระวชิรญาณโกศล (คม อภิวโร) อายุ 39 ปี, นายวุฒิมา หรือพระหมอ เถาว์หมอ หรือพระมหาวุฒิมา เถาว์หมอ อายุ 38 ปี และ น.ส.จุฑาทิพย์ ภูบดีวโรชุพันธุ์ อายุ 35 ปี ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

ในความผิดข้อหาเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์โดยทุจริต, เป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์โดยทุจริต, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และรับของโจร โดยจับกุมตัว นายคมได้ในพื้นที่ กทม. ส่วนนายวุฒิมา จับกุมได้ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ขณะที่ น.ส.จุฑาทิพย์ จับกุมตัวได้ในพื้นที่ จ.นนทบุรี

พล.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า คดีนี้ สืบเนื่องจากได้รับการประสานจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของพระอาจารย์คม ประธานฝ่ายสงฆ์ของวัดป่าธรรมคีรี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา หลังสงสัยว่ามีการทุจริตเงินวัด จึงจัดกำลังลงพื้นที่สืบสวนตรวจสอบภายในวัด

จนพบว่า พระอาจารย์คม ซึ่งเป็นพระผู้ดูแลการใช้จ่ายเงินต่างๆ ของวัด รวมถึงเงินที่ญาติโยมมีจิตศรัทธาร่วมทำบุญ ได้ร่วมกับพระหมอ เจ้าอาวาสวัด นำเงินของวัดไปใช้จ่ายส่วนตัว ทั้งยังนำเงินสดไปมอบให้ น.ส.จุฑาทิพย์ น้องสาวของตน เพื่อฝากเข้าบัญชีธนาคารหรือเก็บไว้ ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ทั้งสามร่วมกันยักยอกเงินของวัดไปแล้วกว่า 180 ล้าน และคาดว่า น่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก อยู่ระหว่างการตรวจสอบ

นอกจากนี้จากการตรวจค้นบ้านพักของ น.ส.จุฑาทิพย์ ยังพบเงินสดจำนวน 51 ล้านบาท ถูกเก็บไว้ในลังโฟมและกระเป๋าเดินทาง รวมทั้งพบเงินที่ถูกเก็บไว้ในบัญชีอีกกว่า 130 ล้านบาท

สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ขณะนี้อยู่ในการควบคุมตัวของตำรวจ อยู่ระหว่างการขยายผลตรวจสอบ ค้นหาพยานหลักฐานอื่นๆ เพิ่มเติม ส่วนจะมีการดำเนินคดีในผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 ด้วยหรือไม่นั้น จากหลักฐานที่มีอยู่ ยังไม่พบความผิดดังกล่าว

ในการสอบปากคำ ผู้ต้องหาทั้งสามให้การรับสารภาพว่า ได้นำเงินของวัดออกมาจริง รวมทั้งในระหว่างที่ถือสมณเพศนั้น ได้มีการเสพเมถุนแบบชายรักชายภายในกุฏิของวัด ซึ่งถือเป็นการอาบัติปาราชิก ตามข้อบัญญัติทางธรรมวินัยอีกส่วนหนึ่ง ผู้ต้องหาจึงสมัครใจที่จะลาสิกขา

ด้านนายอินทพร กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของคดีนี้ ทางสำนักพระพุทธศาสนาฯ ได้รับร้องเรียนทางลับให้ตรวจสอบพฤติกรรมของอดีตพระทั้ง 2 รูป โดยพฤติกรรมแรก เกี่ยวกับการประพฤติผิดพระธรรมวินัย เสพเมถุน ส่วนพฤติกรรมที่ 2 เป็นเรื่องของการบริหารเงินไม่โปร่งใส นำเงินบริจาคไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ หรือนำเงินวัดไปใช้ส่วนตัว ซึ่งหลังจากรับเรื่อง ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจนพบว่า ทั้งคู่มีพฤติกรรมส่อไปในทางดังกล่าวจริง จึงแจ้งไปยังคณะปกครอง กระทั่งยอมรับว่ามีพฤติกรรมนั้นจริง ส่วนเรื่องยักยอกเงินวัดนั้น เป็นเรื่องของคดีอาญา จึงประสานมายังกองปราบฯ ให้ช่วยตรวจสอบ จนนำมาสู่การจับกุมดังกล่าว

