อ่านชัด-อ่านครบ กด ดูเวอร์ชั่นสำหรับเว็บ (ด้านล่าง)
เรื่องใหม่น่าสนใจ (ทั้งหมด ที่ )
(เนื้อหา-ข้อสอบ 1,000 ชุุด หมื่นข้อ ภาค กข
+ 40 วิชาเอก) ที่ ห้องสอบด้านขวา หรือ
เว็บฟรีข้อสอบ 1,000 ชุด ที่ ติวสอบดอทคอม คลิ๊ก www.tuewsob.com โดย อ.นิกร
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
วันนี้มาพบกันในบรรยากาศที่สบาย ๆ ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนได้เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันที่ 28ตุลาคม 2559 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 นั้น ปัจจุบัน สรุปมียอดรวมประชาชนเดินทางมาสักการะพระบรมศพฯ กว่า 11 ล้านคนแล้วนะครับ เป็นที่น่าปลื้มใจ
ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักถึงความอาลัยรัก ความศรัทธา และความจงรักภักดีของประชาชน ทุกหมู่เหล่า ที่มีต่อพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรนะครับ ก็ได้มุ่งมั่นเดินทางจากทุกสารทิศ เข้ามากราบถวายบังคมพระบรมศพ สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยทรงห่วงใยว่าประชาชนจะมีโอกาสกราบถวายบังคมพระบรมศพได้ไม่ทั่วถึง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ขยายเวลาการกราบถวายบังคมพระบรมศพ ออกไปจนถึงเวลา 24 นาฬิกา ของคืนวันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคมศกนี้ ซึ่งก็นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น อันหาที่สุดมิได้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ไม่เพียงแต่ทรงสถิตในดวงใจปวงชนชาวไทยทุกคนเท่านั้น แต่ยังทรงได้รับการถวายความยกย่องสรรเสริญ ในระดับนานาอารยประเทศอีกด้วย จากการที่ได้ทรงประกอบคุณงามความดี และดำเนินพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ เพื่อยกระดับความเป็นอยู่และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ จนเป็นที่ประจักษ์ ทั้งนี้ ในการประชุมสันติภาพนานาชาติ 2017 เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ณ สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีสนะครับ ได้มีการกำหนดหัวข้อ “การสร้างสังคมแห่งสันติภาพที่ยั่งยืน มรดกในพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช โดยผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก และผู้แทนถาวรประจำยูเนสโก จากประเทศต่าง ๆ ได้ขึ้นมากล่าวถวายราชสดุดี และแสดงความอาลัย เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติ แด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 อันนำความซาบซึ้งมาสู่ปวงชนชาวไทย ทั้งประเทศ อีกวาระหนึ่ง ภายหลังจากที่ องค์การสหประชาชาติ ได้เคยจัดวาระพิเศษ ถวายแด่ “พ่อหลวงของเรา” เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ปีที่ผ่านมา โดยนายบัน คีมุน เลขาธิการสหประชาชาติ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การสหประชาชาติ จากหลายประเทศ ได้กล่าวถ้อยคำแสดงความอาลัยด้วยตัวเองเช่นกัน สิ่งสำคัญ คือ ขณะนี้ทางองค์การยูเนสโก ได้อัญเชิญแนวปรัชญาของ “เศรษฐกิจพอเพียง” บรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาขององค์การสหประชาชาติ เพื่อให้ชาติสมาชิกได้นำไปประยุกต์ใช้ ในการกำหนดแผนพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทของประเทศตนเอง อันเป็นเครื่องยืนยันนะครับ ว่า “ศาสตร์พระราชา” นี้ เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและเป็นสากล เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของโลก ผมจึงอยากให้พวกเราทุกคนได้ภาคภูมิใจ และหวงแหน “มรดกพระราชทาน” นี้ รวมทั้งร่วมมือกันน้อมนำไปประยุกต์ใช้ ในการสร้างความ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ให้กับประเทศชาติ และประชาชนสืบไปด้วยนะครับ
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
รายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ในวันนี้ ผมขอเปิดตึก “ภักดีบดินทร์” ให้พี่น้องชาวไทยทุกคนได้ชมกัน โดยตึกหลังนี้ จะเป็นสัญลักษณ์แห่ง “ความจงรักภักดี” ของปวงชนชาวไทย ที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะนี้ เราอยู่ในห้องทองธารา ภายใต้โดมสีทองประดับด้วยภาพศิลปกรรมสื่อผสม จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ชื่อภาพ “มหานที แห่งบารมีพระทรงธรรม” ที่สื่อความหมาย ถึงหยาดหยดจากน้ำพระทัย ที่รวมเป็นมหาสมุทรแห่งความเมตตา หล่อเลี้ยงผืนแผ่นดินที่แตกระแหง ให้พลิกฟื้นสู่ความชุ่มชื้น อุดมสมบูรณ์ ด้วยรอยยิ้มของความสุขสงบ ร่มเย็น ของพวกเราทุกคน
วันนี้ผมมีเรื่องที่น่ายินดี มาเล่าให้พี่น้องประชาชนฟัง เกี่ยวกับการประกาศผลการจัดอันดับ ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ของสภาเศรษฐกิจโลก ซึ่งล่าสุดประเทศของเรา ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 32 จาก 137 ประเทศ ทั่วโลก หรือ “ดีขึ้น 2 อันดับ” จากปีที่แล้ว ทั้งนี้มีหลายประเด็นที่น่าสนใจผมขอยกตัวอย่าง ดังนี้
1. ในภาพรวม ประเทศไทยมีคะแนนดีขึ้นใน 8 ด้านหลัก และอีก 4 ด้านหลักมีคะแนนเท่าเดิม โดยไม่มีด้านหลักใด ที่คะแนนลดลงเลย ทั้งนี้ ในส่วนที่ดีขึ้น มีในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ประสิทธิภาพตลาดแรงงาน การอุดมศึกษาและการฝึกอบรม รวมทั้งนวัตกรรม ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” และการพัฒนาต่าง ๆ เพื่อรองรับยุคดิจิทัลของประเทศในอนาคตด้วย
2. ด้านเศรษฐกิจมหภาค ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 9 ของโลก ซึ่งเป็นด้านเดียว ที่เราอยู่ใน “10 อันดับแรก” ของโลก โดยมีปัจจัยส่งเสริมในหลายด้าน อาทิ การใช้จ่ายภาครัฐที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งมีกลไกในการปกป้องนักลงทุนที่ดีขึ้น ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมมากขึ้น ภาคเอกชนมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งมีการจดสิทธิบัตรเพิ่มขึ้น มีการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เช่น ตลาดทุนและสินเชื่อ ทำได้ง่ายขึ้น ความพร้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขยายตัวดีขึ้น อันเป็นผลมาจากโครงการ “เน็ตประชารัฐ” ที่ส่งเสริมให้มีการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของทุกภาคส่วน นอกจากนี้ ตลาดต่างประเทศ และการส่งออก สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นต้น
และ 3. ในนโยบายยกระดับการให้บริการของภาครัฐหลายมาตรการ โดยเฉพาะเรื่อง Ease of doing business ซึ่งมุ่งเน้นการลดระยะเวลาในการเริ่มก่อตั้งธุรกิจลงนั้น นับว่าเป็นปัจจัยแรก ๆ ที่บ่งชี้ให้เห็นถึงขีดความ สามารถในการแข่งขันของประเทศ ผลการดำเนินการที่ผ่านมา ส่งผลให้คะแนนในส่วนนี้ ปรับดีขึ้น และคาดว่าในปีต่อไป จะดีขึ้นได้อีก เนื่องจากรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดจำนวนวัน ในกระบวนการต่าง ๆ ลง “10 เท่า” คือ จาก 25 วันครึ่ง ให้เหลือเพียง 2 วันครึ่งนะครับ และเราต้องให้ความ สำคัญกับธุรกิจ SMEs Startups สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน รวมทั้งบริษัทประชารัฐรู้รักสามัคคี จำกัด ทั่วประเทศด้วย เพราะว่าเป็นกลไก เครื่องมือ ที่สำคัญในการยกระดับรายได้ของประเทศด้วยการส่งออก มีการผลิตนวัตกรรมสินค้า ที่จะแข่งขันกันได้ เป็นโอกาสให้ทางเลือกให้กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่เหล่านี้ จะต้องเชื่อมโยงกันให้ได้ แล้วก็จะต้องผลิตสินค้าที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น
