ข้อสอบออนไลน์ ( สอบครู - ผู้บริหาร - บุคลากรการศึกษา) ชุดใหม่ล่าสุด
ติวสอบออนไลน์ชุดสรุปย่อความรอบรู้ทั่วไป
แถลงการณ์ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ 3 เรื่อง ข้อเรียกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และกลุ่มผู้สนับสนุน กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อการแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย
วันนี้ (6 พ.ค.57) เวลา 15.00 น. ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถนนวิภาวดีรังสิต นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เลขาธิการ ศอ.รส. พร้อมด้วย พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ ผกก.ฝ่ายตำรวจสากลและประสานงานภูมิภาค 1 รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อ่านแถลงการณ์ ศอ.รส. ฉบับที่ 3 เรื่อง ข้อเรียกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และกลุ่มผู้สนับสนุน กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อการแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย ดังนี้
แถลงการณ์
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.)
ฉบับที่ 3
เรื่อง ข้อเรียกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และกลุ่มผู้สนับสนุน กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เพื่อการแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย
----------------------------------------
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. เป็นหน่วยงานพิเศษที่จัดตั้งขึ้น ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่าง การประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดย ศอ.รส. มีภารกิจสำคัญในการสนธิกำลัง ทั้งข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต่าง ๆ เพื่ออำนวยการและปฏิบัติการให้เกิดความเรียบร้อยในทุก ๆ มิติ ทั้งในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และสังคมในภาพรวม
นับตั้งแต่วันที่ได้มีการจัดตั้ง ศอ.รส. เพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญดังกล่าว ศอ.รส. ก็ได้ทำหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการทั้งปวงให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อยได้ตลอดมาในระดับหนึ่งและจากการประเมินสถานการณ์ในปัจจุบัน มีข้อมูลเพียงพอที่บ่งชี้ได้ว่าจะเกิดความรุนแรงและเหตุร้ายขึ้นในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ ศอ.รส. โดยเฉพาะการระดมจัดมวลชนให้มีการชุมนุมใหญ่ ทั้งของ กปปส. และ นปช. และกลุ่มอื่น ๆ ในลักษณะท้าทายและแข่งขันกัน ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือการวินิจฉัยขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ 2 องค์กร คือ คณะกรรมการ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ ดังที่ ศอ.รส. ได้มีแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 เสนอข้อเรียกร้องให้ทุกฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการในแนวทางที่จะทำให้ปัญหาความไม่สงบเรียบร้อยที่เกิดขึ้นและยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ได้คลี่คลายหรือยุติลง นั้นศอ.รส. ยังคงมีข้อห่วงใยและข้อวิตกกังวลต่อการวินิจฉัยขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งได้มีการพิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดคดีที่จะทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง ซึ่งจะทำให้การแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย ไม่อาจบรรลุผล ดังนี้
ประการที่หนึ่ง ในการใช้อำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ยังคงใช้วิธีพิจารณาและทำคำวินิจฉัยตามข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้กำหนดขึ้นเอง ทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และต้องตราพระราชบัญญัติดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 216 ประกอบกับมาตรา 300 ซึ่งนับแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกือบ 7 ปีแล้ว แต่ก็ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ดำเนินการผลักดันให้มีการตราพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ได้
การกำหนดวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในรูปของกฎหมายนั้น ก็เพื่อควบคุมการใช้อำนาจ ของศาล ทำนองเดียวกับศาลยุติธรรมและศาลปกครอง เมื่อวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดไว้ในรูปของกฎหมาย จึงทำให้สาธารณชนเกิดความสับสนต่อการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าเป็นไปตามหลักนิติธรรมและถูกต้องตามหลักความยุติธรรมหรือไม่ อีกทั้งการไม่มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกโดยรัฐสภาอาจส่งผลให้การพิจารณาวินิจฉัยคดี ไม่มีมาตรฐาน ขาดความชัดเจนในกระบวนการพิจารณา เพราะไม่มีกรอบแห่งการใช้อำนาจ อาทิเช่น ไม่มีกำหนดระยะเวลาในกระบวนการพิจารณาในคดีแต่ละประเภทอย่างชัดเจนทำให้บางคดีได้กระทำด้วยความรีบเร่งผิดปกติ หรือการทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ชัดเจนว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นองค์คณะทุกคนได้ทำคำวินิจฉัยส่วนตน พร้อมแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุมก่อนการลงมติตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 216 วรรคสอง กำหนดไว้หรือไม่ เพียงใด หรือไม่มีการกำหนดเวลาที่ชัดเจนในการเผยแพร่คำวินิจฉัยกลาง และคำวินิจฉัยส่วนตนในราชกิจจานุเบกษา ทำให้บางคดีมีการนัดฟังคำวินิจฉัยไปแล้วหลายเดือน แต่ไม่มีการประกาศคำวินิจฉัยกลางในราชกิจจานุเบกษาตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 216 วรรคสาม กำหนดไว้ ดังนั้น การที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือการพิจารณาคดีโดยไม่มีกฎหมายรองรับทำให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมามีปัญหาความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมเสียเอง
ประการที่สอง จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่สำคัญในหลายคดีที่ผ่านมา ก็มักถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากว่า มีปัญหาในเรื่องความยุติธรรม หลายคดีวินิจฉัยก้าวล่วงการใช้อำนาจอธิปไตยขององค์กรอื่นโดยไม่มีอำนาจขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจ ไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรมในหลาย ๆ คดี อาทิเช่น
1. คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีการสืบพยานในคดีอุ้มฆ่านายโมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจเชื้อพระวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคดีดังกล่าวไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 ซึ่งได้ประกาศใช้มานานกว่า 20 ปี และมีการดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าวมาตลอด ว่ามีเหตุผลความจำเป็นในการตรากฎหมายฉบับนี้อย่างไร แต่คำวินิจฉัยกลับมุ่งคุ้มครองจำเลยในคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจเชื้อพระวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพจากการนำประเด็นในคดีนี้ไปสืบพยานโจทก์ในต่างประเทศ โดยมิได้คุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 40 (2) (3) (4) (5) ทำให้บรรดาพยานหลักฐานและเอกสารที่ได้มาจากการไปสืบพยานในต่างประเทศเป็นอันรับฟังไม่ได้ตามกฎหมาย ส่งผลให้จำเลยในคดีอาญาโดยเฉพาะจำเลยในคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจเชื้อพระวงศ์ซาอุดิอาระเบียได้รับประโยชน์โดยตรง อีกทั้งยังเป็นการปิดปากพยานโจทก์ปากสำคัญไปโดยปริยายอีกด้วย คำวินิจฉัยดังกล่าวนอกจากจะมีผลกระทบต่อรูปคดีแล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทย และต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะต่อการให้ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาในแนวทางสากลเป็นอย่างยิ่ง และทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระเบียซึ่งเพิ่งจะปรับตัวดีขึ้นกลับจะต้องเสื่อมโทรมลงไปอีก
2. คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นคำวินิจฉัยที่น่าจะไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลว่า
(1) การยื่นคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68วรรคสอง กำหนดให้บุคคลมีสิทธิเสนอเรื่อง ให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งหมายความว่า บุคคลต้องยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุดก่อน ภายหลังอัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่ามีมูล อัยการสูงสุด จึงจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ อันเป็นการคานอำนาจศาลรัฐธรรมนูญตามหลักสากล การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การเสนอคำร้องตามมาตรา 68 วรรคสอง บุคคลมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้โดยตรง โดยไม่ต้องเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน จึงไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และไม่เป็นไปตามแนวการวินิจฉัยเดิม ซึ่งเคยวินิจฉัยว่าต้องเสนอผ่านอัยการสูงสุด
(2) การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา โดยรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติ ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่จะเข้าไปตรวจสอบการดำเนินการดังกล่าวได้ ซึ่งจะแตกต่างจาก การตราพระราชบัญญัติทั่วไป
(3) การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องในเรื่องดังกล่าวโดยอาศัยรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 อันเป็นเรื่องของการพิทักษ์รัฐธรรมนูญนั้น มาตรา 68 เป็นเรื่องข้อห้ามและบทลงโทษการใช้สิทธิและเสรีภาพ ไปกระทำการล้มล้างการปกครองประชาธิปไตย หรือกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครอง โดยไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แต่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไม่ใช่การใช้สิทธิและเสรีภาพ หากแต่เป็น การใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐสภาตามมาตรา 291 ซึ่งในประเด็นนี้ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยในคำร้องที่ 29/2556 มีคำสั่งไม่รับคำร้องในลักษณะเดียวกันนี้ไว้วินิจฉัย ดังนั้น การวินิจฉัยในประเด็นนี้ของศาลรัฐธรรมนูญจึงกลับไปกลับมาโดยไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
3. คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นคำวินิจฉัยที่น่าจะไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลว่า
(1) ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินไว้พิจารณา ทั้ง ๆ ที่กรณีมิใช่เรื่อง ที่บทบัญญัติแห่งกฎหมายมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 245
(2) การที่ศาลรัฐธรรมนูญนำเอากรณีที่ไม่สามารถรับสมัครเลือกตั้งได้ใน 28 เขตเลือกตั้ง มาอ้างว่าถ้ามีการเลือกตั้งทั่วไปใน 28 เขตเลือกตั้งในภายหลัง จะทำให้การเลือกตั้งทั่วไปไม่เป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรนั้น เป็นการนำเอาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังและไม่เกี่ยวข้องกับการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปตามพระราชกฤษฎีกา มาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาวินิจฉัย ทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญมิได้บังคับว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะต้องเกิดขึ้นในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร รัฐธรรมนูญเพียงแต่บัญญัติให้วันเลือกตั้งต้องกำหนด เป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรเท่านั้น เพราะย่อมเป็นไปได้เสมอที่อาจเกิดเหตุจำเป็นหรือเหตุสุดวิสัยขึ้นในบางหน่วยเลือกตั้งอันอาจทำให้ไม่สามารถเลือกตั้งในวันที่กำหนดได้ ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะต้องดำเนินการสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามมาตรา 236 ของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงมิได้บังคับให้การเลือกตั้งทั่วไปจะต้องเกิดขึ้นในวันเดียวกัน เพียงแต่การกำหนดวันเลือกตั้งต้องเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร แต่หากเกิดเหตุจำเป็นก็อาจจัดเลือกตั้งทดแทนเป็นวันอื่น ๆ ได้
(3) การที่ศาลรัฐธรรมนูญนำเอากรณีที่ไม่อาจรับสมัครเลือกตั้งใน 28 เขตเลือกตั้งได้ มากล่าวอ้างให้การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทั้ง ๆ ที่การรับสมัครเลือกตั้งก็เป็น ส่วนหนึ่งของการเลือกตั้ง ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจตามมาตรา 236 แห่งรัฐธรรมนูญ ที่สามารถสั่งให้จัดการเลือกตั้งใหม่ได้ และศาลรัฐธรรมนูญมิได้พิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ที่ปรากฏว่าเหตุที่ไม่อาจรับสมัครเลือกตั้งใน 28 เขตเลือกตั้งดังกล่าวเป็นเพราะมีผู้กระทำการขัดขวางการสมัครรับเลือกตั้งจนไม่อาจรับสมัครเลือกตั้งใน 28 เขตเลือกตั้งได้ ซึ่งทำให้เกิดผลตามคำวินิจฉัยว่าคะแนนเสียงของประชาชนที่ไปออกเสียงเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 นั้น ถูกตัดสิทธิลงทั้ง ๆ ที่การใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชนดังกล่าว เป็นการทำหน้าที่โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว
4. คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีเงินกู้สองล้านล้านไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นคำวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อนไปจากบทบัญญัติของกฎหมาย และเป็นการกลับหลักการเดิมที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้แล้ว ด้วยเหตุผลว่า
(1) การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เงินกู้ตามร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินฯ (เงินกู้สองล้านล้าน) เป็นเงินแผ่นดินตามความหมายของรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการตีความที่ถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเองก็มิได้มีการกำหนดความหมายของ “เงินแผ่นดิน” ไว้โดยชัดแจ้ง แต่ศาลกลับไปพิจารณาจากกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องประกอบความเห็นของพยานบุคคล แล้วตีความเอาเองว่าเงินกู้นี้เป็นเงินแผ่นดินตามความหมายของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการใช้ดุลพินิจตีความที่ไม่มีขอบเขตที่ชัดเจนแน่นอน
