เรื่องใหม่น่าสนใจ (ทั้งหมด ที่ )
(เนื้อหา-ข้อสอบ 1,000 ชุุด หมื่นข้อ ภาค กข
+ 40 วิชาเอก) ที่ ห้องสอบด้านขวา หรือ
ติวสอบดอทคอม คลิ๊ก www.tuewsob.com
-คู่มือ 4 ชุด นโยบาย บริบริหาร ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
ข้อสอบออนไลน์ ( พัฒนาความรู้ครู - ผู้บริหาร - บุคลากรการศึกษา) ชุดใหม่
ข้อสอบออนไลน์ ( พัฒนาความรู้ครู - ผู้บริหาร - บุคลากรการศึกษา) ชุดใหม่
เตรียมสอบ บน ยูทูป ทั้งหมด ได้ที่
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 213/2559 การประชุมขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา
จังหวัดสงขลา - พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุทัศน์ กาญจานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา อำเภอสะเดา เมื่อวันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2559 เพื่อ ประชุมขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา และตรวจเยี่ยมสถานศึกษาใน เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา อำเภอสะเดา
ประชุมขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา
เวลา 10.00 น. รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดตราด รวมทั้งผู้บริหารทุกสังกัดภายในจังหวัด ตลอดจนนักวิชาการ ผู้แทนภาคประชาชน เข้าร่วมประชุม
(กรุณาติดตามสรุปข่าวส่วนนี้เพิ่มเติม)
ตรวจเยี่ยมโรงเรียนสะเดา "ขรรค์ชัยกัมพลานนท์อนุสรณ์" อำเภอสะเดา
เวลา 13.30 น. รมช.ศึกษาธิการ และคณะ เดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงเรียน สะเดา "ขรรค์ชัยกัมพลานนท์อนุสรณ์" สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 โดยมีนายเกษม ทองปัญจา ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครู นักเรียน ให้การต้อนรับ
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวในการพบปะกับครูว่า ส่วนตัวได้ทำงานในกระทรวงศึกษาธิการมากว่า 2 ปี ซึ่งยังคงมุ่งมั่นในการทำงาน มีความรัก ความผูกพัน เพราะถือว่าการศึกษาเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของการพัฒนาชีวิตคนและการพัฒนาประเทศ ซึ่งการทำงานที่ผ่านมา งานสำคัญอย่างหนึ่งที่ได้รับผิดชอบคือ การกำกับดูแลการศึกษาใน 5จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้อำเภอสะเดาจะเป็นอำเภอชายแดน ไม่ใช่เป้าหมายดังกล่าวโดยตรง แต่ก็ได้เน้นให้มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาตามจุดเน้นดังกล่าวเช่นเดียวกัน ซึ่งส่งผลให้ผลจัดการศึกษาในภาพรวมมีคุณภาพสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวหน้าที่เห็นผลเชิงประจักษ์คือ ผลสอบ O-NET ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมามาก
นอกจากจุดเน้นในการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่ให้มีคุณภาพสูงขึ้นแล้ว ต้องการให้จัดการศึกษาให้ผู้เรียนจบออกไปแล้วมีทักษะอาชีพมีงานทำ มีการจัดการศึกษาเพื่อสร้างความมั่นคง มีมาตรการในการกำกับดูแลช่วยเหลือด้านความปลอดภัยให้แก่ครูมากขึ้น ที่สำคัญได้นำการกีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษาด้วยโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาชายแดนภาคใต้
จากการตรวจเยี่ยมนิทรรศการผลงานของโรงเรียน ทำให้เห็นว่าโรงเรียนมีจุดเด่นและได้รับรางวัลระดับภาคและระดับประเทศมากมาย แต่โรงเรียนก็ยังคงมีสภาพปัญหาบางด้าน จึงขอให้ให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) เป็นหลักในการประสานกับเขตพื้นที่การศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขึ้นพื้นฐาน โดยขอให้รวบรวมข้อมูล จัดทำ พิจารณาปรับปรุงแผนงานตามสภาพปัญหาต่างๆ ของโรงเรียน อาทิ บ้านพักครูหลายหลังที่ชำรุดทรุดโทรม เป็นต้น โดยส่วนตัวยินดีให้การสนับสนุนและพร้อมจะผลักดันขับเคลื่อนสภาพปัญหาต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะส่งผลให้โรงเรียนได้รับการพัฒนาต่อไป
