1.ชาวเขา 9 เผ่า 999 คน เข้าถวายสักการะพระบรมศพ “ในหลวง รัชกาลที่ 9” ด้านมูลนิธิคชบาลนำช้าง 11 เชือกร่วมถวายสักการะ!
|
|
(บน) มูลนิธิคชบาลนำช้าง 11 เชือกเดินทางจาก จ.พระนครศรีอยุธยา มาถวายสักการะพระบรมศพที่พระบรมมหาราชวัง (ล่าง) ประชาชนและชาวเขา 9 เผ่า 999 คน จาก 20 จังหวัด เข้าถวายสักการะพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ 9 |
|
|
บรรยากาศการเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงมีประชาชนจากทุกสารทิศทยอยเดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 9 พ.ย. กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้นำราษฎรบนพื้นที่สูง 9 ชนเผ่า จาก 20 จังหวัด จำนวน 999 คน เดินทางมายังพระบรมมหาราชวัง เพื่อเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ รวมทั้งแสดงความอาลัยและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทั้งนี้ ก่อนหน้า 1 วัน เมื่อวันที่ 8 พ.ย. มูลนิธิคชบาลและชาวช้างกลุ่มคชสารคู่แผ่นดิน 200 คน พร้อมช้าง 11 เชือกเพศผู้ ซึ่งมีงางาม ได้เดินทางโดยรถบรรทุก 3 คันจาก จ.พระนครศรีอยุธยา มาถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยเดินทางมายังหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ก่อนแต่งองค์ทรงเครื่องให้ช้างด้วยผ้าโทนสีดำ-ขาว ขณะที่ผู้ดูแลช้าง 200 คน ก็แต่งกายในลักษณะชุดขุนศึก จากนั้นร่วมเดินขบวนกับช้างมายังบริเวณพระบรมมหาราชวัง ฝั่งประตูมณีนพรัตน์ เพื่อสักการะพระบรมศพ ทั้งนี้ ขบวนช้างและกลุ่มชาวช้างได้ยืนร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีหน้าประตูมณีนพรัตน์ จากนั้นนำช้างแปลงแถว ก่อนที่ช้างจะนั่งลงยกงวงถวายสักการะพระบรมศพ ส่วนกลุ่มชาวช้างนั่งลงกับพื้นก้มกราบหันหน้าไปทางพระบรมมหาราชวัง จากนั้นลุกขึ้นแล้วแปลงแถววน 4 ทิศ เพื่อให้ประชาชนได้ถ่ายรูป โดยช้างได้ยกขาหน้าชูงวงส่งเสียงดัง สร้างความประทับใจให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวอย่างมาก และหลังการแสดงเป็นเวลา 30 นาที ขบวนช้างและกลุ่มชาวช้างได้เดินทางกลับไปที่หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน เพื่อเดินทางกลับ จ.พระนครศรีอยุธยาต่อไป ส่วนความคืบหน้าการจัดทำมิวสิกวิดีโอเพลงสรรเสริญพระบารมีนั้น เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล พร้อมคณะ ได้เดินทางเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เพื่อรายงานการจัดทำมิวสิกวิดีโอเพลงสรรเสริญพระบารมี หลังเข้าพบ ม.จ.ชาตรีเฉลิมเผยว่า มิวสิกวิดีโอนี้ ไม่ใช่ตนทำคนเดียว แต่ประชาชนคนไทยกว่า 3 แสนคนร่วมกันทำ และถือเป็นผลงานชิ้นที่ยิ่งใหญ่ โดยจะมีการประชุมกันอีกครั้งว่าจะปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลงนี้เมื่อใด เพราะไม่อยากให้มิวสิกวิดีโอหลุดออกมาก่อน แต่อยากให้เผยแพร่พร้อมกันทั้งสื่อโทรทัศน์ โรงภาพยนตร์ รวมถึงป้ายโฆษณา พร้อมยืนยันว่า มีเวอร์ชั่นเดียว "นายกฯ ได้ชมแล้วและชอบมาก เหลือเพียงการนำกราบบังคมทูลสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ว่าจะมีพระราชวินิจฉัยออกมาอย่างไร" ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวหลังประชุม ครม.