หน้าหลัก ติวสอบดอทคอม เว็บฟรีข้อสอบออนไลน์

หน้าหลัก ติวสอบดอทคอม เว็บฟรีข้อสอบออนไลน์
หน้าหลัก ติวสอบดอทคอม เว็บฟรีข้อสอบออนไลน์

คู่มือ ติวสอบครูผู้ช่วย ปี 2566 ครบ ภาค กขค

คู่มือ ติวสอบครูผู้ช่วย ปี 2566 ครบ ภาค กขค
คู่มือ ติวสอบครูผู้ช่วย ปี 2566 ครบ ภาค กขค

คลิ๊ก "สมัครพัฒนาความรู้สู่ผู้บริหาร / ครูผู้ช่วย

คลิ๊ก... สมัคร พัฒนาความรู้ สู่ ครูผู้ช่วย
คลิ๊ก... สมัคร พัฒนาความรู้ สู่ ผู้บริหาร

ติวสอบดอทคอม (เตรียมสอบครูผู้ช่วย-ผู้บริหาร-บุคลากร การศึกษา)

ติวสอบดอทคอม (เตรียมสอบครูผู้ช่วย-ผู้บริหาร-บุคลากร การศึกษา)
ติวสอบดอทคอม (เว็บฟรีข้อสอบออนไลน์ สอบครู ผู้บริหาร บุคลากร)

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559

นโยบายการพัฒนาโรงเรียน ICU

อ่านชัด-อ่านครบ กด ดูเวอร์ชั่นสำหรับเว็บ (ด้านล่าง)

เรื่องใหม่น่าสนใจ  (ทั้งหมด ที่ )


(เนื้อหา-ข้อสอบ 1,000 ชุุด หมื่นข้อ ภาค กข


40 วิชาเอก) ที่ ห้องสอบด้านขวา หรือ 


เว็บฟรีข้อสอบ 1,000 ชุด ที่ ติวสอบดอทคอม คลิ๊ก www.tuewsob.com 

-นายกรัฐมนตรีพบเพื่อนครู + การศึกษาไทยศตวรรษ 21 นี่

-กำหนดการสอบครูผู้ช่วย ครั้งที่ 1 ปี 2559

            -คู่มือ 4 ชุด นโยบาย บริบริหาร ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้


 คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้   
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา   

ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 525/2559
รมว.ศธ.เปิดงานวันกำพล วัชรพล ครั้งที่ 20 ประจำปี 2559

นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานและมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่โรงเรียนไทยรัฐวิทยาและบุคลากรดีเด่น พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานวันกำพล วัชรพล ครั้งที่ 20 ประจำปี 2559 เมื่อบ่ายวันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2559 ณ สำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ โดยมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, คุณหญิงประณีตศิลป์ วัชรพล ประธานกรรมการบริษัท วัชรพล จำกัด ตลอดจนคณะผู้บริหารหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ผู้บริหาร และข้าราชการครูโรงเรียนไทยรัฐวิทยาทั่วประเทศ เข้าร่วมงานกว่า 500 คน