โอกาสนี้ รมช.ศึกษาธิการ ได้ฝากให้ผู้บริหารและครูได้น้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" มาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ และปฏิบัติตามหลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 23 ประการ คือ
1. ศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ ศึกษาข้อมูล รายละเอียดอย่างเป็นระบบ ทั้งข้อมูลเบื้องต้นจากเอกสาร แผนที่ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และราษฎรในพื้นที่ ให้ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง
2. ระเบิดจากข้างใน สร้างความเข้มแข็งให้คนในชุมชนที่จะเข้าไปพัฒนา ให้มีสภาพพร้อมที่จะรับการพัฒนาเสียก่อน
3. แก้ปัญหาจากจุดเล็ก มองปัญหาในภาพรวม แต่การแก้ปัญหาจะเริ่มจากจุดเล็กๆคือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่คนมักจะมองข้าม
4. ทำตามลำดับขั้น การพัฒนาให้เริ่มต้นจากสิ่งที่จำเป็นที่สุดของประชาชนก่อน ได้แก่ สาธารณสุข ต่อไปจึงเป็นเรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และสิ่งจำเป็นสำหรับประกอบอาชีพ
5. ภูมิสังคม การพัฒนาใดๆ ต้องคำนึงถึงภูมิประเทศของบริเวณนั้น เช่น ดิน, น้ำ, ป่า, เขา ฯลฯ และสังคมวิทยา เช่น นิสัยใจคอของผู้คน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น
6. องค์รวม คิดอย่างองค์รวม หรือมองอย่างครบวงจร มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและแนวทางแก้ไขอย่างเชื่อมโยง
7. ไม่ติดตำรา การทำงานมีลักษณะที่อนุโลม รอมชอมกับสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สภาพสังคม จิตวิทยาของชุมชน ไม่ผูกมัดกับวิชาการและเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย
8. ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด แก้ไขปัญหาด้วยความประหยัด เรียบง่าย ราษฎรสามารถทำได้เอง หาได้ในท้องถิ่น และประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในภูมิภาคนั้นๆ
9. ทำให้ง่าย ทำสิ่งยากให้กลายเป็นง่าย ทำสิ่งที่สลับซับซ้อนให้เข้าใจง่าย
10. การมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้สาธารณชน ประชาชน หรือเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องคำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชน หรือความต้องการของสาธารณชน
11. ประโยชน์ส่วนรวม การให้เพื่อส่วนรวมนั้น ไม่ได้ให้เพื่อส่วนรวมอย่างเดียว แต่เป็นการให้เพื่อตนเอง สามารถมีส่วนรวมหรือสังคมที่จะอาศัยอยู่ได้
12. บริการที่จุดเดียว ศูนย์ศึกษาการพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นต้นแบบการบริหารรวมที่จุดเดียว เพื่อประชาชนที่จะมาใช้บริการ ได้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย โดยมีหน่วยงานส่วนราชการต่างๆ มาร่วมดำเนินการและให้บริการ ณ ที่แห่งเดียว
13. ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ หากเราต้องการแก้ไขธรรมชาติจะต้องใช้ธรรมชาติเข้าช่วยเหลือ เช่น การแก้ปัญหาป่าเสื่อมโทรม พระราชทานพระราชดำริการปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก(ต้นไม้) ปล่อยให้ธรรมชาติช่วยฟื้นฟูธรรมชาติ
14. ใช้อธรรมปราบอธรรม นำกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาเป็นหลักและแนวปฏิบัติที่สำคัญในการแก้ปัญหาและปรับปรุงสภาวะที่ไม่ปกติให้เข้าสู่ระบบที่เป็นปกติ เช่น การใช้ผักตบชวาบำบัดน้ำเสียโดยดูดซึมสิ่งสกปรกปนเปื้อนในน้ำ