(2) กรณีที่ศาลวินิจฉัยว่า เงินกู้ตามร่างพระราชบัญญัตินี้นำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ได้ โดยไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญนั้น น่าจะไม่สอดคล้องกับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 ว่า พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ (โครงการไทยเข้มแข็ง สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์) ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ในมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวก็ระบุว่า เงินที่ได้จากการกู้ ให้นำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ในการกู้โดยไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ซึ่งเป็นถ้อยคำในลักษณะเดียวกันกับร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ (เงินกู้สองล้านล้าน)ที่ศาลวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญแสดงให้เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญน่าจะขาดมาตรฐานในการวินิจฉัย
(3) ในเรื่องกระบวนการตรากฎหมาย การที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสียบบัตรแทนกันเพียง 1 คน แล้วไปตีความว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดทำไม่ถูกต้อง เป็นผลให้ลบล้างมติของสภาผู้แทนราษฎรนั้น ทำให้กฎหมายต้องตกไป เป็นกรณีที่ศาลนำข้อเท็จจริงของคน ๆ เดียว มาผูกมัดคนทั้งสภาฯ ซึ่งจะกลายเป็นบรรทัดฐานที่ไม่ถูกต้อง
(4) การที่ศาลวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินี้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญย่อมส่งผลกระทบ ต่อประเทศไทยที่จะเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศเพื่อให้ทัดเทียมและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับนานาชาติ อันจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนโดยรวม
อนึ่ง จนถึงบัดนี้ คำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ก็ยังไม่มีการนำลงประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา
ประการที่สาม กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญอาจจะวินิจฉัยคำร้องขอให้ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) ประกอบกับมาตรา 266 และมาตรา 268 โดยเห็นว่ากระทำการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี นั้น จากการตรวจสอบพบว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยมีคำวินิจฉัยที่ 12-13/2551วินิจฉัยคำร้องขอให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) ประกอบกับมาตรา 267 กรณีเป็นลูกจ้างของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด โดยศาลรัฐธรรมนูญมิได้อ้างกฎหมายแต่อ้างพจนานุกรมแล้ววินิจฉัยว่า นายสมัครฯ กระทำการต้องห้ามตามมาตรา 267 ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัครฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) เป็นเหตุให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 180 วรรคหนึ่ง (1) แต่ด้วยความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัครฯ เป็นการสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ทำให้รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี
ที่เหลือจึงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามมาตรา 181 ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยที่วางบรรทัดฐานในกรณีดังกล่าวไว้ ดังนั้น เมื่อคำร้องทั้งสองกรณีมีลักษณะทำนองเดียวกัน หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านางสาวยิ่งลักษณ์ฯ กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 266 และมาตรา 268 แล้ว ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า ผลของคำวินิจฉัยควรเป็นไป ในทิศทางเดียวกันหรือไม่ อย่างไร หรือหากผลของคำวินิจฉัยแตกต่างกัน ก็จะทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ ถึงการพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญที่ขาดมาตรฐานและความน่าเชื่อถือตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ประการที่สี่ ศอ.รส. ได้รับทราบข้อมูลด้านการข่าวว่า มีความพยายามของกลุ่มบุคคลที่สนับสนุนแนวทางที่จะทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง เรียกร้องให้การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีร้องขอให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) ประกอบมาตรา 266 และมาตรา 268 กรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย แล้ววินิจฉัยให้เกินเลยไปที่จากรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ถึงขั้นยกเว้นการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา เช่น มาตรา 181 เพราะจากข้อมูลที่ตรวจพบปรากฏว่า เรื่องการยกเว้นการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรานั้น เคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในปี 2476 โดยในครั้งนั้นได้กระทำด้วยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา คือ พระราชกฤษฎีกาให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรและตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ประกาศเมื่อวันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2476ดังนั้น การที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยเกินเลยไปถึงการยกเว้นการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราจึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและไม่สามารถกระทำได้