นายมานิจ สุขสมจิตร ประธานกรรมการพิจารณาให้รางวัล "กำพล วัชรพล" ได้กล่าวอาเศียรวาทแสดงความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และนำแขกผู้มีเกียรติยืนสงบนิ่งไว้อาลัยเป็นเวลา 89 วินาที จากนั้นกล่าวรายงานการจัดงานในครั้งนี้ว่า งานวันกำพล วัชรพล เป็นงานที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐและมูลนิธิไทยรัฐจัดขึ้น เพื่อรำลึกถึงนายกำพล วัชรพล อดีตผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิไทยรัฐ และผู้ให้กำเนิดโครงการโรงเรียนไทยรัฐวิทยาในชนบท ห่างไกลความเจริญ ซึ่งงานเช่นนี้จัดต่อเนื่องมาเป็นเวลา 19 ปีนับตั้งแต่นายกำพล วัชรพล ถึงแก่อนิจกรรม
นางยิ่งลักษณ์ วัชรพล รองประธานและเหรัญญิกมูลนิธิไทยรัฐ ได้มอบรางวัลวิทยานิพนธ์ในปีนี้ โดยเป็นรางวัลชมเชย 2 รางวัล ได้แก่ น.ส.อรวี ศรีชำนาญ สาขานิเทศศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายพีระวัฒน์ อัฐนาค สาขาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมทั้งมอบโล่รางวัลแก่คณบดีทั้งสองคณะดังกล่าว
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เป็นประธานการมอบรางวัลเชิดชูเกียรติให้แก่โรงเรียนไทยรัฐวิทยาดีเด่น ผู้บริหารโรงเรียนไทยรัฐวิทยาดีเด่น และครูโรงเรียนไทยรัฐวิทยาดีเด่น ประจำปี 2559 ดังนี้
● โรงเรียนดีเด่น
ชนะเลิศ ได้แก่ ภาคเหนือ-โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 33 จังหวัดแม่ฮ่องสอน, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 36 จังหวัดร้อยเอ็ด, ภาคใต้-โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 74 จังหวัดนครศรีธรรมราช, ภาคกลางและภาคตะวันออก-โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 93 จังหวัดปราจีนบุรี
รองชนะเลิศ อันดับ 1 ได้แก่ ภาคเหนือ-โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 5 จังหวัดอุตรดิตถ์, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 28 จังหวัดอุบลราชธานี, ภาคใต้-โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 54 จังหวัดพังงา, ภาคกลางและภาคตะวันออก-โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 55 จังหวัดนนทบุรี และโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 64 จังหวัดราชบุรี
รองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้แก่ ภาคเหนือ-โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 8 จังหวัดพิษณุโลก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 81 จังหวัดหนองบัวลำภู, ภาคใต้-โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 89 จังหวัดนราธิวาส, ภาคกลางและภาคตะวันออก-โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 100 จังหวัดลพบุรี
● ผู้บริหารดีเด่น
ชนะเลิศ ได้แก่ ภาคเหนือ-นายทรงฤทธิ์ วรรณรักษ์ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 72 จังหวัดเชียงราย, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-นายสุรพล ณ รุณ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 87 จังหวัดอุบลราชธานี, ภาคใต้-นายกมล ธรมีฤทธิ์ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 77 จังหวัดชุมพร, ภาคกลางและภาคตะวันออก-นายวิทยา ประชากุล โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 1 จังหวัดลพบุรี
รองชนะเลิศ อันดับ 1 ได้แก่ ภาคเหนือ-นายไพรัช ไกรเกรียงศรี โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 8 จังหวัดพิษณุโลก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-นายพิชิต พลเยี่ยม โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 36 จังหวัดร้อยเอ็ด, ภาคใต้-นายสมปอง ชาวสมบูรณ์ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 74 จังหวัดนครศรีธรรมราช และนายเสกสรร เส็นเจริญ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 94 จังหวัดยะลา, ภาคกลางและภาคตะวันออก-นายชาลี กองแก้ว โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 93 จังหวัดปราจีนบุรี
รองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้แก่ ภาคเหนือ-นายสมบูรณ์ ติ๊บเตปิน โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 48 จังหวัดลำพูน , ภาคกลางและภาคตะวันออก-นายเจริญศักดิ์ ศรีทอง โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 65 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
● ครูดีเด่น
ชนะเลิศ ได้แก่ ภาคเหนือ-นายเด่นชัย ป้อมทอง โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 60 จังหวัดพิจิตร, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-นางวิภาพร เบียดกลาง โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 26 จังหวัดบุรีรัมย์, ภาคใต้-นางสาวสีวรรณ์ ไชยกุล โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 94 จังหวัดยะลา, ภาคกลางและภาคตะวันออก-นางสาวณหทัย แม้นชล โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 93 จังหวัดปราจีนบุรี
รองชนะเลิศ อันดับ 1 ได้แก่ ภาคเหนือ-นายวัชระ ยะสง่า โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 12 จังหวัดเชียงใหม่, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-นางกนกพร สมปัญญา โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 34 จังหวัดขอนแก่น, ภาคใต้-นางรัชดาวัลย์ แดงเกตุชัยโรจน์ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 23 จังหวัดพัทลุง, ภาคกลางและภาคตะวันออก-นางภภัสสร แพรสายทอง โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 64 จังหวัดราชบุรี
รองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้แก่ ภาคเหนือ-นางเกสร สวัยษร โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 31 จังหวัดแพร่, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-นางสาวมาลี พรหมเดเวช โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 81 จังหวัดหนองบัวลำภู, ภาคใต้-นางสมฤดี โพธิจันทร์ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 77 จังหวัดชุมพร, ภาคกลางและภาคตะวันออก-นางสาวดวงนภา วงศ์ใจ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 57 จังหวัดชัยนาท และนางสาวรัตนาภรณ์ สุขประสม โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 69 จังหวัดปทุมธานี

โอกาสนี้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวปาฐกถาพิเศษตอนหนึ่งว่า ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลทุกคน และรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มามอบรางวัลเพื่อยกย่องครูและผู้บริหารโรงเรียนที่ทุ่มเททำงานเพื่อพัฒนาโรงเรียนไทยรัฐวิทยาจากทั่วประเทศ ตลอดจนร่วมงาน “วันกำพล วัชรพล” ในครั้งนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าคุณกำพล วัชรพล มีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลที่ได้ริเริ่มโครงการโรงเรียนไทยรัฐวิทยาเพื่อให้การศึกษากับเด็กในท้องถิ่นห่างไกล ถือเป็นการลงทุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของชาติและเป็นการลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา สอดคล้องกับแนวทางที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชทานให้ก่อตั้งมูลนิธิยุวสถิรคุณ เพื่อต้องการให้เด็กที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารและขาดโอกาสได้รับการศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะรับผิดชอบดูแลด้านการศึกษาของประเทศ ได้น้อมนำแนวพระราชดำริ และพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงสนพระทัยติดตามและให้ความสำคัญกับการศึกษาของไทยมาโดยตลอด โดยกระทรวงศึกษาธิการได้น้อมนำใส่เกล้าฯ และมอบเป็นนโยบาย เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการศึกษาไทยให้ดียิ่งขึ้น อาทิ
ในเรื่องที่เกี่ยวกับนักเรียน  “ครูต้องสอนให้เด็กนักเรียนมีน้ำใจ เช่น คนเรียนเก่งช่วยติวเพื่อนที่เรียนล้าหลัง มิใช่สอนให้เด็กคิดแต่จะแข่งขัน (Compete) กับเพื่อน เพื่อให้คนเก่งได้ลำดับดี ๆ เช่น สอบได้ที่หนึ่งของชั้น แต่ต้องให้เด็กแข่งขันกับตนเอง”
ในเรื่องที่เกี่ยวกับครู  “ต้องปรับปรุงครู...ครูจะอายุ 40-50 ปี ก็ต้องเรียนใหม่ ต้องปฏิวัติครูอย่างจริงจัง”
ในเรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษา  การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียนใน 2 ด้าน คือ 1) ส่งเสริมให้นักเรียนมีทัศนคติที่ถูกต้อง 2) การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานชีวิตหรืออุปนิสัยที่มั่นคงเข้มแข็ง อาทิ การสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม (Character Education)
ในเรื่องที่เกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน (Anti-Corruption)  “…ท่านต้องห้ามไม่ให้มีการทุจริตขึ้น แล้วท่านจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดซีอีโอที่มีประสิทธิภาพ ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่ง แช่งให้มีอันเป็น พูดอย่างนี้หยาบคาย แต่ว่าขอให้มีอันเป็นไปถ้าไม่ทุจริต สุจริต และมีความตั้งใจในธรรม ขอให้ต่ออายุได้ถึงร้อยปี หรือถ้าอายุมากแล้วก็แข็งแรง ประเทศไทยจะรอดพ้นอันตรายอย่างมาก”

นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี โดยมียุทธศาสตร์ด้านการศึกษา 6 ด้าน คือ 1) ความมั่นคง 2) การสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3) การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ 4) การสร้างโอกาสความเสมอภาคและการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม 5) การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 6) การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ซึ่งกล่าวได้ว่า กระทรวงศึกษาธิการจะเร่งปฏิรูปการศึกษาให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยจะเน้นพัฒนาจากจุดที่สำคัญที่สุด คือ โรงเรียน ในรูปแบบที่ไม่ตายตัวปรับเปลี่ยนได้ตามบริบท (No One Size Fits All) พร้อมปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานจากระดับล่างขึ้นมาสู่ระดับบน (Bottom Up) โดยเริ่มจากโรงเรียนที่มีอาการย่ำแย่ เหมือนคนไข้ที่อยู่ในห้อง ICU จำนวน 3,000 โรงเรียน หรือ 3,000 เตียง จากโรงเรียนที่เข้าข่ายทั้งหมดกว่า 10,000 แห่ง
นโยบายการพัฒนาโรงเรียน ICU เป็นนโยบายที่ยึดนักเรียนและโรงเรียนเป็นตัวตั้ง โดยให้โรงเรียนวินิจฉัยปัญหาของโรงเรียนเองว่าอยู่ที่ใด จากนั้นนำมาวิเคราะห์หาสาเหตุ พร้อมเสนอแผนการรักษาตัวเองมายังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งโรงเรียนจะต้องดึงผู้ปกครอง ท้องถิ่น และชุมชน เข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาและพัฒนาโรงเรียนร่วมกัน ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ต้องพิจารณาให้การสนับสนุนงบประมาณตามแผนงานโครงการที่โรงเรียนเสนอมา หากโรงเรียนใดสามารถออกจากสถานะคนไข้ ICU ได้ ผู้บริหารโรงเรียนต้องได้รับรางวัลหรือได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม ซึ่งจะมีการแก้ไขปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้เอื้ออำนวยต่อไป
ย้ำด้วยว่า โครงการนี้ถือเป็นนโยบายที่มีความชัดเจนแล้ว เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเป็นการแก้ปัญหาจากระดับล่างหรือระดับโรงเรียนอย่างแท้จริง  โดยกระทรวงศึกษาธิการจะเกลี่ยงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการนี้ก่อน สำหรับโครงการอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ จะคงไว้เท่าที่จำเป็นเพื่อให้ทำงานได้ เพราะต้องการทุ่มงบประมาณทั้งหมดลงไปสนับสนุนโรงเรียนที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและขาดแคลนจริง ๆ
นอกจากโครงการโรงเรียน ICU จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของประเทศแล้ว ยังสอดคล้องกับนโยบายการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก “โครงการโรงเรียนดีใกล้บ้าน” ของอดีต รมว.ศึกษาธิการ (พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ) กล่าวคือเมื่อโรงเรียนได้วินิจฉัยสาเหตุของปัญหาแล้ว อาจเสนอแนวทางให้ยุบรวมโรงเรียนก็เป็นได้ เพราะหากอยู่เพียงลำพังโรงเรียนเดียวอาจไม่รอด จึงต้องย้ายนักเรียนไปเรียนรวมในโรงเรียนที่มีความพร้อมมากกว่า ซึ่งแนวทางแก้ปัญหานี้จะเกิดจากโรงเรียนเสนอแผนงานโครงการขึ้นมาเอง เรียกได้ว่าเกิดขึ้นจากความต้องการของโรงเรียนอย่างแท้

ที่มา ; เว็บ  สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ

 คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้   
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา   

-คลากรการศึกษา  ที่ 
ติวสอบดอทคอม "

ครม.เห็นชอบ MOU ด้านการศึกษากับฮ่องกง และแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ศธ.

อ่านชัด-อ่านครบ กด ดูเวอร์ชั่นสำหรับเว็บ (ด้านล่าง)

เรื่องใหม่น่าสนใจ  (ทั้งหมด ที่ )


(เนื้อหา-ข้อสอบ 1,000 ชุุด หมื่นข้อ ภาค กข


40 วิชาเอก) ที่ ห้องสอบด้านขวา หรือ 


เว็บฟรีข้อสอบ 1,000 ชุด ที่ ติวสอบดอทคอม คลิ๊ก www.tuewsob.com 

-นายกรัฐมนตรีพบเพื่อนครู + การศึกษาไทยศตวรรษ 21 นี่

-กำหนดการสอบครูผู้ช่วย ครั้งที่ 1 ปี 2559

            -คู่มือ 4 ชุด นโยบาย บริบริหาร ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้


 คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้   
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา   

ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 524/2559ครม.เห็นชอบ MOU ด้านการศึกษากับฮ่องกง
และแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ศธ.

ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2559 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ คือ อนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษากับรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 6 คน
● อนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาดังกล่าว
สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือดังกล่าว เป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการไทยและฮ่องกง ครอบคลุมการให้ทุนการศึกษา การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านการศึกษา การแลกเปลี่ยนนักวิชาการ ครู ผู้เชี่ยวชาญ นักศึกษา และบุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างเสริมขอบข่ายความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ทั้งในภาคส่วนของการศึกษาขั้นพื้นฐาน การอุดมศึกษา การอาชีวศึกษา และการศึกษาในด้านวิชาชีพ
โดยบันทึกความเข้าใจมีผลบังคับใช้ 5 ปี นับจากวันที่ลงนาม และมีผลบังคับใช้ต่อเนื่องออกไปโดยอัตโนมัติในระยะเวลาที่เท่ากัน เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแจ้งวัตถุประสงค์ในการยกเลิกบันทึกความเข้าใจให้อีกฝ่ายทราบเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าอย่างน้อย 60 วัน ผ่านช่องทางที่เป็นทางการ

● เห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 6 คน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 6 คน ดังนี้
1. พลโท โกศล ประทุมชาติ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
2. หม่อมหลวงปริยดา ดิศกุล ดำรงตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
3. พลเอก สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ [รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์)]
4. นางรัตนา ศรีเหรัญ ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ [รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์)]
5. นายไพโรจน์ อนุรัตน์ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ [รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล)]
6. ว่าที่ร้อยตรี ไชยวุฒิ วุฑฒิรักษ์  ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  [รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล)]
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2559 เป็นต้นไป 

ที่มา ; เว็บ  

 คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้   
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา   

-คลากรการศึกษา  ที่ 
ติวสอบดอทคอม "

ในหลวงร.10 โปรดเกล้าฯ “น้ำตกเจ็ดสาวน้อย” เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 129

อ่านชัด-อ่านครบ กด ดูเวอร์ชั่นสำหรับเว็บ (ด้านล่าง)

เรื่องใหม่น่าสนใจ  (ทั้งหมด ที่ )


(เนื้อหา-ข้อสอบ 1,000 ชุุด หมื่นข้อ ภาค กข


40 วิชาเอก) ที่ ห้องสอบด้านขวา หรือ 


เว็บฟรีข้อสอบ 1,000 ชุด ที่ ติวสอบดอทคอม คลิ๊ก www.tuewsob.com 

-นายกรัฐมนตรีพบเพื่อนครู + การศึกษาไทยศตวรรษ 21 นี่

-กำหนดการสอบครูผู้ช่วย ครั้งที่ 1 ปี 2559

            -คู่มือ 4 ชุด นโยบาย บริบริหาร ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้


 คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้   
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา   

พระราชกฤษฎีกากำหนดให้พื้นที่ป่าทับกวาง-ป่ามวกเหล็ก-ป่าดงพญาเย็น เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกในรัชกาลที่ 10

ในหลวงร.10 โปรดเกล้าฯ “น้ำตกเจ็ดสาวน้อย” เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 129

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 133 ตอนที่ 309 ก วันที่ 26 ธ.ค. 2559 เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา กำหนดบริเวณที่ดินป่าทับกวางและป่ามวกเหล็ก แปลงที่ 1 และป่าดงพญาเย็น ในท้องที่ต.คำพราน ต.แสลงพัน อ.วังม่วง ต.หนองย่างเสือ ต.มวกเหล็ก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี และ ต.พญาเย็น อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2559
พระราชกฤษฎีกา กำหนดบริเวณที่ดินป่าทับกวาง - ป่ามวกเหล็ก - ป่าดงพญาเย็น ในพื้นที่จังหวัดสระบุรี - นครราชสีมา เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งใหม่แห่งแรกในรัชกาลที่ 10 เพื่อเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติสำคัญของไทย
วันนี้ (27 ธ.ค.59) เว็บไซด์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าทับกวางและป่ามวกเหล็ก แปลงที่ 1 และป่าดงพญาเย็น เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2559 โดยมีใจความว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรกำหนดบริเวณที่ดินป่าทับกวางและป่ามวกเหล็ก แปลงที่ 1 และป่าดงพญาเย็นในท้องที่ ตำบลคำพราน ตำบลแสลงพัน อำเภอวังม่วง ตำบลหนองย่างเสือ ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 22 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 และมาตรา 6 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ด้าน นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า อุทยานแห่งชาติแห่งใหม่แห่งแรกในรัชกาลที่ 10 นี้มีชื่อว่า “อุทยานแห่งชาติเจ็ดสาวน้อย” พื้นที่ 26,238 ไร่ เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 129 ของประเทศไทย ที่มีความโดดเด่นทางด้านทรัพยากรทางธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และแหล่งท่องเที่ยวน้ำตกเจ็ดสาวน้อย สำหรับเหตุผลที่ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เนื่องจากพื้นที่มีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและมีค่า เช่น เป็นแหล่งพันธุ์ไม้หายาก สัตว์ป่านานาชนิด ตลอดจนทิวทัศน์ที่สวยงามยิ่ง สมควรกำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติ เพื่อสงวนไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิมมิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์ด้านการศึกษาธรรมชาติ
อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวอีกว่า สำหรับป่าดงพญาเย็น องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประกาศเป็นมรดกโลก ในการประชุมที่เมืองเดอร์บาน ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2548 เนื่องจากเป็นแหล่งรวมพันธุ์พืช 800 ชนิด และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 112 ชนิด รวมถึงนก และสัตว์เลื้อยคลานจำนวนมากที่ใกล้สูญพันธุ์

ที่มา ; เว็บ  http://nwnt.prd.go.th/centerweb/news/NewsDetail?NT01_NewsID=WNEVN5912270020001

 คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้   
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา   

-คลากรการศึกษา  ที่ 
ติวสอบดอทคอม "

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2559

รมว.ศธ."นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์" ให้นโยบาย ผอ.สพท.ทั่วประเทศ

อ่านชัด-อ่านครบ กด ดูเวอร์ชั่นสำหรับเว็บ (ด้านล่าง)

เรื่องใหม่น่าสนใจ  (ทั้งหมด ที่ )