โดยสรุปแล้ว ผลการจัดอันดับดังกล่าวนั้นก็เป็นมุมมองจากภายนอก ที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นศักยภาพและความท้าทายของเรา ในอนาคตในหลาย ๆ ด้าน ได้แก่
(1) คือความแข็งแกร่งและประสิทธิภาพของตลาดการเงิน
(2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง
(3) การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรในการสร้างนวัตกรรม
(4) การเพิ่มขนาดของตลาดภายในประเทศและลดการพึ่งพาการส่งออก
ทั้งนี้ ผมเห็นว่า เราจำเป็นนะครับ ที่จะต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไก “ประชารัฐ” ตั้งแต่ระดับชุมชน ไปจนถึงระดับชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงและเกื้อกูลกัน ในทุกๆ กิจกรรม นอกจากนั้นเราจำเป็นต้องดำเนินการอย่างมียุทธศาสตร์ เนื่องจากการลงทุนเพื่ออนาคตนั้น ต้องอาศัยการระดมทรัพยากรและเงินทุน รวมทั้งต้องอาศัยเวลาและความต่อเนื่อง ที่สำคัญคือความชัดเจนในการดำเนินนโยบายของภาครัฐที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทั้งภายในและภายนอกประเทศอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ หลายคนอาจไม่ทราบ หรือลืมไปแล้วว่าเป็นผลงานที่รัฐบาลนี้ ได้พยายามแก้ไข พยายามปรับปรุง และทำให้ดีขึ้นนะครับ เกิดขึ้นจนเป็นผลสัมฤทธิ์ จนได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ สำหรับในประเทศ เราก็ต้องเชื่อมั่นกันเอง ผมว่าอย่าไปแบ่งแยกว่าอันนี้เป็นนายทุน หรือเป็นการลงทุนจากต่างประเทศ ไม่คำนึงถึงคนที่มีรายได้น้อย ไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะทุกอย่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แล้วทุกคนเข้าไปอยู่ในวงจร หรือในห่วงโซ่กันให้มากขึ้น เพราะฉะนั้นกลไกสำคัญก็คือกลไกประชารัฐ เราต้องร่วมมือกันให้มากกว่าเดิม เพื่อจะเข้าให้ถึงกับคนทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ เราต้องเรียนรู้การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลกันตั้งแต่วันนี้ เริ่มจากโทรศัพท์ มือถือของท่านเอง เว็ปไซต์ที่เป็นประโยชน์ของรัฐบาล ส่วนราชการ ภาคเอกชน อื่น ๆ ด้วย ทุกกิจกรรมทุกแผนงานโครงการ จะต้องมีการบูรณาการกัน ไม่ใช่ทำโครงสร้างเชื่อมต่อเสร็จแล้ว ในเรื่องดิจิตอล เราก็ต้องมาเสียเวลาเรียนรู้กันใหม่ เราต้องเตรียมให้พร้อมกับการทำงานในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิตอลไปพร้อมกันด้วย เมื่อเสร็จแล้วเราก็จะใช้งานได้ทันที ไม่ต้องมาสอนมาเรียนกันใหม่
พี่น้องประชาชน ครับ
“ไทยแลนด์ 4.0” นั้น คือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ด้วยความรู้ ปัญญา และนวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และทำน้อยลง แต่ได้ผลสัมฤทธิ์มากขึ้น หรือรายได้มากขึ้นด้วย ก็มีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาประเทศ เพื่อจะให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน ก้าวหน้าทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ ทั้งนี้ นโยบายของรัฐบาล ในการเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศ ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและสารสนเทศ ได้แก่
(1) โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อขยายโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ประมาณ 75,000 แห่ง หรือ ทุกหมู่บ้าน โดยเรากำลังเร่งดำเนินการอยู่เกือบ 25,000 หมู่บ้าน และ
(2) โครงการระบบเคเบิลใต้น้ำ ระหว่างประเทศ ระหว่าง เอเชีย แอฟริกา ยุโรป ที่จะเพิ่มศักยภาพของวงจรสื่อสารระหว่างประเทศของไทย ลดต้นทุนในการเชื่อมต่อวงจรต่างประเทศลง เพิ่มโอกาสการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตสำหรับทุก ๆ คน รวมทั้งผู้มีรายได้น้อยด้วย เป็นช่องทางที่สำคัญที่สุด สำหรับผู้มีรายได้น้อย เข้าถึงได้ง่าย เข้าถึงได้เร็ว เราต้องพยายามเรียนรู้ ที่สำคัญคือจะส่งเสริมให้ไทยนั้นเป็น “ศูนย์กลางด้านดิจิทัล” ของภูมิภาคอาเซียนอีกเพราะเราเป็นแกนกลางของอาเซี่ยนอยู่แล้วทางภูมิศาสตร์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมได้กล่าวไปนั้น เป็นการลงทุนและภาพการพัฒนาในอนาคต แม้จะเป็นอนาคตที่ไม่นานนัก แต่ผมเห็นว่า “การพัฒนาตนเอง” ของเรานั้น เราไม่อาจชักช้าแม้วินาทีเดียว ดิจิตอลสามารถจะถึงกันได้ภายในไม่กี่วินาที เพราะฉะนั้นความคิดของเราก็ต้องปรับเปลี่ยนให้ทัน เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้วันนี้ เรียนรู้วิธีการพัฒนาตนเองให้ได้ผล ในทุกยุคทุกสมัย คือการปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ผมเคยพูดไปแล้วว่า หนังสือทุกเล่ม ตัวหนังสือหรือประโยคต่าง ๆ ในหนังสือนั้นมีชีวิตจิตใจ เมื่อจิตวิญญาณของผู้เขียน เพราะฉะนั้นคนอ่านก็สามารถที่จะติดตาม แล้วก็หาเหตุ หาผลไปได้ ซึ่งจะมีความรู้สึกที่ซาบซึ้ง ลึกซึ้ง มากว่าที่จะอ่นข้อความสั้น ๆ ง่าย ๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษาแล้วนั้น การเรียนหนังสือ จากตำราเรียน ก็อาจจะเพียงพอสำหรับการสอบ แต่ก็อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการทำงานในอนาคต อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ หลายเรื่องที่ไม่มีสอนในหลักสูตร เพราะสอนให้คิด เขาสอนให้สมองได้รู้จักการคิดเป็นกระบวนการ มีการคิดวิเคราะห์ ตามหลักการ ตามวิชาการในหนังสือ แต่การที่จะเอาทุกอย่างมาร้อยเรียงต่อกันนี่ สติปัญญา สมองของเรา จะต้องเป็นคนทำเอง เราจะต้องอาศัยการค้นคว้าหาความรู้รอบตัวด้วยตนเอง รวมไปถึงการฝึกปฏิบัติ ลงมือทำด้วยตนเองด้วย เราจะได้คิดไปด้วย ไม่ใช่บางทีก็เชื่อไปทั้งหมด ก็ไม่มีความคิดของตัวเอง ต้องหาเหตุหาผลของตัวเองไปด้วย เคยเรียนไปแล้ว ว่าทุกคนไม่ใช่เชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน หรือไม่เชื่อทุกอย่างที่ได้ยินก็ไม่ได้ ทั้งสองอย่างต้องใช้สติปัญญาของตัวเองในการไตร่ตรอง ในการใคร่ครวญ เพื่อจะหาสิ่งที่ถูกต้อง และนำมาใช้ นำมาปฏิบัติ เหมือนกับนโยบายของกระทรวงศึกษาเวลานี้ก็คือการ “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ของรัฐบาลในปัจจุบัน
สำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว นอกจากการสืบค้นข้อมูลผ่านโลกอินเตอร์เน็ตแล้ว ผมเห็นว่าสื่อสิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ก็ยังคงมีความจำเป็น และเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญ ผมเคยฝากไปแล้วว่า บรรดาสถานีโทรทัศน์ วิทยุต่าง ๆ นั้นควรจะสร้างขบวนการเรียนรู้ให้กับประชาชนไปด้วย นอกจากความบันเทิง เมื่อมีโอกาสทุกครั้ง อยากให้ทำแบบนั้น ซึ่งผมเองได้ติดตามอยู่บ้าง เปิดไปเจอตรงไหนที่มีสาระสำคัญผมก็จำไว้ แล้วศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม บางอย่างความคิดก็เกิดขึ้นดี ๆ หลายอย่าง นำไปสู่การบริหารราชการแผ่นดินได้ ผมดูตัวอย่างต่างประเทศบ้าง อ่านหนังสือ บทวิเคราะห์ต่าง ๆ เหล่านี้ เพราะมีองค์ความรู้ แล้วก็เป็นข้อมูลข่าวสารของทางราชการบ้าง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อันเป็นสาธารณะประโยชน์สำหรับทุกคน ถือว่าทุกคนเข้าถึงได้ง่าย แต่ทุกคนจะต้องอ่าน แล้วก็ไขว่คว้า หาเองจะได้ไม่ตกข่าว ที่สำคัญคือจะเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพราะว่ามีการอ้างอิง เนื่องจากมีกองบรรณาธิการ ต้องคอยดูแล ตรวจสอบความถูกต้องอยู่เสมอ ต้องมีจรรยาบรรณ ในการที่จะกำกับดูแลในเรื่องเหล่านี้ ก็อยากขอให้เจ้าของแหล่งความรู้ดังกล่าวได้มีการรักษามาตรฐาน รักษาจรรยาบรรณ ซึ่งเป็น “จุดแข็ง” ของตน ให้เป็นที่พึ่งของประชาชนตลอดไป
