โปรแกรมติวสอบครูผู้ช่วย ปี 2556
โดย "ติวสอบดอทคอม"
ร้อยเอ็ด-มหาสารคาม-สกลนคร-สุรา ษฎณ์ธานี-อุดรธานี-ศรีสะเกษ-สระ แก้ว-บุรีรัมย์-นครปฐม-อุบลราชธ านี-เชียงใหม่-เชียงราย-พิษณุโล ก-สงขลา-สุราษฎร์ธานี-นครศรีธรร มราช-ขอนแก่น-นครราชสีมา-หนองคา ย-ปทุมธานี-สุรินทร์-นครราชสีมา
สมัครติว/ เข้าห้องสอบออนไลน์ฟรี ได้ที่ "ติวสอบดอทคอม" หรือ
(แจ้งยืนยัน)
จุด 2 จ.มหาสารคาม เสาร์ 9 - อาทิตย์ 10 กุมภาพันธ์ 2556
ณ โรงแรมวสุ
จุด 3 จ.สกลนคร เสาร์ 16 - อาทิตย์ 17 กุมภาพันธ์ 2556
ณ โรงแรมอิมพีเลียล
จุด 4 จ.ชัยภูมิ เสาร์ 23 - อาทิตย์ 24 กุมภาพันธ์ 2556
ณ โรงแรมชัยภูมิปาร์ค
จุด 5 จ.อุดรธานี เสาร์ 2 - อาทิตย์ 3 มีนาคม 2556
ณ โรงแรมต้นคูณ
จุด 6 จ.ศรีสะเกษ เสาร์ 9 - อาทิตย์ 10 มีนาคม 2556
ณ โรงแรมบุญศิริบูติกโฮเต็ล
จุด 7 จ.สระแก้ว เสาร์ 16 - อาทิตย์ 17 มีนาคม 2556
ณ โรงแรมจันทรา
จุด 8 จ.บุรีรัมย์ เสาร์ 23 - อาทิตย์ 24 มีนาคม 2556
ณ โรงแรมเทพนคร
จุด 9 จ.นครปฐม เสาร์ 30 - อาทิตย์ 31 มีนาคม 2556
ณ โรงแรมเวล
จุด 10 จ.อุบลราชธานี อังคาร 2 - พุธ 3 เมษายน 2556
ณ โรงแรมปทุมรัตน์
จุด 11 จ.เชียงใหม่ เสาร์ 6 - อาทิตย์ 7 เมษายน 2556
ณ โรงแรมฮอลิเดย์การ์เด้นท์
จุด 12 จ.เชียงราย จันทร์ 8 - อังคาร 9 เมษายน 2556
ณ โรงแรมนิ่มซี่เส็ง
จุด 13 จ.พิษณุโลก พุธ 10 - พฤหัสบดี 11 เมษายน 2556
ณ โรงแรมไพลิน
จุด 14 จ.สงขลา อังคาร 16 - พุธ 17 เมษายน 2556
ณ โรงแรมหาดใหญ่เซ็นทรัลโฮเต็ล
จุด 15 จ.สุราษฎร์ธานี พฤหัสบดี 18 - ศุกร์ 19 เมษายน 2556
ณ โรงแรมบรรจงบุรี
จุด 16 จ.นครศรีธรรมราช เสาร์ 20 - อาทิตย์ 21 เมษายน 2556 ณ โรงแรมทักษิณ
จุด 17 จ.ขอนแก่น อังคาร 23 - 24 เมษายน 2556
ณ โรงแรมแก่นนครโฮเต็ล
จุด 18 จ.นครราชสีมา เสาร์ 27 - อาทิตย์ 28 เมษายน 2556
ณ โรงแรมโคราชโฮเต็ล
จุด 19 จ.หนองคาย อังคาร 30 - พุธ 31 เมษายน 2556
ณ เรือนขวัญแก้วรีสอร์ทอแนสปา
จุด 20 จ.ปทุมธานี เสาร์ 4 - อาทิตย์ 5 พฤษภาคม 2556
ณ โรงแรมแมนฮัตตัน (คลองหลวง)
จุด 21 จ.สุรินทร์ อังคาร 7 - พุธ 8 พฤษภาคม 2556
ณ โรงแรมเพชรเกษม
จุด 22 จ.นครราชสีมา เสาร์ 11 - อาทิตย์ 12 พฤษภาคม 2556 ณ โรงแรมโคราชโฮเต็ล
สมัครติว/ เข้าห้องสอบออนไลน์ฟรี ได้ที่ "ติวสอบดอทคอม" หรือ
"ติวสอบดอทคอม"
พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระนโรดม สีหนุ
หลังจากที่สื่อสำนักข่าวทั่วโลกรายงานข่าวการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ในกรุงปักกิ่งด้วยอาการพระหทัยวาย ขณะมีพระชนมายุ 89 พรรษา เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2555 ที่ผ่านมา สร้างความโศกเศร้าให้แก่ชาวกัมพูชาทั่วประเทศอย่างยิ่ง เนื่องจากการสูญเสียกษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชน ผู้ซึ่งนำพากัมพูชาให้เป็นอิสระจากการตกเป็นอาณานิคม และยังเป็นที่จดจำในฐานะที่พระองค์ได้นำพากัมพูชาผ่านพ้นช่วงวิกฤติทางการเมืองหลังเป็นเอกราชช่วง พ.ศ. 2493 – 2503 (ค.ศ. 1950-1960) มาได้
และพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในวันนี้ (4 กุมภาพันธ์) นับว่าเป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยในวันนี้ก็มีพระราชอาคันตุกะและแขกสำคัญจากต่างชาติร่วมพิธีจำนวนมาก อาทิ เจ้าชายอากิฮิโตะแห่งญี่ปุ่น, นายกรัฐมนตรีฌอง-มาร์ก เอโรต์ ของฝรั่งเศส, เหงียน ตัน หยุง นายกรัฐมนตรีเวียดนาม, นายทองสิงห์ ทำมะวง นายกรัฐมนตรีลาว และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ตลอดจนผู้แทนจากประเทศบรูไน เมียนมาร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ญี่ปุ่น และจีน
ขณะเดียวกันประชาชนจำนวนมากก็หลั่งไหลทยอยมาแสดงความเคารพและอาลัยรักครั้งสุดท้าย ต่อพระศพของพระบาทสมเด็จพระนโรดมสีหนุ อดีตกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของกัมพูชา โดยชาวกัมพูชาส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในความโศกเศร้า โดยบางราย กล่าวว่า ต้องการมาร่วมสวดมนต์เป็นครั้งสุดท้าย ขอให้พระองค์ทรงเสด็จสู่สวรรคาลัยเพราะซึ้งใจในพระมหากรุณาธิคุณและความเสียสละที่อดีตกษัตริย์พระนโรดมสีหนุทำเพื่อประเทศชาติ
พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
สำหรับพิธีถวายพระเพลิงส่งเสด็จอดีตกษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวกัมพูชานั้น รัฐบาลกัมพูชาจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติตามธรรมเนียมราชประเพณี และเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ เวลา 07.00 น. แล้ว โดยมีปืนใหญ่ยิงสลุต 101 นัด จากนั้นขบวนแห่พระบรมศพบนราชรถสีทองได้เคลื่อนจากพระบรมมหาราชวัง วนรอบพระบรมมหาราชวัง แล้วเคลื่อนอย่างช้า ๆ ไปตามท้องถนนสู่ทุ่งพระเมรุ โดยเจ้าหน้าที่กัมพูชาคาดว่ามีประชาชนนับล้านคนเฝ้าถวายความอาลัยตลอดระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร ผู้คนจำนวนมากในชุดสีขาวพากันคุกเข่าพนมมือสวดมนต์ขณะพระบรมโกศเคลื่อนผ่านหน้า จากนั้นขบวนอัญเชิญพระบรมศพมายังพลับพลาถวายพระเพลิงที่มีพสกนิกรทุกหมู่เหล่าเข้าร่วมถวายสักการะ และไว้อาลัยอย่างเนืองแน่น
สำหรับธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนพิธีกรรมต่าง ๆ ในพระราชพิธีศพของราชสำนักกัมพูชา เรียกได้ว่ามีความคล้ายคลึงกับของไทยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นกระบวนแห่ที่ประกอบด้วยข้าราชสำนักที่สวมเครื่องแต่งกายแบบโบราณ หรือแม้แต่ราชรถที่ใช้เข้ากระบวนแห่ ซึ่งประดิษฐ์เป็นรูปหงส์ สัตว์ในปกรณัมฮินดู ขณะที่องค์พระบรมโกศที่บรรจุพระบรมศพ จะแตกต่างกับของไทยตรงที่เป็นโลงศพยาวสี่เหลี่ยมผืนผ้า แทนที่โกศแบบโถยอดที่มีลักษณะกลมเป็นทรงสูง
ส่วนธรรมเนียมปลีกย่อยอื่น ๆ ในพระราชพิธีพระบรมศพของอดีตกษัตริย์กัมพูชา ก็คล้ายคลึงกับธรรมเนียมไทยโบราณ ตรงที่มีการแห่พระบรมศพรอบเมือง ก่อนนำขึ้นประดิษฐาน ณ พลับพลาถวายพระเพลิง โดยผู้เข้าร่วมพิธีจะแต่งกายด้วยชุดขาว ซึ่งเป็นสีไว้ทุกข์ตามธรรมเนียมโบราณของประเทศในสุวรรณภูมิ ขณะที่ปัจจุบันไทยใช้สีดำเป็นสีไว้ทุกข์ตามธรรมเนียมตะวันตก นอกจากนี้ ยังมีชาวกัมพูชาจำนวนมาก ทั้งข้าราชสำนักและประชาชนทั่วไป โกนศีรษะไว้ทุกข์ทั้งหญิงและชาย ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ไทยเราเลิกปฏิบัติมานับตั้งแต่การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทั้งนี้ สำหรับพระราชพิธีพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระนโรดมสีหนุในครั้งนี้ ที่รัฐบาลกัมพูชาต้องการจัดให้ยิ่งใหญ่อลังการที่สุด นอกจากเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่กษัตริย์ผู้ล่วงลับ ยังถือเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวกัมพูชาได้สัมผัสถึงพิธีกรรมอันงดงามของพระราชพิธีพระบรมศพตามโบราณราชประเพณี ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวกัมพูชาที่อายุน้อยกว่า 50 ปีไม่เคยพบเห็น เนื่องจากพระราชพิธีพระบรมศพกษัตริย์กัมพูชาครั้งสุดท้ายนั้น มีขึ้นตั้งแต่เมื่อ 52 ปีที่แล้ว และในวันนี้ (4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556) กัมพูชาจะเริ่มพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระวรราชบิดาและอดีตกษัตริย์ในเวลา 16.00 น. วันนี้ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับเวลาเดียวกันในไทย
หลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิง จะมีพระราชพิธีเก็บพระอัฐิต่อในวันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ โดยพระสรีรางคารบางส่วนจะถูกอัญเชิญไปลอย ณ จุดบรรจบกันของแม่น้ำโขง โตนเลสาบ และแม่น้ำบาสัก ส่วนพระสรีรางคารที่เหลือจะถูกอัญเชิญไปยังพระบรมมหาราชวังในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ เพื่อเก็บไว้ในพระบรมโกศ
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ระหว่าง พ.ศ. 2484-2498 และ พ.ศ. 2536-2547 ทรงได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยว่า "พระกรุณา พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ราชหริวงษ์ อุภโตสุชาติ วิสุทธิวงษ์ อัคคมหาบุรุษรัตน์ นิกโรดม ธัม มิกมหาราชาธิราช บรมนาถ บรมบพิตร พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี" และทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ขณะมีพระชนมพรรษา 82 พรรษา ปัจจุบันทรงดำรงพระราชอิสริยยศ "พระกรุณา พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระมหาวีรกษัตริย์ พระวรราชบิดา เอกราช บูรณภาพดินแดน และความเป็นเอกภาพแห่งชาติเขมร"
พระบาทสมเด็จพระนโรดมสีหนุทรงขึ้นสู่อำนาจหลังได้รับเลือกจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ให้เป็นกษัตริย์หุ่นเชิดสืบต่อจากพระราชปิตุลา คือ กษัตริย์สีโสวัฒน์มณีวงศ์ ในปี 2484 ขณะทรงมีพระชนมายุเพียง 18 พรรษา ทว่าหลังจากนั้นไม่นานพระองค์ก็ทรงพยายามผลักดันเพื่อปลดแอกจากปารีส และทรงดำเนินการสำเร็จใน พ.ศ. 2496
ปลายปี 2503 (ค.ศ. 1960) หลังจากสละราชสมบัติมาเกือบ 10 ปี เพื่อเข้ามาสร้างสมอิทธิพลทางการเมืองโดยตรง สมเด็จพระนโรดมสีหนุยังคงไม่สามารถหยุดยั้งประเทศจากการถลำเข้าสู่สงครามเวียดนาม และ "ทุ่งสังหาร" ภายใต้การปกครองของเขมรแดงในปี 2513 (ค.ศ. 1970) ที่มีประชาชนเสียชีวิตอย่างน้อย 1.8 ล้านคน ในช่วงปฏิวัติลัทธิเหมาอิสต์สุดโต่งของพอลพต เช่นเดียวกับครอบครัวส่วนใหญ่ในกัมพูชา พระองค์ไม่สามารถรอดพ้นโศกนาฏกรรมจากความเหี้ยมโหดของพอลพต โดยทรงเสียพระโอรสและพระธิดารวม 5 องค์จากที่ทรงมีทั้งสิ้น 14 พระองค์