(เนื้อหา-ข้อสอบ 1,000 ชุุด หมื่นข้อ ภาค กข


40 วิชาเอก) ที่ ห้องสอบด้านขวา หรือ 


เว็บฟรีข้อสอบ 1,000 ชุด ที่ ติวสอบดอทคอม คลิ๊ก www.tuewsob.com 

-นายกรัฐมนตรีพบเพื่อนครู + การศึกษาไทยศตวรรษ 21 นี่

-กำหนดการสอบครูผู้ช่วย ครั้งที่ 1 ปี 2559

            -คู่มือ 4 ชุด นโยบาย บริบริหาร ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้


 คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้   
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา   

ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 523/2559
รมว.ศธ."นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์" ให้นโยบาย ผอ.สพท.ทั่วประเทศ

นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายในการประชุมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วประเทศ เมื่อวันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2559 ณ โรงแรมปรินซ์ พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ โดยมีนายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานนายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 225 เขตทั่วประเทศ เข้าร่วมรับฟัง
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การพบปะกับ ผอ.สพป./สพม.ทั้ง 225 เขตในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่ได้มอบนโยบายเพื่อให้นำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม โดยมีนโยบายหลักที่เป็นประเด็นสำคัญ ดังนี้
● น้อมนำแนวพระราชดำริ และพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ใส่เกล้าฯ และมอบเป็นนโยบาย เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติแก่หน่วยงานในสังกัด
จากการที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่รัฐมนตรีนั้น พระองค์ทรงขอให้ผู้บริหารทุกคนสืบสานพระราชปณิธานด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาให้เกิดเป็นรูปธรรม เพราะพระราชปณิธานของพระองค์ท่านถือเป็นพรอันสูงสุด รวมทั้งพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะน้อมนำแนวพระราชดำริ และพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในหลวงรัชกาลที่ 10 ใส่เกล้าฯ และมอบเป็นนโยบาย เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติแก่หน่วยงานในสังกัดต่อไป
สำหรับพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีใจความสำคัญว่า "การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียนใน 2 ด้าน คือ 1) ส่งเสริมให้นักเรียนมีทัศนคติที่ถูกต้อง 2) การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานชีวิตหรืออุปนิสัยที่มั่นคงเข้มแข็ง อาทิ การสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม (Character Education)"
ในส่วนของการสืบสานพระราชปณิธานด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชนั้น ตลอดระยะเวลา 70 ปี ที่พระองค์ทรงเฝ้ามองการศึกษาไทย พระองค์ได้ทรงมีแนวพระราชกระแสฯ ที่ได้ทรงพระราชทานในวโรกาสต่าง ๆ เกี่ยวกับนักเรียน ครู และการศึกษา และเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ต่อการพัฒนาการศึกษาไทย ดังนี้
1) นักเรียน
  • ครูต้องสอนให้เด็กนักเรียนมีน้ำใจ เช่น คนเรียนเก่งช่วยติวเพื่อนที่เรียนล้าหลัง มิใช่สอนให้เด็กคิดแต่จะแข่งขัน (Compete) กับเพื่อน เพื่อให้คนเก่งได้ลำดับดี ๆ เช่น สอบได้ที่หนึ่งของชั้น แต่ต้องให้เด็กแข่งขันกับตนเอง” (11 มิ.ย.2555)
  • ครูไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางเทคโนโลยีมาก แต่ต้องมุ่งปลูกฝังความดีให้นักเรียนชั้นต้น  ต้องอบรมบ่มนิสัยให้เป็นพลเมืองดี เด็กโตก็ต้องทำเช่นกัน” (6 มิ.ย.2555)
  • เราต้องฝึกหัดให้นักเรียนรู้จักทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะมากขึ้น จะได้มีความสามัคคีรู้จักดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ความรู้และประสบการณ์แก่กัน” (5 ก.ค.2555)
  • ทำเป็นตัวอย่างให้นักเรียนเป็นคนดี นักเรียนรักครู ครูรักนักเรียน” (9 ก.ค.2555)
ในบรรดานโยบายปฏิรูปการศึกษาทั้งหมด มีนโยบายเพียงส่วนน้อยที่จะคิดถึงเด็ก กระทรวงศึกษาธิการจึงให้ความสำคัญกับเด็กนักเรียนอย่างมาก โดยต้องการเห็นเด็กตื่นขึ้นมาอยากไปโรงเรียน สนุกกับการเรียน เด็กอยากเรียน และครูอยากสอน อีกทั้งมุ่งเน้นให้เด็กทำกิจกรรมกลุ่มหรือเพื่อนช่วยเพื่อน (Peer Tutoring) ตัวอย่างเช่น นโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ที่สามารถให้มุ่งเน้นการทำกิจกรรมกลุ่มได้ หรือหากครูสอนไม่ทันในชั่วโมงเรียน สามารถนำเนื้อหามาสอนเสริมในช่วงลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ได้ แต่ขอให้ปรับรูปแบบการเรียนการสอน ไม่ใช่นั่งอยู่แต่ในห้องเรียน โดยต้องกระตุ้นให้เด็กกระตือรือร้นที่จะเรียน (Active Learn) และครูกระตือรือร้นที่จะสอน (Active Teach)
2) ครู
  • เรื่องครูมีความสำคัญไม่น้อยกว่านักเรียน ปัญหาหนึ่ง คือ การขาดครู เพราะจำนวนไม่พอและครูย้ายบ่อย ดังนั้น ก่อนคัดเลือกเด็กที่จะพัฒนาต้องพัฒนาครูก่อน ให้พร้อมที่จะสอนเด็กให้ได้ผลตามที่ต้องการ จึงจะต้องคัดเลือกครูและพัฒนาครู ต้องตั้งฐานะในสังคมของครูให้เหมาะสม และปลูกจิตสำนึกโดยใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง วิธีการคือ การให้ทุนและอบรม กล่าวคือ ต้องมีความรู้ทางวิชาการในสาขาที่เหมาะสมที่จะสอน ต้องอบรมวิธีการสอนให้มีประสิทธิภาพ มีความเป็นครูที่แท้จริง คือ มีความรักความเมตตาต่อเด็ก ควรเป็นครูท้องที่เพื่อจะได้มีความผูกพันและคิดที่จะพัฒนาท้องถิ่นที่เกิดของตน ไม่คิดย้ายไปย้ายมา” (11 มิ.ย.2555)
  • ต้องปรับปรุงครู...ครูจะอายุ 40-50 ปี ก็ต้องเรียนใหม่ ต้องปฏิวัติครูอย่างจริงจัง” (6 มิ.ย.2555)
  • ปัญหาปัจจุบันคือ ครูมุ่งเขียนงานวิทยานิพนธ์ เขียนตำราส่งผู้บริหารเพื่อให้ได้ตำแหน่งและเงินเดือนสูงขึ้น แล้วบางทีก็ย้ายไปที่ใหม่ ส่วนครูที่มุ่งการสอนหนังสือกลับไม่ได้อะไรตอบแทน  ระบบไม่ยุติธรรม เราต้องเปลี่ยนระเบียบตรงจุดนี้ การสอนหนังสือต้องถือว่าเป็นความดีความชอบ หากคนใดสอนดี ซึ่งส่วนมากคือมีคุณภาพและปริมาณ ต้องมี reward” (5 ก.ค.2555)
  • ครูบางส่วนเวลาสอนนักเรียนจะสอนไม่หมดแต่เก็บไว้บางส่วน หากนักเรียนต้องการรู้ทั้งหมดวิชา ก็ต้องเสียเงินไปสมัครเรียนพิเศษกับครูท่านนั้น จะเป็นการสอนในโรงเรียนหรือส่วนตัวก็ตาม” (5 ก.ค.2555)
กระทรวงศึกษาธิการตระหนักถึงความสำคัญของครู นอกจากจะดูแลเรื่องกฎระเบียบต่าง ๆ แล้ว ผู้บริหารต้องคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ครูย้ายบ่อย เพราะจากงานวิจัยพบว่าการย้ายของครูเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำร้ายเด็กนักเรียนดังนั้น สพฐ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (สำนักงาน กคศ.) ต้องเข้ามาดูแลเรื่องนี้ด้วย
นอกจากนี้ จะมีการปรับหลักเกณฑ์และวิธีการในการเลื่อนวิทยฐานะของครู เนื่องจากที่ผ่านมามีครูที่สอนดีและอยู่กับเด็ก แต่ไม่ได้รับผลตอบแทนเพราะไม่ได้ทำผลงานทางวิชาการ โดยโรงเรียนจะใช้เกณฑ์การทำวิทยานิพนธ์หรือทำวิจัยแบบเดียวกับมหาวิทยาลัยไม่ได้ เพราะบริบทของมหาวิทยาลัยกับโรงเรียนมีความแตกต่างกัน ดังนั้น การปรับปรุงหลักเกณฑ์ใหม่นี้จะให้ความสำคัญกับปริมาณการสอนของครู กล่าวคือ ครูที่สอนมากควรได้รับการเลื่อนวิทยฐานะ ไม่ใช้หลักเกณฑ์การเลื่อนวิทยฐานะจากการทำผลงานเหมือนวิทยานิพนธ์ที่ทำให้เกิดกรณีจ้างคนอื่นทำ อีกทั้งครูที่ขยันสอนควรได้รับรางวัลด้วยการประเมินเชิงคุณภาพจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็ก และการประเมินเชิงปริมาณคือ การนับจำนวนชั่วโมงสอนของครู ซึ่งครูอาจจะสอนเพิ่ม สอนเสริม หรือไปช่วยสอนในวิชาอื่นก็ได้ แต่ผู้ที่ได้รับวิทยฐานะไปแล้ว ก็ไม่ต้องกังวล เพราะจะไม่ยกเลิกวิทยฐานะ เพียงแต่ปรับหลักเกณฑ์ให้ถูกต้องตามที่ควรจะเป็น นั่นคือ "คนสอนดี สอนมีคุณภาพ ควรได้รับรางวัล แต่หากคนที่สอนดีได้รับวิทยาฐานะแล้ว กลับไม่ขยันสอนหนังสือเช่นเดิม ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร"

● การดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี
นอกจากการน้อมนำแนวพระราชกระแสฯ ด้านการศึกษา และพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ใส่เกล้าฯ และเป็นนโยบายด้านการศึกษาแล้ว กระทรวงศึกษาธิการจะดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ภายใต้วิสัยทัศน์ ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯ
โดยมียุทธศาสตร์ด้านการศึกษาที่จะดำเนินการ 6 ด้าน คือ 1) ความมั่นคง 2) การสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3) การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ 4) การสร้างโอกาสความเสมอภาคและการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม 5) การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 6) การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ในเรื่อง ความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องสำคัญ ประเทศชาติจะมั่นคงได้ต้องสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกระดับความสามารถด้านภาษาอังกฤษให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ซึ่งการสร้างความสามารถทางการแข่งขันนั้นต้องมีพื้นฐานมาจาก การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะเริ่มตั้งแต่เด็กก่อนวัยเรียน และเมื่อมีการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์แล้วอาจจะทำให้เกิด ความเหลื่อมล้ำ ระหว่างคนเก่งและคนไม่เก่ง ทำให้ต้องคำนึงถึงการลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศด้วย และเมื่อมนุษย์เติบโตขึ้นการเติบโตนั้นอาจกระทบกับ สิ่งแวดล้อม เราจึงต้องคำนึงถึงการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งในส่วนนี้กระทรวงศึกษาธิการมีหลากหลายโครงการที่สำคัญ อาทิ โครงการเศรษฐกิจพอเพียง นโยบายโรงเรียนคุณธรรม เป็นต้น และสุดท้ายคือ การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการในลักษณะของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีทุกท่านมีภารกิจและหน่วยงานที่รับผิดชอบ สอดคล้องตามยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี โดยคำนึงถึงความถนัด ดังนี้
  •  นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ รับผิดชอบงานในภารกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างความสามารถในการแข่งขัน, ยุทธศาสตร์ 3 การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ และยุทธศาสตร์ 4 การสร้างโอกาสความเสมอภาคและการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
  • พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ รับผิดชอบงานในภารกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 1 ความมั่นคง
  • ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการ รับผิดชอบงานในภารกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 5 การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยุทธศาสตร์ที่ 6 การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
จากนี้ไปแนวทางการดำเนินโครงการด้านต่าง ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการจะอยู่ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) และเหนือสิ่งอื่นใด คือ ทุกโครงการต้องเน้นความโปร่งใส และ Anti-Corruption