4. ตำรวจ บุกรวบ "เอกพจน์" นายกฯ คลองหลวง อดีตนักร้องลูกทุ่งดัง พร้อมลูกน้อง เรียกสินบน 3 ล้าน ขณะที่เจ้าตัวยังปฏิเสธ!



เมื่อวันที่ 3 พ.ค. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. พร้อมด้วย พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้อำนวยการกองปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ 2 สำนักงาน ป.ป.ท. ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่บุกจับกุมนายสถิต ฉ่ำแฉล้ม อายุ 50 ปี ผอ.กองช่างเทศบาลเมืองคลองหลวง ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียกรับทรัพย์สินประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบด้วยหน้าที่, เป็นเจ้าพนักงาน ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยจับกุมได้ภายในห้องทำงาน สำนักงานเทศบาลเมืองคลองหลวง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

ในส่วนของนายเอกพจน์ วงศ์นาค นายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง เนื่องจากเจ้าตัวไม่อยู่ที่สำนักงาน เพราะไปเฝ้าภรรยาคลอดลูก ที่ รพ.มงกุฎวัฒนะ จึงประสานให้มาพบ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาในฐานความผิดเดียวกันจากกรณีดังกล่าว

สำหรับการบุกจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายรายหนึ่ง ที่เข้าไปติดต่อขออนุญาตถมดินกับทางเทศบาลดังกล่าว ซึ่งเดิมทีผู้ขออนุญาตจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมทั่วไปเพียงแค่ 500 บาท แต่นายเอกพจน์ กลับเรียกรับเงินผู้เสียหายลูกบาศก์เมตรละ 50 บาท จากดินที่จะใช้ถมจำนวน 60,000 ลูกบาศก์เมตร รวมเป็นเงิน 3,000,000 บาท

ผู้เสียหายเกรงว่าหากไม่ทำตามข้อเรียกร้อง จะส่งผลกระทบต่องานที่ทำ จึงยอมจ่ายให้ก่อนเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท
 โดยมีนายสถิต ผอ.กองช่าง เป็นคนรับเงิน ก่อนจะขอผัดผ่อนทยอยจ่ายส่วนที่เหลือให้ในภายหลัง

หลังทราบเรื่อง ตำรวจ บก.ปปป. จึงจัดกำลังลงพื้นที่สืบหาข้อเท็จจริง ทราบว่าผู้ต้องหาทั้งสองมีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตจริง ประกอบกับทางกลุ่มผู้ต้องหาได้ติดต่อให้ผู้เสียหายนำเงินสดอีก 5 แสนบาท มาส่งมอบให้อีกครั้งในวันนี้ (3 พ.ค.) ที่ห้องทำงานสำนักงานเทศบาลคลองหลวง จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับนายสถิต จนนำมาสู่การเข้าจับกุมขณะกำลังรับมอบเงินของกลางดังกล่าว พร้อมกับตรวจยึดอาวุธปืน 1 กระบอก

ทั้งนี้ ช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายเอกพจน์ได้เดินทางมาที่สำนักงานเทศบาลเมืองคลองหลวง เพื่อเข้าพบ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ และรับทราบข้อกล่าวหา ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียกรับทรัพย์สินประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบด้วยหน้าที่, เป็นเจ้าพนักงาน ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยว่า ผู้ต้องหาทั้งสองยังคงให้การปฏิเสธ และไม่ขอให้รายละเอียดในชั้นสอบสวน ซึ่งเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็มั่นใจในพยานหลักฐาน และจะเร่งดำเนินการรวบรวมส่งสำนวนต่อให้กับทาง ป.ป.ช. พิจารณาต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า หลังการจับกุมตัว นายสถิตได้ยื่นขอประกันตัวโดยวางเงินสด 4 แสนบาท ซึ่งพนักงานสอบสวนเห็นว่า เจ้าตัวมีอาชีพเป็นข้าราช มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง จึงอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ส่วน นายเอกพจน์ หลังเข้ารับทราบข้อกล่าวเสร็จสิ้น ทางพนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัว โดยนัดหมายให้มาพบอีกครั้งในภายหลัง