นอกจากนั้น การจัดนิทรรศการต่าง ๆ โดยเฉพาะงานในระดับนานาชาติ ผมอยากให้ทุกคนมีความสำคัญให้ความสำคัญกับในเรื่องเหล่านี้มากยิ่งขึ้น นอกจากงานจัดของมาขายบางครั้งมีงานที่สำคัญ ๆ หลายงานซึ่งเหมาะกับการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะเด็ก เยาวชนโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นงาน Digital Thailand Big Bang หรืองาน Thai Tech Expo ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปแล้ว ก็ได้ช่วยสะท้อนศักยภาพของประเทศแล้วก็ความพร้อมของธุรกิจไทยในการที่เราจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งเทคโนโลยีและดิจิทัลไปพร้อมกับนานาประเทศด้วย
สัปดาห์หน้า ก็จะมีงานนิทรรศการที่น่าสนใจ อาทิ
1. งาน Innovation Thailand Week 2017 ระหว่างวันที่ 5 ถึง 8 ตุลาคม นี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา นอกจากเป็นการจัดแสดงนวัตกรรม ในหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบัน การศึกษา สังคม ในทุกระดับแล้วก็ยังมีกิจกรรมส่งเสริมความรู้ เกี่ยวกับรูปแบบผลิตภัณฑ์ การออกแบบนวัตกรรมเชิงสังคม สตาร์ทอัพ แหล่งเงินทุนสนับสนุนนวัตกรรม การขอรับทุนพัฒนานวัตกรรม การส่งเสริมนวัตกรรมออกสู่ตลาด การทดสอบและมาตรฐานนวัตกรรมรวมถึงการเชื่อมโยงให้เกิดธุรกิจนวัตกรรม เป็นต้น
2. คืองานTalent Mobility Fair 2017 ในวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคมนี้ ณ ห้อง Ballroom Hall A ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งนอกจากจะมีการปาฐกถาพิเศษและการเสวนา ที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาคนและนวัตกรรม อันจะนำไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” แล้ว ยังมีการออกบูทของเครือข่าย กว่า 47 หน่วยงาน มีทั้งภาครัฐ เอกชน และ 20 มหาวิทยาลัย มีการจับคู่ เชื่อมโยงความช่วย เหลือด้านการวิจัย ให้กับนักวิจัยและทุนวิจัยภายในงานด้วย
ทั้งนี้ ผมอยากให้ผู้ที่สนใจ ทั้งนักเรียน นักศึกษา ประชาชน ได้ใช้เวลาว่างของตนเอง ถ้าเป็นนักเรียน นักศึกษาก็ในช่วงปิดเทอม ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น เปิดโลกให้กว้าง เป็นโลกที่เราต้องเรียนรู้นอกตำรา นอกห้องเรียน นอกหลักสูตร ท่านอาจจะพบประสบการณ์ใหม่ ๆ แล้วอาจจะค้นพบตนเอง หรือพบกับพรสวรรค์ในตัวเอง ซึ่งบางคนก็ยังไม่ทราบเลยว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในเรื่องอะไร ไปสนใจในเรื่องที่บางทีไม่ค่อยเป็นประโยชน์มากนัก เลยทำให้บดบังพรสวรรค์ของตัวเองออกไป จนมองไม่เห็น หลายคนอาจจะสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ จากการแสวงหาความรู้จากนิทรรศการเหล่านี้ ที่เปิดโอกาสให้มีการพบปะ พูดคุย ปรึกษาปัญหา และเชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง แล้วก็ปลายทาง คือ การผลิต การแปรรูป และการตลาด ที่ผมก็พูดอยู่เสมอ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในสามส่วนนี้แหละ ยังไงก็ออกนอกกรอบตรงนี้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ทำยังไงจะเข้าไปได้ ก็ต้องเปิดตา เปิดหูตัวเอง ศึกษา อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ ทุกช่องที่มีโอกาส มีประโยชน์ทุกช่อง อีกประการหนึ่งก็คือการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เราคงไม่ต้องไปคิดอะไรที่ยากจนเกินไป เพราะบางครั้งสลับซับซ้อน เราต้องเริ่มจากการวิจัยพัฒนา ที่กำหนดจากความต้องการ ประชาชนในเรื่องที่จะต้องแก้ไขปัญหาในชีวิต ในครอบครัวในการประกอบอาชีพ เพราะหลายคนที่ประสบปัญหาเดียวกันก็คือลูกค้าของท่านในอนาคต อันนี้พูดถึงว่าการที่จะใช้ดิจิตัล ในเรื่องของการวิจัยพัฒนา
ยกตัวอย่างเช่น แอพพลิเคชั่น U Lease ซึ่งผันตัวจากเด็กแว้นท์นะครับ โดยพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับจัดไฟแน้นท์ เช่าซื้อมอเตอร์ไซต์ออนไลน์ ที่จะช่วยแก้ปัญหาและตอบโจทย์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในวงจรธุรกิจดังกล่าวก็คือผู้ซื้อรถ ลูกค้า ผู้ขายรถ ร้านดีลเล่อร์ และผู้ให้สินเชื่อ บริษัทไฟแนนซ์ ซึ่งจุดประกายความคิด ก็เกิดจากประสบการณ์ทำงาน ประกอบความรู้ในห้องเรียนจนเป็นที่มาของอาชีพใหม่ แล้วก็ไม่กลับไปใช้ชีวิตของเด็กแว้นท์อีกต่อไป ก็ทราบว่านวัตกรรมนี้เข้ารอบ 10 ทีมสุดท้าย ในเวที Fintech Challenge 2017 ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ผมก็ได้จากการอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วนำมาเล่าในวันนี้ ก็ขอชื่นชม และขอให้เป็นตัวอย่างที่ดี สำหรับเด็กแว๊นที่ยังใช้ชีวิตที่เสี่ยงภัยและสูญเปล่า ให้ค้นหาตัวเองให้เจอ แล้วพัฒนาตนเองไปสู้เป้าหมายที่ตั้งใจไว้
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เครื่องสำอางจาก “สเต็มเซลล์ข้าวไทย” ที่สกัดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อข้าว มีสรรพคุณช่วยชะลอริ้วรอยและช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำออกจากผิว เป็นเจ้าแรกในโลก แสดงให้เห็นว่าข้าวไทย สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกมากมาย หลากหลายรูปแบบ ด้วยการวิจัย – การแปรรูปผลิตภัณฑ์ ท่านรู้หรือไม่ว่า น้ำมันรำข้าว ไขรำข้าว และแป้งข้าวเจ้า ก็สามารถนำมาเป็นส่วนผสมชั้นดีของลิปสติกข้าวไทย ซึ่งมีคุณสมบัติทั้งช่วยในการบำรุงและปกป้องแสงแดด โดย “ลิปสติกจากข้าว” ของไทย นับเป็นนวัตกรรม ที่ช่วยลด หรือทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศสำหรับการผลิตเครื่องสำอาง ลงได้เป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ ผมได้ติดตามข่าวสารจากงานประชุมนานาชาติข้าว “Thailand Rice Convention 2017” เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับทราบถึงศักยภาพประเทศไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวเพื่อสุขภาพและความงาม ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพตามวิถีธรรมชาติ ทำให้เครื่องสำอางจากธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์เวชสำอางธรรมชาติ มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ยังมีนวัตกรรมข้าวไทยในอุตสาหกรรม เพื่อสุขภาพและความงามอีกหลายรายการ ที่ได้ตรารับรอง USDA Organic ไปแล้วและได้รับลิขสิทธิ์เทคโนโลยีข้าวแล้ว
ทั้งนี้ ผมขอเป็นกำลังใจให้นักวิจัยและขอกระตุ้นให้นักเรียน นักศึกษา ที่จะเติบโตขึ้นมาในวันข้างหน้า ได้ช่วยกันเร่งหาความรู้ใส่ตัว ทั้งในตำรา จากนิทรรศการต่าง ๆ สำหรับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ นวัตกรรมดี ๆ เพื่อยกระดับชีวิตของคนไทย ไปพร้อม ๆ กับที่รัฐบาลพยายามจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ต้องใช้ควบคู่กันไปมุมมองของต่างประเทศ และเราจะต้องเอามุมมองจากต่างประเทศเหล่านั้นมาคิดว่าเราจะได้ประโยชน์จากที่เขามองอย่างไรถ้าเราไม่พัฒนาตัวเอง ต่อให้เขามองดียังไงก็ตาม เราก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมา อย่าไปวาดหวังคอยแต่เพียงอย่างเดียว