และใน พ.ศ. 2513 สมเด็จพระนโรดมสีหนุ ถูกรัฐประหารยึดอำนาจโดยนายพลลอน นอล ที่ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา ซึ่งต้องการขัดขวางลัทธิคอมมิวนิสต์ในกัมพูชาและเวียดนามระหว่างเสด็จเยือนมอสโก และต่อมา พ.ศ. 2516 สมเด็จพระนโรดมสีหนุก็ทรงทำข้อตกลงกับกลุ่มเขมรแดง เพื่อร่วมกันต่อต้านระบอบปกครองหุ่นเชิดของสหรัฐฯ
ภายหลังเขมรแดงได้ชัยชนะยึดครองประเทศได้ในปี พ.ศ. 2518 ซึ่งตามมาด้วยช่วงเวลาแห่งความโหดร้ายทารุณนาน 4 ปี ซึ่งทำให้ประชาชนเกือบ 1 ใน 4 เสียชีวิตจากการขาดอาหาร โรคภัยไข้เจ็บ การประหารชีวิตหรือทรมาน สมเด็จพระนโรดมสีหนุทรงมีฐานะไม่ผิดอะไรกับหุ่นเชิด และทรงถูกกักขังเป็นนักโทษภายในพระราชวัง
เมื่อเวียดนามบุกกัมพูชาและโค่นล้มระบอบปกครองเขมรแดงในปี พ.ศ. 2522 สมเด็จพระนโรดมสีหนุซึ่งใกล้ชิดกับผู้นำปฏิวัติของจีน คือ เหมาเจ๋อตง และโจวเอินไหล ก็ได้ทรงหนีไปยังแดนมังกรจากนั้นก็ทรงตัดสินพระทัยกลับมาร่วมมือกับพวกเขมรแดงทำสงครามกองโจรกับรัฐบาลของสมเด็จฮุนเซนที่เป็นหุ่นเชิดของฮานอย
อย่างไรก็ตาม ภายหลังสนธิสัญญาสันติภาพ แม้จะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยในช่วงต้นทศวรรษ 1990 (พ.ศ.2533) ทว่าสมเด็จฮุนเซนกลับมีอำนาจเพิ่มขึ้นทุกที ๆ และสมเด็จพระนโรดมสีหนุก็ทรงกลายเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจจำกัด ชะตากรรมของราชวงศ์รวมทั้งชะตากรรมของกัมพูชาตกอยู่ในมือสมเด็จฮุนเซน แทบจะสิ้นเชิง
สมเด็จนโรดมสีหนุทรงสละราชสมบัติอีกครั้งใน พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) และเสด็จพำนักในปักกิ่ง โดยเจ้าชายสีโสวัฒน์ ระบุว่า สาเหตุการสละราชสมบัติครั้งสุดท้ายก็เพื่อรักษาราชวงศ์และทำให้กัมพูชามีเสถียรภาพนั่นเอง
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระมหาวีรกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ทรงมีพระกระแสรับสั่งฝากฝังถึงพสกนิกรก่อนที่พระองค์จะเสด็จสวรรคต โดยขอให้จัดการถวายพระเพลิงพระศพของพระองค์ ตามพระราชสาส์นของพระมหาวีรกษัตริย์นโรดม สีหนุ ลงวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555 พระองค์ทรงฝากฝังไปยังพสกนิกรทั้งหมดเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตให้จัดการถวายพระเพลิงพระศพของพระองค์และประดิษฐานไว้ในพระวิหารพระแก้วมรกต พระบรมมหาราชวัง
โดยพระราชสาส์นของพระองค์ตรัสใน 3 ประเด็นสั้น ๆ ได้แก่
1. พระองค์ทรงระบุถึงการยกเลิกพระกระแสฝากฝังต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ที่พระองค์เคยประกาศว่า จะไม่ให้พสกนิกรถวายพระเพลิงพระศพของพระองค์
2. พระองค์ทรงฝากฝังว่า เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตต้องจัดพิธีถวายพระเพลิงพระศพของพระองค์ ณ ท้องสนามหลวงตามประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติของศาสนาเขมร
3. หลังจากถวายพระเพลิงพระศพแล้ว พระบรมอัฐิของพระองค์ต้องล้างทำความสะอาดและบรรจุไว้ในพระโกศที่ทำจากทองคำก็ได้ หรือพระโกศธรรมดาก็ได้ แล้วนำไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์คันธบุปผา ในพระวิหารพระแก้วมรกต พระบรมมหาราชวัง
kapook.com
"ติวสอบดอทคอม"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น