15. ปลูกป่าในใจคน การที่จะพื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้กลับคืนมา จะต้องปลูกจิตสำนึกให้คนรักป่าเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดิน และรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง
16. ขาดทุนคือกำไร การเสียคือการให้ หลักการคือ "การให้" และ "การเสียสละ" เป็นการกระทำอันมีผลเป็นกำไร คือ ความอยู่ดีมีสุขของราษฎร
17. การพึ่งตนเอง การพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาเบื้องต้นด้วยการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้ประชาชนแข็งแรงพอที่จะดำรงชีวิตได้ต่อไป ขั้นต่อไปก็คือ การพัฒนาให้ประชาชนสามารถอยู่ในสังคมได้ตามสภาพแวดล้อม และสามารถ "พึ่งตนเองได้" ในที่สุด
18. พออยู่พอกิน ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่มีความยากลำบากให้สามารถอยู่ได้อย่าง "พออยู่พอกิน" เสียก่อนแล้วจึงค่อยขยับขยายให้มีขีดสมรรถนะที่ก้าวหน้าต่อไป
19. เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต เพื่อสร้างความเข็มแข็งหรือภูมิคุ้มกันทุกด้านซึ่งจะสามารถอยู่ได้อย่างสมดุล ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง ปรัชญานี้สามารถประยุกต์ใช้ทั้งระดับบุคคล องค์กร ชุมชน
20. ความซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจต่อกัน ผู้ที่มีความสุจริตและบริสุทธิ์ใจ แม้จะมีความรู้น้อย ก็ย่อมทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้มากกว่าผู้ที่มีความรู้มาก แต่ไม่มีความสุจริต ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ
21. ทำงานอย่างมีความสุข ทำงานโดยคำนึงถึงความสุขที่เกิดจากการได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น
22. ความเพียร จากตัวอย่างบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนก พระมหาชนกเพียรว่ายน้ำอยู่ 7 วัน 7 คืน แม้จะมองไม่เห็นฝั่งแต่ยังคงว่ายต่อไป ไม่จมลงจนกลายเป็นอาหารของปลา และได้รับความช่วยเหลือจนถึงฝั่งได้ในที่สุด
23. รู้-รัก-สามัคคี รู้ : การที่เราจะลงมือทำสิ่งใดนั้น จะต้องรู้เสียก่อน รู้ถึงปัจจัยทั้งหมด รู้ถึงปัญหา และรู้ถึงวิธีแก้ปัญหา, รัก : เมื่อเรารู้ครบด้วยกระบวนการแล้ว จะต้องเห็นคุณค่า เกิดศรัทธา เกิดความรักที่จะเข้าไปลงมือปฏิบัติแก้ปัญหานั้นๆ, สามัคคี : เมื่อถึงขั้นลงมือปฏิบัติต้องคำนึงเสมอว่าเราทำคนเดียวไม่ได้ ต้องร่วมมือร่วมใจกัน สามัคคีกันเป็นหมู่คณะ จึงจะเกิดพลังในการแก้ปัญหาให้ลุล่วงด้วย
ทั้งนี้ ขอให้นำหลักการทรงงาน 23 ประการดังกล่าวมาเป็นเครื่องสอนใจในการทำงาน และขอให้ช่วยกันทำงานเพื่อถวายเป็นปฏิบัติบูชาเพื่อเฉลิมพระเกียรติพร ะบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะ "พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน" ในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี 9 มิถุนายน 2559 ร่วมกันด้วย
ที่มา ; เว็บ นสพ.สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 213/2559 การประชุมขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา
จังหวัดสงขลา - พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุทัศน์ กาญจานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา อำเภอสะเดา เมื่อวันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2559 เพื่อ ประชุมขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา และตรวจเยี่ยมสถานศึกษาใน เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา อำเภอสะเดา