ที่กล่าวมาแล้วนั้น เราจะต้องไม่ปล่อยให้สิ่งประดิษฐ์ใดใดนั้นสูญเปล่า เรามีการคิดค้นมาตั้งหลายหมื่น เป็นแสนชิ้น แต่ถูกผลิตน้อยมาก เพราะฉะนั้นก็เหมือน “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” ก็ทำให้เกิดการผลิตไม่ได้ และใช้ได้ไม่มาก ไม่ทั่วถึง ราคาสูงมีความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ รายได้เราน้อย เราต้องมีการสานต่อ ขยายผล เพื่อจะนำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ให้ได้ เอาเรื่องที่ใช้มาก ๆ เอาเรื่องที่เกษตรกรต้องใช้ เอาเรื่องที่ผู้มีรายได้น้อยต้องใช้ ในชีวิตประจำวันเหล่านี้ ถ้าทำให้คุณภาพดีราคาถูกลง สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่น่าใช้ ทนทาน มีคุณภาพ มาตรฐาน ผมว่าขายดีหมด อันนี้ถือเป็นนวัตกรรมเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าต้องไปคิดเรื่องใหญ่โต เรื่องที่สลับซับซ้อน เครื่องจักร เครื่องยนต์ เหล่านี้อย่างเดียว อันนั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งในเรื่องของอนาคต คนปัจจุบันเขามีปัญหาเรื่องรายรับกับรายจ่ายไม่ตรงกัน เพราะต้องไปซื้อของราคาแพง ที่เราทำเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราไปคิดอะไรที่ทำเองได้ แล้วจะได้ซื้อของแพง ๆ ให้น้อยลง
ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งที่อยู่ในประเทศและอาศัยอยู่ต่างประเทศ โดยได้มีการร่วมกันประกอบพิธีวันที่ระลึกวันพระราชทาน ธงชาติไทย และเป็นวันครบรอบ 100 ปีของการประกาศให้ใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย โดยการเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา และร้องเพลงชาติไทยอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อวานนี้อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ ความผูกพัน ความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ โดยไม่แบ่งชนชั้น เชื้อชาติและศาสนา คนไทยทุกคนมีความรู้สึกร่วมกันถึงความรักชาติ ทุกครั้งที่เราได้เห็นการเชิญธงชาติไทยขึ้นสูงยอดเสาในทุกสนามการแข่งขันกีฬา หรือแม้กระทั่งปลายยอดเขาเอเวอเรสต์เทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของโลก ทั้งนี้ “ธงไตรรงค์” นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์แทนชาติไทยและคนไทยแล้ว ยังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ให้ทุกคนมีสำนึกในความเป็นชาติ “ทุกลมหายใจ” ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ร่วมแสดงความคิดเห็นต่อ 4 ข้อคำถามของผม ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งนับจนถึงวันนี้ มีจำนวนกว่า 1 ล้านคนแล้ว ผมถือว่าเป็นทุกความเห็นมีคุณค่ามาก และยิ่งใหญ่กว่าการทำโพลสำนักใด ๆ ที่ผ่านมา ที่อาจจะเก็บตัวอย่างเพียงไม่กี่พันคนจากประชากร 65 ล้านคน ผมยังให้คณะกรรมการทำต่อไป ขอเชิญชวนทุกคน ทุกภาคส่วน ทั้งพ่อค้าประชาชน พลเรือน ตำรวจ ทหาร ครอบครัว ได้ช่วยกันมาแสดงความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ให้มากขึ้น คือถ้ามีอะไรที่จะเสนอแนะ หรือมีข้อคิดเห็นประการใดสามารถเขียนเพิ่มเติมมาได้ นอกจากตอบคำถามที่ผมถามไปแล้ว ผมจะได้นำมาสู่การคิด วิเคราะห์ มาสู่การนำสู่การปฏิบัติ เพื่อจะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินนั้นเป็นผลดี และเป็นที่พึงพอใจของทุกคน ในเรื่องของการการกำหนดนโยบายต่าง ๆ ก็จะได้ตรงตามที่พี่น้องประชาชนปรารถนา
สำหรับสัปดาห์หน้า ผมมีกำหนดการเดินทางที่สำคัญไปปฏิบัติภารกิจ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ตามที่ได้รับเชิญไว้ล่วงหน้า ดังนั้นรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ครั้งต่อไป ก็จะมีการบันทึกเทปที่สหรัฐอเมริกา แล้วผมจะได้เล่าเรื่องราว สาระประโยชน์ จากการทำงาน ให้ทุกคนได้ฟัง ขอให้ติดตามชมด้วยในการไปต่างประเทศนั้น ผมได้สั่งการให้จัดช่างภาพ นักข่าว ได้ถ่ายภาพของบ้านเมืองของคนอื่นเขา ถนนหนทาง ตลาด บรรยากาศของเมืองเขา ให้พวกเราได้ดูด้วย จะได้คิดเปรียบเทียบกับบ้านเราว่าเราควรจะเป็นยังไง หลายอย่างถึงบอกว่าต้องอ่านหนังสือ หลายอย่างก็ต้องดูด้วยตาของตัวเอง หลายอย่างดูจากโทรทัศน์ก็ได้ สนใจประเทศอื่นเขาบ้าง ผมไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเหมือนเขา แต่เราเอาส่วนดี ๆ ของเขามาแล้วเอามาปรับปรุง ที่ดีอยู่มากพอสมควรแล้วให้ดียิ่งขึ้น ก็จะเป็นประเทศที่น่าอยู่น่าอาศัย น่าท่องเที่ยวอีกยาวนาน คนเขาจะได้ไม่เบื่อ วันนี้ก็มากันมากมาย วันหน้าผมก็อยากให้เขารักประเทศไทยมากันหลาย ๆ ครั้ง
วันนี้น่ายินดีที่กรุงเทพเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวเป็นอันดับ 1 แล้วประเทศไทยก็มีรายได้จากการท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่การท่องเที่ยวจำนวนมากนั้น จริง ๆ แล้วรัฐบาลได้แต่เพียงส่วนเดียวเท่านั้น เป็นเรื่องของภาษี เรื่องอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ แต่ในส่วนที่ได้จริง ๆ คือรายได้ที่ลงไปสู่ผู้ให้บริการในพื้นที่ วันนี้ผมเน้นไปถึงชุมชนด้วย การท่องเที่ยวทางการเกษตร การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือการท่องเที่ยวในพื้นที่หรือบรรยากาศสวยงาม หรือเป็นพื้นที่ที่เก่าแก่เชิงวัฒนธรรม เหล่านี้ต้องกระจายไปถึงข้างล่างให้ได้ในทุกจังหวัด
นอกจากนั้น ในเรื่องของการที่พูดถึงการทุจริตโครงการต่าง ๆ ก็ต้องไปตรวจสอบ ผมไม่ได้นิ่งนอนใจ คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า มีหรือไม่มีในขณะนี้ พูดไม่ได้ ต้องไปตรวจสอบหลายประเด็น เป็นปัญหาละเอียดเล็กน้อย บางครั้ง ก็ต้องไปดูโดยเฉพาะโครงการ 9101 ผมให้ไปตรวจสอบ เพราะมีประเด็นปลีกย่อยมากมายที่ผมเรียนไปอันหนึ่งแล้ว แต่โครงการนี้เป็นโครงการที่ประชาชนมีส่วนร่วมจริง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นโครงการในลักษณะใหม่ที่ลงไปว่าจะมีคนที่ยังไม่เข้าใจ บางคนที่อาจจะไม่ไว้วางใจ แต่ผมก็พยายามหรือยืนยันว่าจะพยายามปราบปรามการทุจริตให้มากที่สุด แต่ขอให้ไปดูรายละเอียดข้างล่างด้วย ไม่ใช่ฟังอะไรมาทางแล้วไปแชร์กันต่อไป ก็ให้เวลาเขาตรวจสอบบ้าง
ผมขอขอบคุณอีกครั้ง ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สำหรับเยาวชนก็ขอให้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ดูโทรทัศน์ อ่านโซเชียลมีเดียอะไรก็แล้วแต่ ลองอ่านแล้วก็คิด อันไหนไม่มีประโยชน์ก็ตัดทิ้งไปบ้าง บางทีก็ทำให้เราเสียสมาธิ ให้เราหาประสบการณ์นอกตำราเพิ่มเติม คิดว่าเราจะเอาที่โรงเรียนมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร อันนี้เป็นสิ่งที่ยาก นั่นคือความแตกต่าง ใครทำได้มากก็จะได้รับผลประโยชน์มาก ทำงานได้เก่งกว่าเขา ความคิดดีกว่าถ้าท่องอย่างเดียวไปสอบ สอบได้ที่หนึ่งแต่ทำงานไม่ได้ เพราะว่าใช้ตำราเหล่านั้นใช้วิชาการเหล่านั้นไปทำงานไม่เป็น ความคิดไม่ต่อเนื่อง วิเคราะห์ไม่เป็น ขบวนการไม่มี ผมขอฝากให้ลูกหลานทุกคนได้คิดตามด้วย
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
วันนี้มาพบกันในบรรยากาศที่สบาย ๆ ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนได้เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันที่ 28ตุลาคม 2559 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 นั้น ปัจจุบัน สรุปมียอดรวมประชาชนเดินทางมาสักการะพระบรมศพฯ กว่า 11 ล้านคนแล้วนะครับ เป็นที่น่าปลื้มใจ
ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักถึงความอาลัยรัก ความศรัทธา และความจงรักภักดีของประชาชน ทุกหมู่เหล่า ที่มีต่อพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรนะครับ ก็ได้มุ่งมั่นเดินทางจากทุกสารทิศ เข้ามากราบถวายบังคมพระบรมศพ สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยทรงห่วงใยว่าประชาชนจะมีโอกาสกราบถวายบังคมพระบรมศพได้ไม่ทั่วถึง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ขยายเวลาการกราบถวายบังคมพระบรมศพ ออกไปจนถึงเวลา 24 นาฬิกา ของคืนวันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคมศกนี้ ซึ่งก็นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น อันหาที่สุดมิได้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ไม่เพียงแต่ทรงสถิตในดวงใจปวงชนชาวไทยทุกคนเท่านั้น แต่ยังทรงได้รับการถวายความยกย่องสรรเสริญ ในระดับนานาอารยประเทศอีกด้วย จากการที่ได้ทรงประกอบคุณงามความดี และดำเนินพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ เพื่อยกระดับความเป็นอยู่และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ จนเป็นที่ประจักษ์ ทั้งนี้ ในการประชุมสันติภาพนานาชาติ 2017 เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ณ สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีสนะครับ ได้มีการกำหนดหัวข้อ “การสร้างสังคมแห่งสันติภาพที่ยั่งยืน มรดกในพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช โดยผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก และผู้แทนถาวรประจำยูเนสโก จากประเทศต่าง ๆ ได้ขึ้นมากล่าวถวายราชสดุดี และแสดงความอาลัย เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติ แด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 อันนำความซาบซึ้งมาสู่ปวงชนชาวไทย ทั้งประเทศ อีกวาระหนึ่ง ภายหลังจากที่ องค์การสหประชาชาติ ได้เคยจัดวาระพิเศษ ถวายแด่ “พ่อหลวงของเรา” เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ปีที่ผ่านมา โดยนายบัน คีมุน เลขาธิการสหประชาชาติ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การสหประชาชาติ จากหลายประเทศ ได้กล่าวถ้อยคำแสดงความอาลัยด้วยตัวเองเช่นกัน สิ่งสำคัญ คือ ขณะนี้ทางองค์การยูเนสโก ได้อัญเชิญแนวปรัชญาของ “เศรษฐกิจพอเพียง” บรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาขององค์การสหประชาชาติ เพื่อให้ชาติสมาชิกได้นำไปประยุกต์ใช้ ในการกำหนดแผนพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทของประเทศตนเอง อันเป็นเครื่องยืนยันนะครับ ว่า “ศาสตร์พระราชา” นี้ เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและเป็นสากล เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของโลก ผมจึงอยากให้พวกเราทุกคนได้ภาคภูมิใจ และหวงแหน “มรดกพระราชทาน” นี้ รวมทั้งร่วมมือกันน้อมนำไปประยุกต์ใช้ ในการสร้างความ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ให้กับประเทศชาติ และประชาชนสืบไปด้วยนะครับ
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
รายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ในวันนี้ ผมขอเปิดตึก “ภักดีบดินทร์” ให้พี่น้องชาวไทยทุกคนได้ชมกัน โดยตึกหลังนี้ จะเป็นสัญลักษณ์แห่ง “ความจงรักภักดี” ของปวงชนชาวไทย ที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะนี้ เราอยู่ในห้องทองธารา ภายใต้โดมสีทองประดับด้วยภาพศิลปกรรมสื่อผสม จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ชื่อภาพ “มหานที แห่งบารมีพระทรงธรรม” ที่สื่อความหมาย ถึงหยาดหยดจากน้ำพระทัย ที่รวมเป็นมหาสมุทรแห่งความเมตตา หล่อเลี้ยงผืนแผ่นดินที่แตกระแหง ให้พลิกฟื้นสู่ความชุ่มชื้น อุดมสมบูรณ์ ด้วยรอยยิ้มของความสุขสงบ ร่มเย็น ของพวกเราทุกคน
วันนี้ผมมีเรื่องที่น่ายินดี มาเล่าให้พี่น้องประชาชนฟัง เกี่ยวกับการประกาศผลการจัดอันดับ ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ของสภาเศรษฐกิจโลก ซึ่งล่าสุดประเทศของเรา ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 32 จาก 137 ประเทศ ทั่วโลก หรือ “ดีขึ้น 2 อันดับ” จากปีที่แล้ว ทั้งนี้มีหลายประเด็นที่น่าสนใจผมขอยกตัวอย่าง ดังนี้
1. ในภาพรวม ประเทศไทยมีคะแนนดีขึ้นใน 8 ด้านหลัก และอีก 4 ด้านหลักมีคะแนนเท่าเดิม โดยไม่มีด้านหลักใด ที่คะแนนลดลงเลย ทั้งนี้ ในส่วนที่ดีขึ้น มีในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ประสิทธิภาพตลาดแรงงาน การอุดมศึกษาและการฝึกอบรม รวมทั้งนวัตกรรม ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” และการพัฒนาต่าง ๆ เพื่อรองรับยุคดิจิทัลของประเทศในอนาคตด้วย
2. ด้านเศรษฐกิจมหภาค ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 9 ของโลก ซึ่งเป็นด้านเดียว ที่เราอยู่ใน “10 อันดับแรก” ของโลก โดยมีปัจจัยส่งเสริมในหลายด้าน อาทิ การใช้จ่ายภาครัฐที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งมีกลไกในการปกป้องนักลงทุนที่ดีขึ้น ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมมากขึ้น ภาคเอกชนมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งมีการจดสิทธิบัตรเพิ่มขึ้น มีการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เช่น ตลาดทุนและสินเชื่อ ทำได้ง่ายขึ้น ความพร้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขยายตัวดีขึ้น อันเป็นผลมาจากโครงการ “เน็ตประชารัฐ” ที่ส่งเสริมให้มีการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของทุกภาคส่วน นอกจากนี้ ตลาดต่างประเทศ และการส่งออก สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นต้น
และ 3. ในนโยบายยกระดับการให้บริการของภาครัฐหลายมาตรการ โดยเฉพาะเรื่อง Ease of doing business ซึ่งมุ่งเน้นการลดระยะเวลาในการเริ่มก่อตั้งธุรกิจลงนั้น นับว่าเป็นปัจจัยแรก ๆ ที่บ่งชี้ให้เห็นถึงขีดความ สามารถในการแข่งขันของประเทศ ผลการดำเนินการที่ผ่านมา ส่งผลให้คะแนนในส่วนนี้ ปรับดีขึ้น และคาดว่าในปีต่อไป จะดีขึ้นได้อีก เนื่องจากรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดจำนวนวัน ในกระบวนการต่าง ๆ ลง “10 เท่า” คือ จาก 25 วันครึ่ง ให้เหลือเพียง 2 วันครึ่งนะครับ และเราต้องให้ความ สำคัญกับธุรกิจ SMEs Startups สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน รวมทั้งบริษัทประชารัฐรู้รักสามัคคี จำกัด ทั่วประเทศด้วย เพราะว่าเป็นกลไก เครื่องมือ ที่สำคัญในการยกระดับรายได้ของประเทศด้วยการส่งออก มีการผลิตนวัตกรรมสินค้า ที่จะแข่งขันกันได้ เป็นโอกาสให้ทางเลือกให้กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่เหล่านี้ จะต้องเชื่อมโยงกันให้ได้ แล้วก็จะต้องผลิตสินค้าที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น
โดยสรุปแล้ว ผลการจัดอันดับดังกล่าวนั้นก็เป็นมุมมองจากภายนอก ที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นศักยภาพและความท้าทายของเรา ในอนาคตในหลาย ๆ ด้าน ได้แก่
(1) คือความแข็งแกร่งและประสิทธิภาพของตลาดการเงิน
(2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง
(3) การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรในการสร้างนวัตกรรม
