เมื่อเวลา 14.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนจาก 7 ฝ่าย ได้เดินทางมายังอาคารสโมสรทหารบก ถ.วิภาวดีรังสิต ที่ตั้งของกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) เพื่อหารือร่วมกันเป็นวันที่ 2 ตามประกาศเชิญของ กอ.รส.ซึ่งนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะผอ.กอ.รส. พร้อมด้วยผบ.เหล่าทัพ และตัวแทนผบ.สส.ในฐานะที่ปรึกษา กอ.รส. ประกอบด้วย พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ผบ.ตร. และพล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร รอง ผบ.สส.
ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเปิดการประชุมว่า "ขออภัยที่ต้องใช้กฎอัยการศึก แต่จำเป็นเพราะเป็นความมั่นคง แต่มีผลกระทบหลายมิติ แต่ผมต้องออกมารับผิดชอบเอง เพราะดูแลความมั่นคง ต้องออกมาเพื่อช่วยกันหาทางออก เพราะผมเป็นหนี้บุญคุณแผ่นดิน"....
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า อยากให้ทุกฝ่ายร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น และ พร้อมที่จะทำให้ทุกอย่าสงบโดยเร็ว และอยากให้ทุกคนให้เกียรติกองทัพสำหรับการประกาศกฎอัยการศึก เชื่อว่า ขณะนี้คงเกิดข้อขัดแย้งในใจ หลายฝ่าย
"แต่ขอให้เชื่อว่า ผมได้ทำทุกอย่าง พยายามทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ ทำเพื่อให้เกิดความสงบสุข ไม่ต้องคิดหรือกังวลแทนผม เพราะผมพร้อมรับผิดชอบทุกอย่างไม่ว่าจะถูกหรือผิด แต่ขอให้รู้ว่าที่ผมทำผมรับผิดชอบทุกประการ ที่ผมทำเพราะผมเป็น คนที่เกิดในแผ่นดินนี้ และเป็นหนี้ในแผ่นดินนี้. ที่ผมจำเป็นต้องมามีส่วนร่วม เพราะผมรับผิดชอบงานด้านความมั่นคงเป็นหลัก แต่ทว่า มันเกี่ยวขัองในหลายมิติ หากก้าวล่วง ใครขออภัย แต่ผมก็ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วย"
นักข่าวไทย-เทศแตกฮือ!ทหารบุกชาร์จ7ฝ่าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการประชุม 7 ฝ่ายมาถึงเวลา 16.00 น. หรือ 2 ชั่วโมงของการประชุมปรากฎว่า บรรยากาศในที่ประชุมได้เกิดความตึงเครียดและวุ่นวายขึ้น เนื่องจากแต่ละฝ่ายมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาของประเทศ และเกิดการโต้เถียงกันขึ้นอย่างกว้างขวาง ดังนั้น ทางพล.อ.ประยุทธ์ประธานในที่ประชุมสั่งงดการประชุมในเวลา 16.10 น. โดยให้ตัวแทนทั้ง 7 กลุ่มไปพักรับประทานของว่าง และไปพูดคุยตกลงหารือกันให้เรียบร้อยก่อน โดยนัดให้มีการประชุมอีกรอบในเวลา 17.00 น.
อย่างไรก็ตาม ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินออกมาจากตัวอาคารสโมสรกองทัพบกในเวลา 16.30 น. ออกมาขึ้นรถประจำตำแหน่ง และเดินทางเข้าไปในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) ทันที โดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทยอยเดินตามออกมา และขึ้นรถประจำตำแหน่งติดตามเข้าไปในร.1 รอ. เช่นกัน จากนั้นกองร้อยปราบจลาจลที่กอ.รส. เตรียมไว้กรณีฉุกเฉินได้บุกเข้าไปตัวอาคารทันที พร้อมกับชาร์จผู้เข้าร่วมประชุม 7 ฝ่าย แล้วนำตัวขึ้นรถตู้ประมาณ 10 กว่าคัน เข้าไปภายในร.1 รอ. ทันที ส่งผลให้กองทัพผู้สื่อข่าวทั้งไทย และต่างประเทศที่เข้ามาติดตามทำข่าวเป็นจำนวนมากเกิดความแตกตื่นและพยายามที่จะกรูกันเข้ามาทำข่าวภายในอาคารสโมสรกองทัพบกแต่ก็ถูกกำลังทหารปิดกั้นบริเวณรอบๆ เอาไว้ ขณะที่รถฮัมวี่ประมาณ 3 - 4 คัน ได้เคลื่อนมาปิดทางเข้าออกสโมสรกองทัพบกก่อนที่จะมีการนำตัวผู้แทน 7 ฝ่าย จำนวน 35 คน แยกขึ้นรถตู้ 10 กว่าคันเดินทางเข้าไปภายในร. 1 รอ.
"ประยุทธ์"นำผบ.เหล่าทัพแถลงควบคุมอำนาจรัฐ
พล.อ.ประยุทธ์ ได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ (ทีวีพูล) ว่า เนื่องจากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และในหลายพื้นที่ เป็นผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง และเหตุการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มขยายตัว อาจเกิดเหตุร้ายแรงที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยรวมนั้น เพื่อให้สถานการณ์ดังกล่าวกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ประชาชนในชาติเกิดความรัก ความสามัคคี เช่นเดียวกับช่วงที่ผ่านมา ตลอดจนเพื่อเป็นการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและอื่นๆ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมกับทุกพวก ทุกฝ่าย "คณะรักษาความสงบแห่งชาติ" ซึ่งประกอบด้วย กองทัพบก กองบัญชากองทัพไทย กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีความจำเป็นต้องเข้าควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เวลา 16.30 น.เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนทุกคน อยู่ในความสงบ ดำเนินวิถีชีวิตและประกอบอาชีพต่อไปตามปกติ ให้ข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนของทางราชการดังที่เคยปฏิบัติ สำหรับข้าราชการทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ส่วนราชการต่างๆ ที่มีอาวุธเพื่อใช้ในราชการของหน่วย ห้ามเคลื่อนย้ายกำลังและอาวุธโดยเด็ดขาด เว้นแต่จะได้รับคำสั่งจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่เพียงผู้เดียว
สำหรับคณะทูตานุทูต สถานกงสุล องค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้งชาวต่างประเทศที่พำนักในราชอาณาจักรไทย คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะได้ให้ความคุ้มครองและขอยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทย กับองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ยังเป็นไปตามปกติเหมือนเดิมคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะยึดมั่นในความจงรักภักดี ปกป้องเทิดทูนดำรงรักษาไว้ ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นศูนย์รวมจิตใจประชาชนชาวไทยและทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น