ประการที่ห้า จากการที่มีนักวิชาการ คือ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ได้กล่าวอภิปรายในโครงการสัมมนาทางวิชาการในวาระครบรอบ 16 ปีศาลรัฐธรรมนูญ ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้จัด เรื่อง การปฏิรูปการเมืองภายใต้หลักนิติธรรม มีข้อความตอนหนึ่งว่า
“คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายผูกพันทุกองค์กร ทั้งรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาล ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2540 และปี 2550 ได้บัญญัติไว้ แสดงให้เห็นว่า การยกสถานะศาลรัฐธรรมนูญ ให้เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เท่าเทียมกับรัฐสภา เพื่อพิทักษ์กฎหมาย ควบคุมกฎหมาย เพื่อไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการควบคุมการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นการป้องกันเผด็จการรัฐสภา เพื่อไม่ให้องค์กรที่รัฐธรรมนูญตั้งขึ้นมาทำลายรัฐธรรมนูญเสียเอง”
คำอภิปรายดังกล่าวเห็นได้ว่า มีความมุ่งหมายที่จะแสดงความชอบธรรมว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญทุกเรื่อง แม้ว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจไว้ และยืนกรานให้องค์กรอื่นต้องเคารพคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อตรวจสอบย้อนหลังไปในปี 2542 นายบวรศักดิ์ฯ กลับอธิบายเรื่องเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ในวารสารศาลรัฐธรรมนูญ ปีที่ 1 เล่มที่ 1 (มกราคม-เมษายน 2542) หน้า 31-32 ว่า
“หากเกิดปัญหาเรื่องเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญขึ้น ผู้ที่จะมีอำนาจวินิจฉัยเรื่องเขตอำนาจ ศาลรัฐธรรมนูญก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญนั่นเองในทางกฎหมาย แต่ในเวลาเดียวกัน ในทางการเมือง องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญก็ย่อมมีอำนาจและเอกสิทธิ์ที่จะพิจารณาการวินิจฉัยเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญว่าชอบหรือไม่ชอบด้วยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หากเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปในทางขยายเขตอำนาจของตนจนทำลายเขตอำนาจของศาลอื่นหรือองค์กรอื่น องค์กรเหล่านั้นก็ย่อมทรงไว้ซึ่งสิทธิและอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะดำเนินการเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำให้การใช้อำนาจมีการดุลคานกัน ศาลแต่ละศาลเป็นใหญ่ในเขตอำนาจของตนไม่ได้ขึ้นต่อกัน . . . ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีอันอยู่ในเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้วนั้นจึงจะผูกพันศาลอื่น แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไปวินิจฉัยคดีซึ่งไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ความผูกพันต่อศาลอื่นก็ไม่มี”
จึงเห็นได้ว่าคำกล่าวของนายบวรศักดิ์ฯ เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันเองและเห็นได้ชัดว่า นายบวรศักดิ์ฯ มีแนวคิดและความมุ่งหมายเป็นการแสดงความรับรู้การใช้อำนาจตามอำเภอใจของศาลรัฐธรรมนูญ และบังคับให้องค์กรอื่นที่มีสถานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญดุจเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญต้องยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นการยกสถานะของศาลรัฐธรรมนูญในปัจจุบันให้อยู่เหนือองค์กรอื่นโดยเฉพาะฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร เป็นการสถาปนาอำนาจตุลาการโดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ทั้งที่ฝ่ายตุลาการเป็นหนึ่งในสามของอำนาจอธิปไตยเท่านั้น ในขณะที่ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติมาจากการเลือกตั้งของประชาชน การที่จะให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจเหนือฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติจึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะจะไม่มีองค์กรใดสามารถตรวจสอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ เป็นการปูทางสู่คำวินิจฉัยที่จะสร้างสุญญากาศทางการเมือง ตามที่กลุ่ม กปปส. และกลุ่มเคลื่อนไหวบางกลุ่มต้องการเพื่อนำไปสู่การทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ซึ่งมีการอ้างมาตรา 3 และมาตรา 7 ในขณะที่กลุ่ม นปช. และกลุ่มเคลื่อนไหวบางกลุ่มก็จะไม่ยอมรับการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เกินจากรัฐธรรมนูญเช่นนี้ ซึ่งขณะนี้ก็ได้ปรากฏเป็นข้อมูลและข้อเท็จจริงของการเผชิญหน้าและการท้าทายที่จะจัดการชุมนุมใหญ่ ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย และจะนำไปสู่การปะทะกันและก่อเหตุร้ายต่อกันและกันแล้ว