เวลา 10.00 น. รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดตราด รวมทั้งผู้บริหารทุกสังกัดภายในจังหวัด ตลอดจนนักวิชาการ ผู้แทนภาคประชาชน เข้าร่วมประชุม
(กรุณาติดตามสรุปข่าวส่วนนี้เพิ่มเติม)
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวในการพบปะกับครูว่า ส่วนตัวได้ทำงานในกระทรวงศึกษาธิการมากว่า 2 ปี ซึ่งยังคงมุ่งมั่นในการทำงาน มีความรัก ความผูกพัน เพราะถือว่าการศึกษาเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของการพัฒนาชีวิตคนและการพัฒนาประเทศ ซึ่งการทำงานที่ผ่านมา งานสำคัญอย่างหนึ่งที่ได้รับผิดชอบคือ การกำกับดูแลการศึกษาใน 5จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้อำเภอสะเดาจะเป็นอำเภอชายแดน ไม่ใช่เป้าหมายดังกล่าวโดยตรง แต่ก็ได้เน้นให้มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาตามจุดเน้นดังกล่าวเช่นเดียวกัน ซึ่งส่งผลให้ผลจัดการศึกษาในภาพรวมมีคุณภาพสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวหน้าที่เห็นผลเชิงประจักษ์คือ ผลสอบ O-NET ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมามาก
นอกจากจุดเน้นในการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่ให้มีคุณภาพสูงขึ้นแล้ว ต้องการให้จัดการศึกษาให้ผู้เรียนจบออกไปแล้วมีทักษะอาชีพมีงานทำ มีการจัดการศึกษาเพื่อสร้างความมั่นคง มีมาตรการในการกำกับดูแลช่วยเหลือด้านความปลอดภัยให้แก่ครูมากขึ้น ที่สำคัญได้นำการกีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษาด้วยโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาชายแดนภาคใต้
จากการตรวจเยี่ยมนิทรรศการผลงานของโรงเรียน ทำให้เห็นว่าโรงเรียนมีจุดเด่นและได้รับรางวัลระดับภาคและระดับประเทศมากมาย แต่โรงเรียนก็ยังคงมีสภาพปัญหาบางด้าน จึงขอให้ให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) เป็นหลักในการประสานกับเขตพื้นที่การศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขึ้นพื้นฐาน โดยขอให้รวบรวมข้อมูล จัดทำ พิจารณาปรับปรุงแผนงานตามสภาพปัญหาต่างๆ ของโรงเรียน อาทิ บ้านพักครูหลายหลังที่ชำรุดทรุดโทรม เป็นต้น โดยส่วนตัวยินดีให้การสนับสนุนและพร้อมจะผลักดันขับเคลื่อนสภาพปัญหาต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะส่งผลให้โรงเรียนได้รับการพัฒนาต่อไป
โอกาสนี้ รมช.ศึกษาธิการ ได้ฝากให้ผู้บริหารและครูได้น้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" มาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ และปฏิบัติตามหลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 23 ประการ คือ
1. ศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ ศึกษาข้อมูล รายละเอียดอย่างเป็นระบบ ทั้งข้อมูลเบื้องต้นจากเอกสาร แผนที่ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และราษฎรในพื้นที่ ให้ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง
2. ระเบิดจากข้างใน สร้างความเข้มแข็งให้คนในชุมชนที่จะเข้าไปพัฒนา ให้มีสภาพพร้อมที่จะรับการพัฒนาเสียก่อน
3. แก้ปัญหาจากจุดเล็ก มองปัญหาในภาพรวม แต่การแก้ปัญหาจะเริ่มจากจุดเล็กๆคือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่คนมักจะมองข้าม
4. ทำตามลำดับขั้น การพัฒนาให้เริ่มต้นจากสิ่งที่จำเป็นที่สุดของประชาชนก่อน ได้แก่ สาธารณสุข ต่อไปจึงเป็นเรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และสิ่งจำเป็นสำหรับประกอบอาชีพ
5. ภูมิสังคม การพัฒนาใดๆ ต้องคำนึงถึงภูมิประเทศของบริเวณนั้น เช่น ดิน, น้ำ, ป่า, เขา ฯลฯ และสังคมวิทยา เช่น นิสัยใจคอของผู้คน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น