สำหรับเอกพจน์ วงศ์นาค นักร้องลูกทุ่ง มีชื่อจริงว่า เอกพจน์ ปานแย้ม เกิดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2512 ที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็ออกเดินสายร้องเพลงลูกทุ่งไปตามที่ต่าง ๆ พร้อมกับเรียน กศน.ไปด้วย โดยเพลงที่ได้รับความนิยมและสร้างชื่อให้แก่เอกพจน์ คือ เพลง ทหารเกณฑ์คนจน

ปลายปี 2539 เอกพจน์ลงสมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี บ้านเกิด และได้รับเลือกตั้ง ทำให้เอกพจน์กลายมาเป็นนักร้องลูกทุ่งคนแรกที่ได้เป็น ส.ส. จากนั้น ได้ศึกษาต่อจนจบปริญญาตรีที่สถาบันราชภัฏเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ฯ และศึกษาต่อปริญญาโทรัฐศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ในการเลือกตั้งในปี 2544 ลงสมัครพื้นที่เดิม สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้ง หลังจากนั้น ในการเลือกตั้งปี 2548 ย้ายไปสังกัดพรรคชาติไทย ก็ได้รับเลือกตั้งอีก ในการเลือกตั้งปลายปี 2550 สังกัดพรรคชาติไทยเหมือนเดิม ก็ได้รับเลือกตั้งอีก

ต่อมาในปี 2551 ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคชาติไทยซึ่งถูกยุบพรรค เมื่อพ้นจากการถูกตัดสิทธิทางเมือง จึงลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 2557 ในพื้นที่เดิม สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา แต่การเลือกตั้งเป็นโมฆะ

จากนั้น เอกพจน์ได้หันมาทำงานการเมืองท้องถิ่น โดยเป็นหัวหน้าทีม "เพื่อนเอกพจน์" และลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และได้รับเลือกตั้ง

5. "อุ๊งอิ๊ง" แถลงข่าวคลอดลูกชายคนที่ 2 ตั้งชื่อเอง "พฤจ์ธาษิณ" ด้าน "ทักษิณ" ทวีตขออนุญาตกลับมาเลี้ยงหลานเร็วๆ นี้!


เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ที่โรงพยาบาลพระราม 9 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมด้วยนายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามี แถลงข่าวการคลอดบุตรชายคนที่ 2 ด.ช.พฤจ์ธาษิณ สุขสวัสดิ์ หรือน้องธาษิณ โดยก่อนแถลงข่าว น.ส.แพทองธาร และนายปิฎก พร้อมด้วยคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ได้นำ ด.ช.พฤจ์ธาษิณ ที่อยู่ในตู้อบ มาให้สื่อมวลชนได้ถ่ายภาพ

โดย น.ส.แพทองธาร เผยว่า ผ่าคลอดตอน 06.00 น.วันที่ 1 พ.ค. ไม่ได้ดูฤกษ์ดูยามอะไร ปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งถือเป็นฤกษ์ที่ดีที่สุด ส่วนที่มาของชื่อ พฤจ์ธาษิณ นั้น น.ส.แพทองธาร ยืนยันว่า เป็นชื่อที่ตนตั้งขึ้นเอง ให้มี จ์ ที่เหมือนคุณยาย และธาษิณ เหมือนคุณตา ไม่ได้ซีเรียสเรื่องความหมาย แต่อยากให้มีความผูกพันกับคนในบ้านเป็นหลัก เพราะฟังแล้วรู้สึกอบอุ่น ส่วนจะพาน้องธาษิณไปพบนายทักษิณเมื่อไหร่นั้น คุณยายบอกว่า ถ้าให้ดีก็รอ 4-5 เดือนก่อน