(4) การเพิ่มขนาดของตลาดภายในประเทศและลดการพึ่งพาการส่งออก
ทั้งนี้ ผมเห็นว่า เราจำเป็นนะครับ ที่จะต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไก “ประชารัฐ” ตั้งแต่ระดับชุมชน ไปจนถึงระดับชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงและเกื้อกูลกัน ในทุกๆ กิจกรรม นอกจากนั้นเราจำเป็นต้องดำเนินการอย่างมียุทธศาสตร์ เนื่องจากการลงทุนเพื่ออนาคตนั้น ต้องอาศัยการระดมทรัพยากรและเงินทุน รวมทั้งต้องอาศัยเวลาและความต่อเนื่อง ที่สำคัญคือความชัดเจนในการดำเนินนโยบายของภาครัฐที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทั้งภายในและภายนอกประเทศอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ หลายคนอาจไม่ทราบ หรือลืมไปแล้วว่าเป็นผลงานที่รัฐบาลนี้ ได้พยายามแก้ไข พยายามปรับปรุง และทำให้ดีขึ้นนะครับ เกิดขึ้นจนเป็นผลสัมฤทธิ์ จนได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ สำหรับในประเทศ เราก็ต้องเชื่อมั่นกันเอง ผมว่าอย่าไปแบ่งแยกว่าอันนี้เป็นนายทุน หรือเป็นการลงทุนจากต่างประเทศ ไม่คำนึงถึงคนที่มีรายได้น้อย ไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะทุกอย่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แล้วทุกคนเข้าไปอยู่ในวงจร หรือในห่วงโซ่กันให้มากขึ้น เพราะฉะนั้นกลไกสำคัญก็คือกลไกประชารัฐ เราต้องร่วมมือกันให้มากกว่าเดิม เพื่อจะเข้าให้ถึงกับคนทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ เราต้องเรียนรู้การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลกันตั้งแต่วันนี้ เริ่มจากโทรศัพท์ มือถือของท่านเอง เว็ปไซต์ที่เป็นประโยชน์ของรัฐบาล ส่วนราชการ ภาคเอกชน อื่น ๆ ด้วย ทุกกิจกรรมทุกแผนงานโครงการ จะต้องมีการบูรณาการกัน ไม่ใช่ทำโครงสร้างเชื่อมต่อเสร็จแล้ว ในเรื่องดิจิตอล เราก็ต้องมาเสียเวลาเรียนรู้กันใหม่ เราต้องเตรียมให้พร้อมกับการทำงานในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิตอลไปพร้อมกันด้วย เมื่อเสร็จแล้วเราก็จะใช้งานได้ทันที ไม่ต้องมาสอนมาเรียนกันใหม่
พี่น้องประชาชน ครับ
“ไทยแลนด์ 4.0” นั้น คือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ด้วยความรู้ ปัญญา และนวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และทำน้อยลง แต่ได้ผลสัมฤทธิ์มากขึ้น หรือรายได้มากขึ้นด้วย ก็มีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาประเทศ เพื่อจะให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน ก้าวหน้าทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ ทั้งนี้ นโยบายของรัฐบาล ในการเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศ ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและสารสนเทศ ได้แก่
(1) โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อขยายโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ประมาณ 75,000 แห่ง หรือ ทุกหมู่บ้าน โดยเรากำลังเร่งดำเนินการอยู่เกือบ 25,000 หมู่บ้าน และ
(2) โครงการระบบเคเบิลใต้น้ำ ระหว่างประเทศ ระหว่าง เอเชีย แอฟริกา ยุโรป ที่จะเพิ่มศักยภาพของวงจรสื่อสารระหว่างประเทศของไทย ลดต้นทุนในการเชื่อมต่อวงจรต่างประเทศลง เพิ่มโอกาสการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตสำหรับทุก ๆ คน รวมทั้งผู้มีรายได้น้อยด้วย เป็นช่องทางที่สำคัญที่สุด สำหรับผู้มีรายได้น้อย เข้าถึงได้ง่าย เข้าถึงได้เร็ว เราต้องพยายามเรียนรู้ ที่สำคัญคือจะส่งเสริมให้ไทยนั้นเป็น “ศูนย์กลางด้านดิจิทัล” ของภูมิภาคอาเซียนอีกเพราะเราเป็นแกนกลางของอาเซี่ยนอยู่แล้วทางภูมิศาสตร์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมได้กล่าวไปนั้น เป็นการลงทุนและภาพการพัฒนาในอนาคต แม้จะเป็นอนาคตที่ไม่นานนัก แต่ผมเห็นว่า “การพัฒนาตนเอง” ของเรานั้น เราไม่อาจชักช้าแม้วินาทีเดียว ดิจิตอลสามารถจะถึงกันได้ภายในไม่กี่วินาที เพราะฉะนั้นความคิดของเราก็ต้องปรับเปลี่ยนให้ทัน เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้วันนี้ เรียนรู้วิธีการพัฒนาตนเองให้ได้ผล ในทุกยุคทุกสมัย คือการปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ผมเคยพูดไปแล้วว่า หนังสือทุกเล่ม ตัวหนังสือหรือประโยคต่าง ๆ ในหนังสือนั้นมีชีวิตจิตใจ เมื่อจิตวิญญาณของผู้เขียน เพราะฉะนั้นคนอ่านก็สามารถที่จะติดตาม แล้วก็หาเหตุ หาผลไปได้ ซึ่งจะมีความรู้สึกที่ซาบซึ้ง ลึกซึ้ง มากว่าที่จะอ่นข้อความสั้น ๆ ง่าย ๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษาแล้วนั้น การเรียนหนังสือ จากตำราเรียน ก็อาจจะเพียงพอสำหรับการสอบ แต่ก็อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการทำงานในอนาคต อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ หลายเรื่องที่ไม่มีสอนในหลักสูตร เพราะสอนให้คิด เขาสอนให้สมองได้รู้จักการคิดเป็นกระบวนการ มีการคิดวิเคราะห์ ตามหลักการ ตามวิชาการในหนังสือ แต่การที่จะเอาทุกอย่างมาร้อยเรียงต่อกันนี่ สติปัญญา สมองของเรา จะต้องเป็นคนทำเอง เราจะต้องอาศัยการค้นคว้าหาความรู้รอบตัวด้วยตนเอง รวมไปถึงการฝึกปฏิบัติ ลงมือทำด้วยตนเองด้วย เราจะได้คิดไปด้วย ไม่ใช่บางทีก็เชื่อไปทั้งหมด ก็ไม่มีความคิดของตัวเอง ต้องหาเหตุหาผลของตัวเองไปด้วย เคยเรียนไปแล้ว ว่าทุกคนไม่ใช่เชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน หรือไม่เชื่อทุกอย่างที่ได้ยินก็ไม่ได้ ทั้งสองอย่างต้องใช้สติปัญญาของตัวเองในการไตร่ตรอง ในการใคร่ครวญ เพื่อจะหาสิ่งที่ถูกต้อง และนำมาใช้ นำมาปฏิบัติ เหมือนกับนโยบายของกระทรวงศึกษาเวลานี้ก็คือการ “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ของรัฐบาลในปัจจุบัน
สำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว นอกจากการสืบค้นข้อมูลผ่านโลกอินเตอร์เน็ตแล้ว ผมเห็นว่าสื่อสิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ก็ยังคงมีความจำเป็น และเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญ ผมเคยฝากไปแล้วว่า บรรดาสถานีโทรทัศน์ วิทยุต่าง ๆ นั้นควรจะสร้างขบวนการเรียนรู้ให้กับประชาชนไปด้วย นอกจากความบันเทิง เมื่อมีโอกาสทุกครั้ง อยากให้ทำแบบนั้น ซึ่งผมเองได้ติดตามอยู่บ้าง เปิดไปเจอตรงไหนที่มีสาระสำคัญผมก็จำไว้ แล้วศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม บางอย่างความคิดก็เกิดขึ้นดี ๆ หลายอย่าง นำไปสู่การบริหารราชการแผ่นดินได้ ผมดูตัวอย่างต่างประเทศบ้าง อ่านหนังสือ บทวิเคราะห์ต่าง ๆ เหล่านี้ เพราะมีองค์ความรู้ แล้วก็เป็นข้อมูลข่าวสารของทางราชการบ้าง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อันเป็นสาธารณะประโยชน์สำหรับทุกคน ถือว่าทุกคนเข้าถึงได้ง่าย แต่ทุกคนจะต้องอ่าน แล้วก็ไขว่คว้า หาเองจะได้ไม่ตกข่าว ที่สำคัญคือจะเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพราะว่ามีการอ้างอิง เนื่องจากมีกองบรรณาธิการ ต้องคอยดูแล ตรวจสอบความถูกต้องอยู่เสมอ ต้องมีจรรยาบรรณ ในการที่จะกำกับดูแลในเรื่องเหล่านี้ ก็อยากขอให้เจ้าของแหล่งความรู้ดังกล่าวได้มีการรักษามาตรฐาน รักษาจรรยาบรรณ ซึ่งเป็น “จุดแข็ง” ของตน ให้เป็นที่พึ่งของประชาชนตลอดไป