ประการที่หก จากการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำข้อเสนอโดยอ้างว่าเป็นทางออกประเทศไทย พร้อมกับอวดอ้างว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุดกับสถานกาณ์ขณะนี้ แต่กลับเสนอวิธีดำเนินการโดยไม่มีกฎหมายรองรับ โดยเฉพาะเป็นข้อเสนอที่ฝ่าฝืนกฎหมายด้วยการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีลาออกโดยไม่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญมาตรา 181 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เสนอให้ลาออกโดยไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเพื่อให้เกิดสุญญากาศ ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลี่ยงไปใช้คำว่าถอยออกจากอำนาจแล้วให้วุฒิสภาสรรหานายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และทูลเกล้าฯ แต่งตั้ง โดยอ้างว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะอยู่ในตำแหน่งเพียงชั่วคราว ซึ่งข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เช่นนั้นไม่มีกฎหมายใดให้กระทำได้ เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญนายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร และดำเนินการเสนอแต่งตั้งโดยสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น
ข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เช่นนี้ แท้จริงแล้วเป็นข้อเสนอเพื่อปูทางหรือสนับสนุนให้ศาลรัฐธรรมนูญได้พิพากษางดใช้มาตรา 181 หรือพิพากษาให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีพ้นไปโดยถือว่าเป็นกรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 181 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ย่อมรู้ดีว่า ข้อเสนอของตนเป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีปฏิบัติไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายรองรับและยังขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 181 ด้วย ดังนั้น ความมุ่งหมายอันแท้จริงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงมีอย่างเดียวคือโน้มน้าวชักจูงให้ประชาชนหลงเชื่อโดยเข้าใจผิดไปว่าสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะพิจารณาพิพากษาให้เกิดสุญญากาศนั้นเป็นความเหมาะสมที่พึงกระทำได้ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ฉะนั้นข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เรียกว่าทางออกของประเทศไทยแท้จริงแล้วก็คือหนึ่งในกระบวนการที่จะทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองแล้วแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีคนนอกที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และประการสำคัญเป็นการกระทำฝ่าฝืนหรือกระทำการนอกรัฐธรรมนูญนั่นเอง
ศอ.รส. จึงขอเรียกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยความเคารพต่อองค์กรและเห็นถึงความสำคัญ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาและวินิจฉัยคดีอย่างตรงไปตรงมาเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญโดยยึดถือจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญและคำถวายสัตย์ปฏิญาณที่ไห้ไว้ต่อพระมหากษัตริย์ก่อนเข้ารับหน้าที่ และขอให้กลุ่มบุคคลอันได้แก่นักวิชาการต่าง ๆ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่สนับสนุนแนวทางที่จะทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง ยุติบทบาทการแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน ทั้งนี้ ศอ.รส. ขอยืนยันว่ามิได้มีเจตนาที่จะก้าวล่วงหรือกดดันการพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แต่ขณะนี้มีกลุ่มมวลชนจำนวนมากทั้งสองฝ่ายกำลังรอคอยผลการพิจารณาพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ หากคำพิพากษาไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญดังกล่าวมาแล้ว ย่อมจะเกิดความไม่พอใจขยายตัวในวงกว้างและเกิดการใช้กำลังเข้าปะทะกัน การดำเนินการของ ศอ.รส. โดยแถลงการณ์ที่มีข้อเรียกร้องในครั้งนี้จึงเป็นการป้องกัน ระงับ ยับยั้งและแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นตามภารกิจและอำนาจหน้าที่อันเป็นความจำเป็นที่ไม่อาจจะละเลยเสียได้
อนึ่ง แถลงการณ์ฉบับนี้เป็นความเห็นและดำเนินการของ ศอ.รส. โดยไม่ได้ขอให้ฝ่ายทหารร่วมมีความเห็นและดำเนินการด้วย
จึงแถลงการณ์มาเพื่อทราบทั่วกัน
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย
6 พฤษภาคม 2557
ทีมา ; เว็บรัฐบาลไทย
อัพเดทเรื่องราว - ข้อสอบใหม่ ๆ
เข้าห้องสอบออนไลน์ ( ฟรี)
เน็ตช้า ... คลิ๊กที่ http://tuewsob.blogspot.com
ห้องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
... ห้องติวสอบผู้บริหาร + การศึกษาพิเศษ
ห้อง ... ครูวิชาเอก ห้อง 1 คลิ๊กที่ http://tuewsobkru.blogspot.com
ห้อง ... ครูวิชาเอก ห้อง 2 คลิ๊กที่ http://tuewsob2011.blogspot.com
สมัคร ติวสอบผู้บริหารสถานศึกษา ที่
( คลิ๊ก ) สมัครติวสอบผู้บริหารภาค 4 ภาค 29 จุดปี 2557-2558
ฟรี... ห้องติวสอบผู้บริหารสถานศึกษา-ครู-บุคลากรการศึกษา ที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น