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจาก น.ส.แพทองธาร คลอดบุตรชายเมื่อวันที่ 1 พ.ค. นายทักษิณ ชินวัตรได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า “เช้าวันนี้ ผมดีใจมากที่ได้หลานคนที่ 7 เป็นชาย ชื่อ ธาษิณ จากน้องอิ๊งค์ แพทองธาร หลานทั้ง 7 คน คลอดในขณะที่ผมต้องอยู่ต่างประเทศ ผมคงต้องขออนุญาตกลับไปเลี้ยงหลาน เพราะผมอายุจะ 74 ปี กรกฎานี้แล้ว พบกันเร็วๆ นี้ ครับ ขออนุญาตนะครับ”

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวถาม น.ส.แพทองธารถึงกรณีนายทักษิณทวีตอยากกลับบ้านมาเลี้ยงหลาน น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คุณพ่อตื่นเต้นมาก หวังอยากเห็นโมเมนต์หน้าห้องคลอดในวันแรกที่เกิด แต่ไม่ได้ ไม่เป็นไร ตอนคลอดลูกคนแรก เคยคิดวางแผนไปคลอดต่างประเทศเพื่อให้คุณตาได้มาเห็น แต่ติดปัญหาเรื่องเอกสาร ส่วนคุณพ่อจะกลับมาเมื่อไหร่นั้น ท่านพูดหลายโอกาส ถือเป็นโอกาสที่น่าหวังมากกว่า เมื่อมีหลานคนใหม่เกิดมา เขาก็อยากกลับ เขามีความหวัง แต่สิ่งที่พูดมีเอฟเฟกต์ทางการเมือง แต่ในมุมของครอบครัวไม่ผิดที่จะหวังเช่นนั้น

เมื่อถามว่า การออกมาของนายทักษิณจะกระทบกับคะแนนเสียงหรือไม่ น.ส.แพทองธาร ตอบว่า การที่นายทักษิณจะกลับบ้านไม่เกี่ยวอะไรกับพรรคเพื่อไทย หรือกระทบกับสิ่งที่ตนกำลังหาเสียงอยู่ แต่ยอมรับ มันแยกยาก เพราะนายทักษิณก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ตนก็เป็นลูกไม่สามารถตัดขาดได้ แต่สิ่งที่นายทักษิณพูดคืออยากกลับมาเลี้ยงหลาน ไม่เคยบอกอยากกลับมาเป็นนายกฯ ความจริงไม่เกี่ยวกันเลย แต่คนชอบคิดว่าเกี่ยวกันก็ไม่แปลก

เมื่อถามถึงกรณี นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ร้องยุบพรรคเพื่อไทย เรื่องไลน์หลุดโอนเงินให้คนเสื้อแดงช่วยหาเสียง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องจริง ถ้านายศรีสุวรรณว่าง ก็เชิญ มองว่าเป็นเทคนิคในการหาเสียง ถ้าตนมีเวลาเหมือนนายศรีสุวรรณ ก็อาจจะฟ้องกลับ

 ที่มา ;   https://mgronline.com/onlinesection/detail/9660000041790

เรียบเรียง / สรุป / ออกข้อสอบออนไลน์ โดย

อ./ผอ.นิกร ติวสอบดอทคอม

เว็บรวมข้อสอบออนไลน์ ฟรี (ภาค กขค)

www.tuewsob.com

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2566

นโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567

นโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567



ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง นโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงประกาศนโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ดังนี้