นอกจากนั้น การจัดนิทรรศการต่าง ๆ โดยเฉพาะงานในระดับนานาชาติ ผมอยากให้ทุกคนมีความสำคัญให้ความสำคัญกับในเรื่องเหล่านี้มากยิ่งขึ้น นอกจากงานจัดของมาขายบางครั้งมีงานที่สำคัญ ๆ หลายงานซึ่งเหมาะกับการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะเด็ก เยาวชนโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นงาน Digital Thailand Big Bang หรืองาน Thai Tech Expo ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปแล้ว ก็ได้ช่วยสะท้อนศักยภาพของประเทศแล้วก็ความพร้อมของธุรกิจไทยในการที่เราจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งเทคโนโลยีและดิจิทัลไปพร้อมกับนานาประเทศด้วย
สัปดาห์หน้า ก็จะมีงานนิทรรศการที่น่าสนใจ อาทิ
1. งาน Innovation Thailand Week 2017 ระหว่างวันที่ 5 ถึง 8 ตุลาคม นี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา นอกจากเป็นการจัดแสดงนวัตกรรม ในหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบัน การศึกษา สังคม ในทุกระดับแล้วก็ยังมีกิจกรรมส่งเสริมความรู้ เกี่ยวกับรูปแบบผลิตภัณฑ์ การออกแบบนวัตกรรมเชิงสังคม สตาร์ทอัพ แหล่งเงินทุนสนับสนุนนวัตกรรม การขอรับทุนพัฒนานวัตกรรม การส่งเสริมนวัตกรรมออกสู่ตลาด การทดสอบและมาตรฐานนวัตกรรมรวมถึงการเชื่อมโยงให้เกิดธุรกิจนวัตกรรม เป็นต้น
2. คืองานTalent Mobility Fair 2017 ในวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคมนี้ ณ ห้อง Ballroom Hall A ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งนอกจากจะมีการปาฐกถาพิเศษและการเสวนา ที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาคนและนวัตกรรม อันจะนำไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” แล้ว ยังมีการออกบูทของเครือข่าย กว่า 47 หน่วยงาน มีทั้งภาครัฐ เอกชน และ 20 มหาวิทยาลัย มีการจับคู่ เชื่อมโยงความช่วย เหลือด้านการวิจัย ให้กับนักวิจัยและทุนวิจัยภายในงานด้วย
ทั้งนี้ ผมอยากให้ผู้ที่สนใจ ทั้งนักเรียน นักศึกษา ประชาชน ได้ใช้เวลาว่างของตนเอง ถ้าเป็นนักเรียน นักศึกษาก็ในช่วงปิดเทอม ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น เปิดโลกให้กว้าง เป็นโลกที่เราต้องเรียนรู้นอกตำรา นอกห้องเรียน นอกหลักสูตร ท่านอาจจะพบประสบการณ์ใหม่ ๆ แล้วอาจจะค้นพบตนเอง หรือพบกับพรสวรรค์ในตัวเอง ซึ่งบางคนก็ยังไม่ทราบเลยว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในเรื่องอะไร ไปสนใจในเรื่องที่บางทีไม่ค่อยเป็นประโยชน์มากนัก เลยทำให้บดบังพรสวรรค์ของตัวเองออกไป จนมองไม่เห็น หลายคนอาจจะสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ จากการแสวงหาความรู้จากนิทรรศการเหล่านี้ ที่เปิดโอกาสให้มีการพบปะ พูดคุย ปรึกษาปัญหา และเชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง แล้วก็ปลายทาง คือ การผลิต การแปรรูป และการตลาด ที่ผมก็พูดอยู่เสมอ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในสามส่วนนี้แหละ ยังไงก็ออกนอกกรอบตรงนี้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ทำยังไงจะเข้าไปได้ ก็ต้องเปิดตา เปิดหูตัวเอง ศึกษา อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ ทุกช่องที่มีโอกาส มีประโยชน์ทุกช่อง อีกประการหนึ่งก็คือการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เราคงไม่ต้องไปคิดอะไรที่ยากจนเกินไป เพราะบางครั้งสลับซับซ้อน เราต้องเริ่มจากการวิจัยพัฒนา ที่กำหนดจากความต้องการ ประชาชนในเรื่องที่จะต้องแก้ไขปัญหาในชีวิต ในครอบครัวในการประกอบอาชีพ เพราะหลายคนที่ประสบปัญหาเดียวกันก็คือลูกค้าของท่านในอนาคต อันนี้พูดถึงว่าการที่จะใช้ดิจิตัล ในเรื่องของการวิจัยพัฒนา
ยกตัวอย่างเช่น แอพพลิเคชั่น U Lease ซึ่งผันตัวจากเด็กแว้นท์นะครับ โดยพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับจัดไฟแน้นท์ เช่าซื้อมอเตอร์ไซต์ออนไลน์ ที่จะช่วยแก้ปัญหาและตอบโจทย์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในวงจรธุรกิจดังกล่าวก็คือผู้ซื้อรถ ลูกค้า ผู้ขายรถ ร้านดีลเล่อร์ และผู้ให้สินเชื่อ บริษัทไฟแนนซ์ ซึ่งจุดประกายความคิด ก็เกิดจากประสบการณ์ทำงาน ประกอบความรู้ในห้องเรียนจนเป็นที่มาของอาชีพใหม่ แล้วก็ไม่กลับไปใช้ชีวิตของเด็กแว้นท์อีกต่อไป ก็ทราบว่านวัตกรรมนี้เข้ารอบ 10 ทีมสุดท้าย ในเวที Fintech Challenge 2017 ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ผมก็ได้จากการอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วนำมาเล่าในวันนี้ ก็ขอชื่นชม และขอให้เป็นตัวอย่างที่ดี สำหรับเด็กแว๊นที่ยังใช้ชีวิตที่เสี่ยงภัยและสูญเปล่า ให้ค้นหาตัวเองให้เจอ แล้วพัฒนาตนเองไปสู้เป้าหมายที่ตั้งใจไว้
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เครื่องสำอางจาก “สเต็มเซลล์ข้าวไทย” ที่สกัดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อข้าว มีสรรพคุณช่วยชะลอริ้วรอยและช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำออกจากผิว เป็นเจ้าแรกในโลก แสดงให้เห็นว่าข้าวไทย สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกมากมาย หลากหลายรูปแบบ ด้วยการวิจัย – การแปรรูปผลิตภัณฑ์ ท่านรู้หรือไม่ว่า น้ำมันรำข้าว ไขรำข้าว และแป้งข้าวเจ้า ก็สามารถนำมาเป็นส่วนผสมชั้นดีของลิปสติกข้าวไทย ซึ่งมีคุณสมบัติทั้งช่วยในการบำรุงและปกป้องแสงแดด โดย “ลิปสติกจากข้าว” ของไทย นับเป็นนวัตกรรม ที่ช่วยลด หรือทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศสำหรับการผลิตเครื่องสำอาง ลงได้เป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ ผมได้ติดตามข่าวสารจากงานประชุมนานาชาติข้าว “Thailand Rice Convention 2017” เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับทราบถึงศักยภาพประเทศไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวเพื่อสุขภาพและความงาม ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพตามวิถีธรรมชาติ ทำให้เครื่องสำอางจากธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์เวชสำอางธรรมชาติ มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ยังมีนวัตกรรมข้าวไทยในอุตสาหกรรม เพื่อสุขภาพและความงามอีกหลายรายการ ที่ได้ตรารับรอง USDA Organic ไปแล้วและได้รับลิขสิทธิ์เทคโนโลยีข้าวแล้ว
ทั้งนี้ ผมขอเป็นกำลังใจให้นักวิจัยและขอกระตุ้นให้นักเรียน นักศึกษา ที่จะเติบโตขึ้นมาในวันข้างหน้า ได้ช่วยกันเร่งหาความรู้ใส่ตัว ทั้งในตำรา จากนิทรรศการต่าง ๆ สำหรับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ นวัตกรรมดี ๆ เพื่อยกระดับชีวิตของคนไทย ไปพร้อม ๆ กับที่รัฐบาลพยายามจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ต้องใช้ควบคู่กันไปมุมมองของต่างประเทศ และเราจะต้องเอามุมมองจากต่างประเทศเหล่านั้นมาคิดว่าเราจะได้ประโยชน์จากที่เขามองอย่างไรถ้าเราไม่พัฒนาตัวเอง ต่อให้เขามองดียังไงก็ตาม เราก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมา อย่าไปวาดหวังคอยแต่เพียงอย่างเดียว