● ศธ.ยุคนี้จะโปร่งใสที่สุดในประวัติศาสตร์ และ Anti-Corruption
  • “…ท่านต้องห้ามไม่ให้มีการทุจริตขึ้น แล้วท่านจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดซีอีโอที่มีประสิทธิภาพ ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่ง แช่งให้มีอันเป็น พูดอย่างนี้หยาบคาย แต่ว่าขอให้มีอันเป็นไปถ้าไม่ทุจริต สุจริต และมีความตั้งใจในธรรม ขอให้ต่ออายุได้ถึงร้อยปี หรือถ้าอายุมากแล้วก็แข็งแรง ประเทศไทยจะรอดพ้นอันตรายอย่างมาก พระราชดำรัสโอวาทพระราชทานแด่คณะผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการ (8 ต.ค. 2546)
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การคอร์รัปชัน (Corruption) มีมานานแล้ว แต่กระทรวงศึกษาธิการในยุคนี้จะเน้นเรื่องความโปร่งใส และการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน (Anti-Corruption) ซึ่งจะเป็นยุคที่กระทรวงศึกษาธิการมีความโปร่งใสที่สุดในประวัติศาสตร์ จะไม่มีใต้โต๊ะ หลังโต๊ะ หลังบ้าน ตามน้ำใด ๆ ทั้งสิ้น และยืนยันว่าจะไม่มีการนำชื่อหรือทีมงานของรัฐมนตรีทั้งสามท่านไปแอบอ้างเพื่อขอรับผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น หากพบว่ามีใครแอบอ้างก็ขอให้ส่งข้อมูลมาที่กระทรวงศึกษาธิการได้ทันที
สิ่งที่สำคัญอีกประการ คือ กระทรวงศึกษาธิการต้องการสร้างเด็กให้โตขึ้นมา เกลียดการโกง หรือเติบโตขึ้นมากับความไม่โกง โดยให้ยึดหลัก โตให้กลัว เล็กให้เกลียด กล่าวคือ ปลูกฝังให้ผู้ใหญ่กลัวความผิดจากการโกง และให้เด็กเล็กเกลียดการโกง จะได้ไม่กระทำการสิ่งใดที่เป็นการทุจริต