หลักการตามนโยบาย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567

กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการภารกิจหลักตามยุทธศาสตร์ชาติ ร่าง แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2566 – 2580) ฉบับปรับปรุง ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อน ประเด็น 11 การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต ในแผนย่อยที่ 3.3 การพัฒนาช่วงวัยเรียน/วัยรุ่น ประเด็น 12 การพัฒนาการเรียนรู้ และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) โดยเฉพาะหมุดหมายที่ 12 ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) รวมทั้งนโยบายและแผนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนทุกช่วงวัยได้รับการพัฒนาในทุกมิติ จึงได้กำหนดหลักการสำคัญ ไว้ดังนี้

  1. สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้เรียนและประชาชน โดยให้ทุกหน่วยงานนำรูปแบบการทำงานที่บูรณาการการทำงานร่วมกัน และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความโปร่งใส ความรับผิดชอบ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อสานต่อความร่วมมือที่เข้มแข็ง และสร้างหลักประกันว่าทุกคนจะต้องมีการศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างครอบคลุมทุกพื้นที่
  2. สนับสนุนให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนดำเนินการตามภารกิจด้วยความรับผิดชอบต่อตนเอง องค์กร ประชาชนและประเทศชาติ โดยให้ความสำคัญกับการประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ผ่านกลไกการรับฟังความคิดเห็นมาประกอบการดำเนินงานที่เป็นประโยชน์ต่อการยกระดับคุณภาพการศึกษา
  3. ดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อมุ่งเน้นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของภาคการศึกษาที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนและประชาชน โดยมุ่งเป้าหมายการพัฒนาการศึกษา เพื่อร่วมกัน “พลิกโฉมการศึกษาสู่ยุคดิจิทัล” (Transforming Education to Fit in the Digital Era)

ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนไปสู่เป้าหมายของการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ โดยคำนึงถึงชาติ ศาสนา ศิลปะ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม กีฬา ความปลอดภัย ความมีโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษา รวมทั้งมีสมรรถนะที่สำคัญจำเป็นสำหรับโลกยุคใหม่

นโยบายและจุดเน้นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567

1. การจัดการศึกษาเพื่อความปลอดภัย

1.1 สร้างความปลอดภัยในสถานศึกษาเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นของสังคม และป้องกันภัยคุกคามในชีวิตทุกรูปแบบ โดยมีการดำเนินการตามแผนและมาตรการด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้เรียน ครู และบุคลากร ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างเข้มข้น
1.2 ปลูกฝังทัศนคติ พฤติกรรม และองค์ความรู้ในการใช้สื่อสังคมออนไลน์และไซเบอร์ อย่างสร้างสรรค์
1.3 ส่งเสริมคุณลักษณะและพฤติกรรมที่พึงประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม สร้างความตระหนักรู้และจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
1.4 พัฒนาบทบาทและภารกิจด้านความปลอดภัยของทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน

2. การยกระดับคุณภาพการศึกษา

2.1 ส่งเสริม สนับสนุนให้สถานศึกษาจัดการเรียนรู้สู่สมรรถนะตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ไปสู่การปฏิบัติอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างสมรรถนะที่จำเป็นในโลกยุคใหม่ให้กับผู้เรียน
2.2 จัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมพหุปัญญาให้กับผู้เรียน โดยเน้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ในรูปแบบ Active Learning, STEM Education, Coding ฯลฯ และกระบวนการส่งต่อในระดับที่สูงขึ้น
2.3 พัฒนากระบวนการเรียนรู้และการวัดผล ประเมินผลฐานสมรรถนะ เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาทักษะและสมรรถนะที่จำเป็นแห่งอนาคต
2.4 ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อพัฒนาทักษะและสมรรถนะด้าน Soft Power ให้กับผู้เรียน
2.5 ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้เรียนทุกช่วงวัยได้เรียนรู้ตามความสนใจผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มที่หลากหลาย
2.6 ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) และการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ (Learning Loss)
2.7 พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมืองและศีลธรรมให้มีความทันสมัย น่าสนใจ เหมาะสมกับวัยและบริบทของพื้นที่
2.8 ส่งเสริมการให้ความรู้และทักษะด้านการเงินและการออม (Financial Literacy) ให้กับผู้เรียน โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2.9  ส่งเสริมสนับสนุนสถานศึกษาให้นำผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติไปใช้ในการวางแผน การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนและยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา
2.10 พัฒนาระบบการประเมินคุณภาพสถานศึกษาที่เน้นสมรรถนะและผลลัพธ์ที่ตัวผู้เรียน

3. การสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษาทุกช่วงวัย

3.1 พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศของนักเรียนเป็นรายบุคคล เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการติดตามและส่งต่อไปยังสถานศึกษาในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งแก้ปัญหาเด็กตกหล่นและออกกลางคัน
3.2 ส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กปฐมวัยที่มีอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปทุกคน เข้าสู่ระบบการศึกษา เพื่อรับการพัฒนาอย่างรอบด้าน มีคุณภาพ ตามศักยภาพ ตามวัย ต่อเนื่องอย่างเป็นระบบและเป็นไปตามมาตรฐาน โดยบูรณาการร่วมกันกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3.3 พัฒนาข้อมูลและทางเลือกที่หลากหลายให้กับผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายพิเศษ และกลุ่มเปราะบาง รวมทั้งกลุ่มเยาวชนอายุ 15-24 ปีที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา การทำงาน หรือการฝึกอบรม (Not in Education, Employment or Training : NEETs)
3.4 พัฒนาระบบสนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยครอบครัว (Home School) และการเรียนรู้ที่บ้านเป็นหลัก (Home–based Learning) รวมทั้งการศึกษาทางเลือกอื่น ๆ
3.5 พัฒนาระบบธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) ในหน่วยงานที่จัดการศึกษาและให้มีหน่วยงานกลางในการขับเคลื่อนระบบธนาคารหน่วยกิตในภาพรวม และการเชื่อมโยงทั้งระหว่างรูปแบบ ประเภท และระดับการศึกษา

4. การศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

4.1 พัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษา และหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น แบบโมดูล (Modular System) มีการบูรณาการวิชาสามัญและวิชาชีพในชุดวิชาชีพเดียวกัน เชื่อมโยงการจัดการอาชีวศึกษาทั้งในระบบ นอกระบบและระบบทวิภาคี รวมทั้งการจัดการเรียนรู้แบบต่อเนื่อง (Block Course) เพื่อสะสมหน่วยการเรียนรู้ (Credit Bank) ร่วมมือกับสถานประกอบการในการจัดการอาชีวศึกษาอย่างเข้มข้นเพื่อการมีงานทำ
4.2 ขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนากำลังคนตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ และยกระดับสมรรถนะกำลังคนตามกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน และมาตรฐานสากล รวมทั้งขับเคลื่อนความเป็นเลิศทางการอาชีวศึกษา (Excellent Center) โดยความร่วมมือกับภาคเอกชนและสถานประกอบการในการผลิตกำลังคนที่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ
4.3 พัฒนาสมรรถนะอาชีพที่สอดคล้องกับความถนัด ความสนใจ โดยการ Re-skill Up-skill และ New skill เพื่อให้ทุกกลุ่มเป้าหมายมีการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น พร้อมทั้งสร้างช่องทางอาชีพในรูปแบบหลากหลายให้ครอบคลุมผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งผู้สูงอายุ โดยมีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4.4 ส่งเสริมการพัฒนาระบบการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติด้านอาชีวศึกษา (V-NET) ตามสมรรถนะที่จำเป็นในการเข้าสู่อาชีพ และการนำผลการทดสอบไปใช้คัดเลือกเข้าทำงาน ศึกษาต่อ ขอรับประกาศนียบัตรมาตรฐานสมรรถนะการใช้ดิจิทัล (Digital Literacy) การขอรับวุฒิบัตรสมรรถนะภาษาอังกฤษ (English Competency)
4.5 จัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาการจัดตั้งธุรกิจ (ศูนย์ Start Up) ภายใต้ศูนย์พัฒนาอาชีพและการเป็นผู้ประกอบการ และพัฒนาศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการอาชีวศึกษา เพื่อการส่งเสริม และพัฒนาผู้ประกอบการด้านอาชีพทั้งผู้เรียนอาชีวศึกษาและประชาชนทั่วไป โดยเชื่อมโยงกับ กศน. และสถานประกอบการทั้งภาครัฐและเอกชนที่สอดคล้องกับการประกอบอาชีพในวิถีชีวิตรูปแบบใหม่
4.6 เพิ่มบทบาทการอาชีวศึกษาในการสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการและกำลังแรงงานในภาคเกษตร โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรอัจฉริยะ (Smart Farmer) และกลุ่มยุวเกษตรกรอัจฉริยะ (Young Smart Farmer) ที่สามารถรองรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้
4.7 พัฒนาหลักสูตรอาชีพสำหรับกลุ่มเป้าหมายผู้อยู่นอกระบบโรงเรียนและประชาชนที่สอดคล้องมาตรฐานอาชีพเพื่อการเข้าสู่การรับรองสมรรถนะ และได้รับคุณวุฒิวิชาชีพตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ

5. การส่งเสริมสนับสนุนวิชาชีพครู บุคลากรทางการศึกษา และบุคลากร

5.1 ส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินการประเมินวิทยฐานะ โดยใช้ระบบการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (Digital Performance Appraisal : DPA)
5.2 ส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินการ พัฒนาสมรรถนะทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลตามกรอบ  ระดับสมรรถนะดิจิทัล (Digital Competency) สำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และระดับอาชีวศึกษา
5.3 พัฒนาครูให้มีความพร้อมด้านวิชาการและทักษะการจัดการเรียนรู้ การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ รวมทั้งให้เป็นผู้วางแผนเส้นทางการเรียนรู้ การประกอบอาชีพ และการดำเนินชีวิตของผู้เรียนได้ตามความสนใจและความถนัดของแต่ละบุคคล
5.4 ส่งเสริมสนับสนุนการวัดสมรรถนะครูด้านการวัดและประเมินผล เพื่อนำผลไปใช้ในการยกระดับการเรียนการสอน การวัดผลและประเมินผลในชั้นเรียน
5.5 พัฒนาขีดความสามารถของครู และบุคลากรให้มีสมรรถนะที่สอดคล้องและเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต
5.6 ส่งเสริมสนับสนุนการทดสอบสมรรถนะครู และบุคลากรด้านภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในการทำงาน
5.7 เร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทั้งระบบ ควบคู่กับการให้ความรู้ด้านการวางแผนและการสร้างวินัยด้านการเงินและการออม

6. การพัฒนาระบบราชการและการบริการภาครัฐยุคดิจิทัล

6.1 ขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการ ด้วยนวัตกรรม และการนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาเป็นกลไกหลักในการดำเนินงาน (Digitalize Process) การเชื่อมโยงและแบ่งปันข้อมูล (Sharing Data) การส่งเสริมความร่วมมือ บูรณาการกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก
6.2 พัฒนาประสิทธิภาพของเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศให้สามารถใช้งานเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6.3 พัฒนาระบบการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรทางการศึกษา โดยยึดหลักความจำเป็นและใช้พื้นที่เป็นฐาน ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเป็นสำคัญ
6.4 เสริมสร้างคุณธรรม มาตรฐานทางจริยธรรมและปลุกจิตสำนึกต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยยึดหลักธรรมาภิบาล

7. การขับเคลื่อนกฎหมายการศึกษาและแผนการศึกษาแห่งชาติ

ดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรอง เพื่อรองรับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ควบคู่กับการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง

แนวทางการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติ

  1. ให้ส่วนราชการ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ นำนโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ข้างต้น เป็นกรอบแนวทางในการจัดการศึกษา โดยดำเนินการจัดทำแผนและงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 พร้อมน้อมนำศาสตร์พระราชาสู่การปฏิบัติ
  2. ให้มีคณะกรรมการติดตาม ประเมินผล และรายงานการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ สู่การปฏิบัติระดับพื้นที่ ทำหน้าที่ตรวจราชการ ติดตาม ประเมินผลในระดับนโยบาย และจัดทำรายงานเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ทราบตามลำดับ
  3. กรณีมีปัญหาในเชิงพื้นที่หรือข้อขัดข้องในการปฏิบัติงาน ให้ศึกษา วิเคราะห์ข้อมูล และดำเนินการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ก่อน โดยใช้ภาคีเครือข่ายในการแก้ไขข้อขัดข้อง พร้อมทั้งรายงานต่อคณะกรรมการติดตามฯ ตามข้อ 2 ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตามลำดับ
  4. สำหรับภารกิจของส่วนราชการหลักและหน่วยงานที่ปฏิบัติในลักษณะงานในเชิงหน้าที่ (Function) งานในเชิงยุทธศาสตร์ (Agenda) และงานในเชิงพื้นที่ (Area) ซึ่งได้ดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว หากมีความสอดคล้องกับหลักการนโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ข้างต้น ให้ถือเป็นหน้าที่ของส่วนราชการหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งรัด กำกับ ติดตาม ตรวจสอบให้การดำเนินการเกิดผลสำเร็จ และมีประสิทธิภาพอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2565
นางสาวตรีนุช เทียนทอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

ข้อมูล/ภาพ : สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สป.ศธ.
ดาวน์โหลดไฟล์ : https://drive.google.com/drive/folders/1BV_r9HmBwIHNde2Xs7GKlkNGW7QA11G8?usp=sharing

 ที่มา ;  นโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 – ศธ.360 องศา (moe360.blog)

เรียบเรียง / สรุป / ออกข้อสอบออนไลน์ โดย

อ./ผอ.นิกร ติวสอบดอทคอม

เว็บรวมข้อสอบออนไลน์ ฟรี (ภาค กขค)

www.tuewsob.com

พัฒนาความรู้ครูผู้ช่วย 4 ภาค

พัฒนาความรู้ครูผู้ช่วย 4 ภาค
พัฒนาความรู้ครูผู้ช่วย 4 ภาค

ห้องสนทนา บน facebook

ห้องสนทนา บน facebook
ห้องสนทนาติวสอบดอทคอม

ข้อสอบออนไลน์ "ติวสอบดอทคอม" ชุดใหม่

คู่มือเตรียมสอบผู้บริหาร ภาค ก ข ค

แจ้งย้ายเว็บไปที่ www.tuewsob.com

คู่มือเตรียมสอบผู้บริหาร ภาค ก ข ค (ปรับปรุงใหม่)

รวม เล่ม + แผ่นพับ + ชีตช่วยจำ + DVD เนื้อหา + เสียงบรรยาย + EMS = 800 บาท
สนใจ คู่มือ ภาค ก ข ค ผู้บริหาร คลิ๊กเลย

สั่งจอง... โอนเงินเข้าชื่อบัญชี นายนิกร เพ็งลี ธนาคารกรุงไทย สาขาจอหอ บัญชีเลขที่ 341-1-38912-5 โอนเงินแล้วกรุณาโทรแจ้ง
0872494141 หรือ 0839660030

คู่มือ เตรียมสอบผู้บริหาร

คู่มือ เตรียมสอบผู้บริหาร
คู่มือ เตรียมสอบผู้บริหาร

ติวสอบออนไลน์ บน facebook

ติวสอบออนไลน์ บน facebook
ติวสอบออนไลน์ บน facebook

คลังหนังสือ ติวสอบดอทคอม

คลังหนังสือ ติวสอบดอทคอม
คลังหนังสือ ติวสอบดอทคอม

ติวสอบดอทคอม

ติวสอบดอทคอม
ติวสอบดอทคอม