ที่กล่าวมาแล้วนั้น เราจะต้องไม่ปล่อยให้สิ่งประดิษฐ์ใดใดนั้นสูญเปล่า เรามีการคิดค้นมาตั้งหลายหมื่น เป็นแสนชิ้น แต่ถูกผลิตน้อยมาก เพราะฉะนั้นก็เหมือน “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” ก็ทำให้เกิดการผลิตไม่ได้ และใช้ได้ไม่มาก ไม่ทั่วถึง ราคาสูงมีความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ รายได้เราน้อย เราต้องมีการสานต่อ ขยายผล เพื่อจะนำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ให้ได้ เอาเรื่องที่ใช้มาก ๆ เอาเรื่องที่เกษตรกรต้องใช้ เอาเรื่องที่ผู้มีรายได้น้อยต้องใช้ ในชีวิตประจำวันเหล่านี้ ถ้าทำให้คุณภาพดีราคาถูกลง สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่น่าใช้ ทนทาน มีคุณภาพ มาตรฐาน ผมว่าขายดีหมด อันนี้ถือเป็นนวัตกรรมเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าต้องไปคิดเรื่องใหญ่โต เรื่องที่สลับซับซ้อน เครื่องจักร เครื่องยนต์ เหล่านี้อย่างเดียว อันนั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งในเรื่องของอนาคต คนปัจจุบันเขามีปัญหาเรื่องรายรับกับรายจ่ายไม่ตรงกัน เพราะต้องไปซื้อของราคาแพง ที่เราทำเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราไปคิดอะไรที่ทำเองได้ แล้วจะได้ซื้อของแพง ๆ ให้น้อยลง
ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งที่อยู่ในประเทศและอาศัยอยู่ต่างประเทศ โดยได้มีการร่วมกันประกอบพิธีวันที่ระลึกวันพระราชทาน ธงชาติไทย และเป็นวันครบรอบ 100 ปีของการประกาศให้ใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย โดยการเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา และร้องเพลงชาติไทยอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อวานนี้อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ ความผูกพัน ความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ โดยไม่แบ่งชนชั้น เชื้อชาติและศาสนา คนไทยทุกคนมีความรู้สึกร่วมกันถึงความรักชาติ ทุกครั้งที่เราได้เห็นการเชิญธงชาติไทยขึ้นสูงยอดเสาในทุกสนามการแข่งขันกีฬา หรือแม้กระทั่งปลายยอดเขาเอเวอเรสต์เทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของโลก ทั้งนี้ “ธงไตรรงค์” นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์แทนชาติไทยและคนไทยแล้ว ยังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ให้ทุกคนมีสำนึกในความเป็นชาติ “ทุกลมหายใจ” ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ร่วมแสดงความคิดเห็นต่อ 4 ข้อคำถามของผม ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งนับจนถึงวันนี้ มีจำนวนกว่า 1 ล้านคนแล้ว ผมถือว่าเป็นทุกความเห็นมีคุณค่ามาก และยิ่งใหญ่กว่าการทำโพลสำนักใด ๆ ที่ผ่านมา ที่อาจจะเก็บตัวอย่างเพียงไม่กี่พันคนจากประชากร 65 ล้านคน ผมยังให้คณะกรรมการทำต่อไป ขอเชิญชวนทุกคน ทุกภาคส่วน ทั้งพ่อค้าประชาชน พลเรือน ตำรวจ ทหาร ครอบครัว ได้ช่วยกันมาแสดงความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ให้มากขึ้น คือถ้ามีอะไรที่จะเสนอแนะ หรือมีข้อคิดเห็นประการใดสามารถเขียนเพิ่มเติมมาได้ นอกจากตอบคำถามที่ผมถามไปแล้ว ผมจะได้นำมาสู่การคิด วิเคราะห์ มาสู่การนำสู่การปฏิบัติ เพื่อจะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินนั้นเป็นผลดี และเป็นที่พึงพอใจของทุกคน ในเรื่องของการการกำหนดนโยบายต่าง ๆ ก็จะได้ตรงตามที่พี่น้องประชาชนปรารถนา
สำหรับสัปดาห์หน้า ผมมีกำหนดการเดินทางที่สำคัญไปปฏิบัติภารกิจ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ตามที่ได้รับเชิญไว้ล่วงหน้า ดังนั้นรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ครั้งต่อไป ก็จะมีการบันทึกเทปที่สหรัฐอเมริกา แล้วผมจะได้เล่าเรื่องราว สาระประโยชน์ จากการทำงาน ให้ทุกคนได้ฟัง ขอให้ติดตามชมด้วยในการไปต่างประเทศนั้น ผมได้สั่งการให้จัดช่างภาพ นักข่าว ได้ถ่ายภาพของบ้านเมืองของคนอื่นเขา ถนนหนทาง ตลาด บรรยากาศของเมืองเขา ให้พวกเราได้ดูด้วย จะได้คิดเปรียบเทียบกับบ้านเราว่าเราควรจะเป็นยังไง หลายอย่างถึงบอกว่าต้องอ่านหนังสือ หลายอย่างก็ต้องดูด้วยตาของตัวเอง หลายอย่างดูจากโทรทัศน์ก็ได้ สนใจประเทศอื่นเขาบ้าง ผมไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเหมือนเขา แต่เราเอาส่วนดี ๆ ของเขามาแล้วเอามาปรับปรุง ที่ดีอยู่มากพอสมควรแล้วให้ดียิ่งขึ้น ก็จะเป็นประเทศที่น่าอยู่น่าอาศัย น่าท่องเที่ยวอีกยาวนาน คนเขาจะได้ไม่เบื่อ วันนี้ก็มากันมากมาย วันหน้าผมก็อยากให้เขารักประเทศไทยมากันหลาย ๆ ครั้ง
วันนี้น่ายินดีที่กรุงเทพเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวเป็นอันดับ 1 แล้วประเทศไทยก็มีรายได้จากการท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่การท่องเที่ยวจำนวนมากนั้น จริง ๆ แล้วรัฐบาลได้แต่เพียงส่วนเดียวเท่านั้น เป็นเรื่องของภาษี เรื่องอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ แต่ในส่วนที่ได้จริง ๆ คือรายได้ที่ลงไปสู่ผู้ให้บริการในพื้นที่ วันนี้ผมเน้นไปถึงชุมชนด้วย การท่องเที่ยวทางการเกษตร การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือการท่องเที่ยวในพื้นที่หรือบรรยากาศสวยงาม หรือเป็นพื้นที่ที่เก่าแก่เชิงวัฒนธรรม เหล่านี้ต้องกระจายไปถึงข้างล่างให้ได้ในทุกจังหวัด
นอกจากนั้น ในเรื่องของการที่พูดถึงการทุจริตโครงการต่าง ๆ ก็ต้องไปตรวจสอบ ผมไม่ได้นิ่งนอนใจ คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า มีหรือไม่มีในขณะนี้ พูดไม่ได้ ต้องไปตรวจสอบหลายประเด็น เป็นปัญหาละเอียดเล็กน้อย บางครั้ง ก็ต้องไปดูโดยเฉพาะโครงการ 9101 ผมให้ไปตรวจสอบ เพราะมีประเด็นปลีกย่อยมากมายที่ผมเรียนไปอันหนึ่งแล้ว แต่โครงการนี้เป็นโครงการที่ประชาชนมีส่วนร่วมจริง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นโครงการในลักษณะใหม่ที่ลงไปว่าจะมีคนที่ยังไม่เข้าใจ บางคนที่อาจจะไม่ไว้วางใจ แต่ผมก็พยายามหรือยืนยันว่าจะพยายามปราบปรามการทุจริตให้มากที่สุด แต่ขอให้ไปดูรายละเอียดข้างล่างด้วย ไม่ใช่ฟังอะไรมาทางแล้วไปแชร์กันต่อไป ก็ให้เวลาเขาตรวจสอบบ้าง
ผมขอขอบคุณอีกครั้ง ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สำหรับเยาวชนก็ขอให้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ดูโทรทัศน์ อ่านโซเชียลมีเดียอะไรก็แล้วแต่ ลองอ่านแล้วก็คิด อันไหนไม่มีประโยชน์ก็ตัดทิ้งไปบ้าง บางทีก็ทำให้เราเสียสมาธิ ให้เราหาประสบการณ์นอกตำราเพิ่มเติม คิดว่าเราจะเอาที่โรงเรียนมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร อันนี้เป็นสิ่งที่ยาก นั่นคือความแตกต่าง ใครทำได้มากก็จะได้รับผลประโยชน์มาก ทำงานได้เก่งกว่าเขา ความคิดดีกว่าถ้าท่องอย่างเดียวไปสอบ สอบได้ที่หนึ่งแต่ทำงานไม่ได้ เพราะว่าใช้ตำราเหล่านั้นใช้วิชาการเหล่านั้นไปทำงานไม่เป็น ความคิดไม่ต่อเนื่อง วิเคราะห์ไม่เป็น ขบวนการไม่มี ผมขอฝากให้ลูกหลานทุกคนได้คิดตามด้วย
ที่มา ;เว็บรัฐบาลไทย
ที่มา ;เว็บรัฐบาลไทย
โหลด - อ่าน - เรื่องเด่น
เกณฑ์สอบผู้บริหารการศึกษา ปี 2560
โหลด-อ่าน ฉบับเต็มรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ที่
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/040/1.PDF
เกณฑ์สอบผู้บริหารการศึกษา ปี 2560
โหลด-อ่าน ฉบับเต็มรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ที่
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/040/1.PDF
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/040/1.PDF
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
เว็บฟรี...1,000 ชุด 10,000 ข้อ
ติวสอบครูผู้ช่วย-ผู้บริหาร-บุคลากรการศึกษา -อปท. ที่
" ติวสอบดอทคอม โดย อ.นิกร "
เว็บฟรี...1,000 ชุด 10,000 ข้อ
ติวสอบครูผู้ช่วย-ผู้บริหาร-บุคลากรการศึกษา -อปท. ที่
" ติวสอบดอทคอม โดย อ.นิกร "
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น