● เตรียมพัฒนาโรงเรียน ICU ทั่วประเทศ ตามแนวทาง School Improvement Project
ในระยะเวลาการทำงานที่เหลือตาม Roadmap ของรัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการจะเน้นการปฏิรูปห้องเรียนและพร้อมทำงานที่เป็น "รูปธรรม" อย่างแท้จริง โดยโครงการที่สำคัญคือ จะให้ สพฐ. คัดเลือกโรงเรียนที่มีสภาพแย่ที่สุดหรือตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ที่เป็น ICU ในทุกภูมิภาคและทุกเขตพื้นที่การศึกษา โดยจะต้องไม่ใช่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการโรงเรียนสานพลังประชารัฐกว่า 7,000 แห่ง เพราะโรงเรียนเหล่านั้นได้รับการสนับสนุนแล้ว ทั้งนี้ เพื่อต้องการให้โรงเรียน ICU เหล่านี้ได้รับความช่วยเหลือเร่งด่วนในด้านต่าง ๆ ตามที่โรงเรียนเหล่านั้นขาดแคลน อีกทั้งนโยบายนี้จะทำให้รู้ว่าโรงเรียน ICU นั้นตั้งอยู่ในจังหวัดอะไรบ้าง เพื่อที่ กศจ. จะได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านการศึกษาได้อย่างตรงจุด
สำหรับการคัดเลือกโรงเรียน ICU นั้น ในจำนวนโรงเรียนกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศ พบว่าโรงเรียน 10,000 แห่ง เป็นห้องเรียนที่ดีอยู่แล้ว เช่น เป็นโรงเรียนระดับ World Class, โรงเรียนประชารัฐ เป็นต้น โรงเรียนอีก 10,000 แห่ง เป็นโรงเรียนที่มีสภาพแวดล้อมและคุณภาพการศึกษาอยู่ในระดับกลาง ส่วนโรงเรียนที่เหลืออีก 10,000 แห่ง เป็นโรงเรียน ICU และอยู่ในสภาพที่แย่ เช่น ครูไม่พอ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ เด็กติดยาเสพติด เด็กออกกลางคัน มีปัญหาด้าน IT เป็นต้น หากไม่ดูแลโรงเรียน ICU เหล่านี้ การศึกษาชาติจะตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ
ในเบื้องต้นจะทำการคัดเลือกโรงเรียน ICU จำนวน 3,000 แห่ง โดยจะพิจารณาโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการด้วยความสมัครใจก่อน โดย สพฐ. ต้องร่วมพิจารณาคัดเลือกโรงเรียน ICU ด้วยในกรณีที่โรงเรียนนั้นมีสภาพที่เข้าข่ายโรงเรียน ICU แต่ไม่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้จะเปรียบเสมือนกับการมีโรงพยาบาลที่มีเตียง ICU จำนวน 3,000 เตียง โดย สพฐ. จะทำหน้าที่เสมือนเจ้าของโรงพยาบาล
เมื่อได้โรงเรียน ICU แล้ว ผู้อำนวยการสถานศึกษาและครูในโรงเรียนต้องร่วมกันวินิจฉัยปัญหาของโรงเรียน จากนั้นจัดทำแผนการรักษาจากทุกภาคส่วน ซึ่งผู้บริหาร สพฐ. ต้องร่วมกันพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาโรงเรียน ICU ด้วย เมื่อมีแผนแล้วจะระดมแก้ปัญหาภายใน 1 ภาคเรียน หากโรงเรียนใดได้รับการพัฒนาจนพ้นจากโรงเรียน ICU แล้วก็สามารถออกจากเตียง ICU ได้ โดยผู้อำนวยการสถานศึกษาที่สามารถนำโรงเรียนออกจากเตียง ICU ได้ จะได้รับการเลื่อนขั้นตามความดีความชอบอย่างเหมาะสม และถือเป็นเกณฑ์ใหม่ในการพิจารณาความก้าวหน้าในสายงานอีกอันหนึ่งด้วย
ที่ผ่านมาเราไม่สามารถแก้ปัญหาด้านการศึกษาได้ เพราะเรานำหลักเกณฑ์เดียวมาใช้กับโรงเรียนทุกแห่ง (One Size Fits All) รวมทั้งผู้บริหารไม่ได้ลงไปดูอย่างจริงจัง และในกรณีของโรงเรียน ICU จะได้รับความร่วมมือจากชุมชนในการแก้ปัญหาด้วย ซึ่งนโยบายนี้ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ข้อที่ 4 การสร้างโอกาสความเสมอภาคและการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างแท้จริง เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่โรงเรียนขนาดเล็กที่ยังคงมีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษากับโรงเรียนในเมือง ถึงเวลาแล้วที่จะหันมาให้ความสนใจกับคนที่ยากจน โดยการลงพื้นที่สำรวจปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อทำการสอบถาม พูดคุย เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึก และจะเป็นข้อมูลพื้นฐานของการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก โดยไม่เกิดการต่อต้านจากชุมชนด้วย เพราะเราสามารถระบุปัญหาของโรงเรียนเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนว่าทำไมต้องทำการยุบรวม
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า กระทรวงศึกษาธิการพยายามทำให้นโยบายต่าง ๆ เป็นรูปธรรมชัดเจน และขอให้ทุกคนรู้หน้าที่ตนเอง ตื่นเช้าขึ้นมาให้คิดว่ามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง สำหรับคนที่ดีอยู่แล้วเราจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่เราต้องการดูแลคนที่มีปัญหาจริง ๆ ทั้งยังขอยืนยันว่าจะขอเป็นรัฐมนตรีที่มีอำนาจมากที่สุดคนสุดท้าย เพราะจะเน้นการกระจายอำนาจไปยังพื้นที่ให้มากที่สุด และในนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาโรงเรียน ICU นี้ จะเป็นแนวทางเดียวกับการแก้ไขปัญหาสถานศึกษาของอาชีวศึกษาด้วย โดยเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้เข้าร่วมรับฟังนโยบายในครั้งนี้เช่นกันด้วย

ที่มา ; เว็บ  สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ

 คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้   
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา   

-คลากรการศึกษา  ที่ 
ติวสอบดอทคอม "

พัฒนาความรู้ครูผู้ช่วย 4 ภาค

พัฒนาความรู้ครูผู้ช่วย 4 ภาค
พัฒนาความรู้ครูผู้ช่วย 4 ภาค

ห้องสนทนา บน facebook

ห้องสนทนา บน facebook
ห้องสนทนาติวสอบดอทคอม

ข้อสอบออนไลน์ "ติวสอบดอทคอม" ชุดใหม่

คู่มือเตรียมสอบผู้บริหาร ภาค ก ข ค

แจ้งย้ายเว็บไปที่ www.tuewsob.com

คู่มือเตรียมสอบผู้บริหาร ภาค ก ข ค (ปรับปรุงใหม่)

รวม เล่ม + แผ่นพับ + ชีตช่วยจำ + DVD เนื้อหา + เสียงบรรยาย + EMS = 800 บาท
สนใจ คู่มือ ภาค ก ข ค ผู้บริหาร คลิ๊กเลย

สั่งจอง... โอนเงินเข้าชื่อบัญชี นายนิกร เพ็งลี ธนาคารกรุงไทย สาขาจอหอ บัญชีเลขที่ 341-1-38912-5 โอนเงินแล้วกรุณาโทรแจ้ง
0872494141 หรือ 0839660030

คู่มือ เตรียมสอบผู้บริหาร

คู่มือ เตรียมสอบผู้บริหาร
คู่มือ เตรียมสอบผู้บริหาร

ติวสอบออนไลน์ บน facebook

ติวสอบออนไลน์ บน facebook
ติวสอบออนไลน์ บน facebook

คลังหนังสือ ติวสอบดอทคอม

คลังหนังสือ ติวสอบดอทคอม
คลังหนังสือ ติวสอบดอทคอม

ติวสอบดอทคอม

ติวสอบดอทคอม
ติวสอบดอทคอม