6. องค์รวม คิดอย่างองค์รวม หรือมองอย่างครบวงจร มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและแนวทางแก้ไขอย่างเชื่อมโยง
7. ไม่ติดตำรา การทำงานมีลักษณะที่อนุโลม รอมชอมกับสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สภาพสังคม จิตวิทยาของชุมชน ไม่ผูกมัดกับวิชาการและเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย
8. ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด แก้ไขปัญหาด้วยความประหยัด เรียบง่าย ราษฎรสามารถทำได้เอง หาได้ในท้องถิ่น และประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในภูมิภาคนั้นๆ
9. ทำให้ง่าย ทำสิ่งยากให้กลายเป็นง่าย ทำสิ่งที่สลับซับซ้อนให้เข้าใจง่าย
10. การมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้สาธารณชน ประชาชน หรือเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องคำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชน หรือความต้องการของสาธารณชน
11. ประโยชน์ส่วนรวม การให้เพื่อส่วนรวมนั้น ไม่ได้ให้เพื่อส่วนรวมอย่างเดียว แต่เป็นการให้เพื่อตนเอง สามารถมีส่วนรวมหรือสังคมที่จะอาศัยอยู่ได้
12. บริการที่จุดเดียว ศูนย์ศึกษาการพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นต้นแบบการบริหารรวมที่จุดเดียว เพื่อประชาชนที่จะมาใช้บริการ ได้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย โดยมีหน่วยงานส่วนราชการต่างๆ มาร่วมดำเนินการและให้บริการ ณ ที่แห่งเดียว
13. ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ หากเราต้องการแก้ไขธรรมชาติจะต้องใช้ธรรมชาติเข้าช่วยเหลือ เช่น การแก้ปัญหาป่าเสื่อมโทรม พระราชทานพระราชดำริการปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก(ต้นไม้) ปล่อยให้ธรรมชาติช่วยฟื้นฟูธรรมชาติ
14. ใช้อธรรมปราบอธรรม นำกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาเป็นหลักและแนวปฏิบัติที่สำคัญในการแก้ปัญหาและปรับปรุงสภาวะที่ไม่ปกติให้เข้าสู่ระบบที่เป็นปกติ เช่น การใช้ผักตบชวาบำบัดน้ำเสียโดยดูดซึมสิ่งสกปรกปนเปื้อนในน้ำ
15. ปลูกป่าในใจคน การที่จะพื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้กลับคืนมา จะต้องปลูกจิตสำนึกให้คนรักป่าเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดิน และรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง
16. ขาดทุนคือกำไร การเสียคือการให้ หลักการคือ "การให้" และ "การเสียสละ" เป็นการกระทำอันมีผลเป็นกำไร คือ ความอยู่ดีมีสุขของราษฎร
17. การพึ่งตนเอง การพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาเบื้องต้นด้วยการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้ประชาชนแข็งแรงพอที่จะดำรงชีวิตได้ต่อไป ขั้นต่อไปก็คือ การพัฒนาให้ประชาชนสามารถอยู่ในสังคมได้ตามสภาพแวดล้อม และสามารถ "พึ่งตนเองได้" ในที่สุด
18. พออยู่พอกิน ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่มีความยากลำบากให้สามารถอยู่ได้อย่าง "พออยู่พอกิน" เสียก่อนแล้วจึงค่อยขยับขยายให้มีขีดสมรรถนะที่ก้าวหน้าต่อไป
19. เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต เพื่อสร้างความเข็มแข็งหรือภูมิคุ้มกันทุกด้านซึ่งจะสามารถอยู่ได้อย่างสมดุล ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง ปรัชญานี้สามารถประยุกต์ใช้ทั้งระดับบุคคล องค์กร ชุมชน
20. ความซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจต่อกัน ผู้ที่มีความสุจริตและบริสุทธิ์ใจ แม้จะมีความรู้น้อย ก็ย่อมทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้มากกว่าผู้ที่มีความรู้มาก แต่ไม่มีความสุจริต ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ
21. ทำงานอย่างมีความสุข ทำงานโดยคำนึงถึงความสุขที่เกิดจากการได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น
22. ความเพียร จากตัวอย่างบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนก พระมหาชนกเพียรว่ายน้ำอยู่ 7 วัน 7 คืน แม้จะมองไม่เห็นฝั่งแต่ยังคงว่ายต่อไป ไม่จมลงจนกลายเป็นอาหารของปลา และได้รับความช่วยเหลือจนถึงฝั่งได้ในที่สุด
23. รู้-รัก-สามัคคี รู้ : การที่เราจะลงมือทำสิ่งใดนั้น จะต้องรู้เสียก่อน รู้ถึงปัจจัยทั้งหมด รู้ถึงปัญหา และรู้ถึงวิธีแก้ปัญหา, รัก : เมื่อเรารู้ครบด้วยกระบวนการแล้ว จะต้องเห็นคุณค่า เกิดศรัทธา เกิดความรักที่จะเข้าไปลงมือปฏิบัติแก้ปัญหานั้นๆ, สามัคคี : เมื่อถึงขั้นลงมือปฏิบัติต้องคำนึงเสมอว่าเราทำคนเดียวไม่ได้ ต้องร่วมมือร่วมใจกัน สามัคคีกันเป็นหมู่คณะ จึงจะเกิดพลังในการแก้ปัญหาให้ลุล่วงด้วย
2. ระเบิดจากข้างใน สร้างความเข้มแข็งให้คนในชุมชนที่จะเข้าไปพัฒนา ให้มีสภาพพร้อมที่จะรับการพัฒนาเสียก่อน
3. แก้ปัญหาจากจุดเล็ก มองปัญหาในภาพรวม แต่การแก้ปัญหาจะเริ่มจากจุดเล็กๆคือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่คนมักจะมองข้าม
4. ทำตามลำดับขั้น การพัฒนาให้เริ่มต้นจากสิ่งที่จำเป็นที่สุดของประชาชนก่อน ได้แก่ สาธารณสุข ต่อไปจึงเป็นเรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และสิ่งจำเป็นสำหรับประกอบอาชีพ
5. ภูมิสังคม การพัฒนาใดๆ ต้องคำนึงถึงภูมิประเทศของบริเวณนั้น เช่น ดิน, น้ำ, ป่า, เขา ฯลฯ และสังคมวิทยา เช่น นิสัยใจคอของผู้คน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น
6. องค์รวม คิดอย่างองค์รวม หรือมองอย่างครบวงจร มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและแนวทางแก้ไขอย่างเชื่อมโยง
7. ไม่ติดตำรา การทำงานมีลักษณะที่อนุโลม รอมชอมกับสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สภาพสังคม จิตวิทยาของชุมชน ไม่ผูกมัดกับวิชาการและเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย
8. ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด แก้ไขปัญหาด้วยความประหยัด เรียบง่าย ราษฎรสามารถทำได้เอง หาได้ในท้องถิ่น และประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในภูมิภาคนั้นๆ
9. ทำให้ง่าย ทำสิ่งยากให้กลายเป็นง่าย ทำสิ่งที่สลับซับซ้อนให้เข้าใจง่าย
10. การมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้สาธารณชน ประชาชน หรือเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องคำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชน หรือความต้องการของสาธารณชน
11. ประโยชน์ส่วนรวม การให้เพื่อส่วนรวมนั้น ไม่ได้ให้เพื่อส่วนรวมอย่างเดียว แต่เป็นการให้เพื่อตนเอง สามารถมีส่วนรวมหรือสังคมที่จะอาศัยอยู่ได้
12. บริการที่จุดเดียว ศูนย์ศึกษาการพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นต้นแบบการบริหารรวมที่จุดเดียว เพื่อประชาชนที่จะมาใช้บริการ ได้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย โดยมีหน่วยงานส่วนราชการต่างๆ มาร่วมดำเนินการและให้บริการ ณ ที่แห่งเดียว
13. ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ หากเราต้องการแก้ไขธรรมชาติจะต้องใช้ธรรมชาติเข้าช่วยเหลือ เช่น การแก้ปัญหาป่าเสื่อมโทรม พระราชทานพระราชดำริการปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก(ต้นไม้) ปล่อยให้ธรรมชาติช่วยฟื้นฟูธรรมชาติ
14. ใช้อธรรมปราบอธรรม นำกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาเป็นหลักและแนวปฏิบัติที่สำคัญในการแก้ปัญหาและปรับปรุงสภาวะที่ไม่ปกติให้เข้าสู่ระบบที่เป็นปกติ เช่น การใช้ผักตบชวาบำบัดน้ำเสียโดยดูดซึมสิ่งสกปรกปนเปื้อนในน้ำ
15. ปลูกป่าในใจคน การที่จะพื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้กลับคืนมา จะต้องปลูกจิตสำนึกให้คนรักป่าเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดิน และรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง
16. ขาดทุนคือกำไร การเสียคือการให้ หลักการคือ "การให้" และ "การเสียสละ" เป็นการกระทำอันมีผลเป็นกำไร คือ ความอยู่ดีมีสุขของราษฎร
17. การพึ่งตนเอง การพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาเบื้องต้นด้วยการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้ประชาชนแข็งแรงพอที่จะดำรงชีวิตได้ต่อไป ขั้นต่อไปก็คือ การพัฒนาให้ประชาชนสามารถอยู่ในสังคมได้ตามสภาพแวดล้อม และสามารถ "พึ่งตนเองได้" ในที่สุด
18. พออยู่พอกิน ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่มีความยากลำบากให้สามารถอยู่ได้อย่าง "พออยู่พอกิน" เสียก่อนแล้วจึงค่อยขยับขยายให้มีขีดสมรรถนะที่ก้าวหน้าต่อไป
19. เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต เพื่อสร้างความเข็มแข็งหรือภูมิคุ้มกันทุกด้านซึ่งจะสามารถอยู่ได้อย่างสมดุล ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง ปรัชญานี้สามารถประยุกต์ใช้ทั้งระดับบุคคล องค์กร ชุมชน
20. ความซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจต่อกัน ผู้ที่มีความสุจริตและบริสุทธิ์ใจ แม้จะมีความรู้น้อย ก็ย่อมทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้มากกว่าผู้ที่มีความรู้มาก แต่ไม่มีความสุจริต ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ
21. ทำงานอย่างมีความสุข ทำงานโดยคำนึงถึงความสุขที่เกิดจากการได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น
22. ความเพียร จากตัวอย่างบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนก พระมหาชนกเพียรว่ายน้ำอยู่ 7 วัน 7 คืน แม้จะมองไม่เห็นฝั่งแต่ยังคงว่ายต่อไป ไม่จมลงจนกลายเป็นอาหารของปลา และได้รับความช่วยเหลือจนถึงฝั่งได้ในที่สุด
23. รู้-รัก-สามัคคี รู้ : การที่เราจะลงมือทำสิ่งใดนั้น จะต้องรู้เสียก่อน รู้ถึงปัจจัยทั้งหมด รู้ถึงปัญหา และรู้ถึงวิธีแก้ปัญหา, รัก : เมื่อเรารู้ครบด้วยกระบวนการแล้ว จะต้องเห็นคุณค่า เกิดศรัทธา เกิดความรักที่จะเข้าไปลงมือปฏิบัติแก้ปัญหานั้นๆ, สามัคคี : เมื่อถึงขั้นลงมือปฏิบัติต้องคำนึงเสมอว่าเราทำคนเดียวไม่ได้ ต้องร่วมมือร่วมใจกัน สามัคคีกันเป็นหมู่คณะ จึงจะเกิดพลังในการแก้ปัญหาให้ลุล่วงด้วย
ทั้งนี้ ขอให้นำหลักการทรงงาน 23 ประการดังกล่าวมาเป็นเครื่องสอนใจในการทำงาน และขอให้ช่วยกันทำงานเพื่อถวายเป็นปฏิบัติบูชาเพื่อเฉลิมพระเกียรติพร ะบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะ "พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน" ในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี 9 มิถุนายน 2559 ร่วมกันด้วย
ที่มา ; เว็บ นสพ.สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ
ฟรี... ติวสอบครูผู้ช่วย ติวสอบผู้บริหาร บุคลากรการศึกษา-ครูผู้ช่วย
-ผู้บริหาร-บุคลากรการศึกษา ที่
ฟรี... ติวสอบครูผู้ช่วย ติวสอบผู้บริหาร บุคลากรการศึกษา-ครูผู้ช่วย
-ผู้บริหาร-บุคลากรการศึกษา ที่
" ติวสอบดอทคอม "
" ติวสอบดอทคอม "
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น