ถึงมิวสิกวิดีโอเพลงสรรเสริญพระบารมีว่า ได้รับชมแล้วถือว่าดี แต่สิ่งสำคัญคือ จะต้องนำกราบบังคมทูลขอพระราชวินิจฉัยจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องจากมีการนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมาถ่ายทอดด้วย ทั้งนี้ พระองค์จะทรงพิจารณาความเหมาะสมว่าจะเผยแพร่ได้ในช่วงใด ด้านนายทวี นริสศิริกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี รวมถึง อบต. กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ได้เตรียมประกอบพิธีบวงสรวงไม้จันทน์หอม 4 ต้น จาก 19 ต้น ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ในวันที่ 14 พ.ย.นี้ เวลา 14.09-14.39 น. เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขณะที่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด หรือ ปณท. ได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนขอรับบัตรภาพผนึกตราไปรษณียากรพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 7-30 พ.ย.นี้ ซึ่งหากมีประชาชนลงทะเบียนมากกว่า 9,999,999 คน ไปรษณีย์ไทยจะดำเนินการจัดให้ทุกคนที่ลงทะเบียน โดยสามารถลงทะเบียนได้ที่ www.stamprama9.thailandpost.com พร้อมขอให้เชื่อมั่นในระบบรักษาความปลอดภัย รวมถึงดูแลข้อมูลส่วนตัวประชาชนทุกคนที่ลงทะเบียน สำหรับผู้ที่ไม่มีคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเพื่อลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ดังกล่าว สามารถลงทะเบียนได้ที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่งทั่วประเทศ 2. “บิ๊กตู่” ทูลเกล้าฯ ร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ยันทำตามกรอบเวลา ด้าน “วิษณุ” เผย จะโปรดเกล้าฯ เมื่อใด อยู่ในพระราชวินิจฉัย 90 วัน!
|
|
(ซ้าย) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. (ขวา) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี |
|
|
ความคืบหน้าการทูลเกล้าฯ ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 8 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เผยว่า “วันนี้ผมได้ลงนามไปเรียบร้อยแล้ว เพื่อนำขึ้นกราบบังคมทูลต่อไป และจากนี้เป็นไปตามกรอบเวลาที่มีอยู่ 90 วัน สำหรับผมมีกำหนดครบในวันนี้ 8 พ.ย. ถือว่าเป็นไปตามขั้นตอน และกรอบเวลาที่ต้องทูลเกล้าฯ ภายใน 30 วัน” ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เผยวันต่อมา(9 พ.ย.) ว่า ได้มีการนำร่างรัฐธรรมนูญทูลเกล้าฯ แล้ว โดยส่งไปยังสำนักราชเลขาธิการภายในกรอบ 30 วันตามที่รัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 ระบุไว้ จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการที่อยู่ในพระราชอำนาจ 90 วัน สิ้นสุดต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ส่วนจะโปรดเกล้าฯ เมื่อใดนั้นแล้วแต่พระราชวินิจฉัย นายวิษณุ กล่าวด้วยว่า ไม่ได้กังวลเรื่องคำปรารภในร่างรัฐธรรมนูญ เพราะได้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความแล้ว แต่ส่วนที่ต้องเว้นไว้เติมนั้นมี 2 เรื่องคือ 1.เรื่องศุภมัสดุหรือคำเริ่มต้นของเวลา โดยเรื่องนี้เว้นไว้ 2 บรรทัด 2.การเว้นสำหรับพระปรมาภิไธยหรือพระนาม ประมาณ 1 บรรทัด จะโปรดให้ใช้อย่างไร ซึ่ง 2 เรื่องที่เว้นเอาไว้ เพราะต้องรอพระราชวินิจฉัย ซึ่งเป็นเรื่องของแบบรัฐธรรมนูญทุกฉบับ รวมถึงพระราชบัญญัติหลังผ่านสภาฯ ซึ่งไม่ได้เป็นปัญหา และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่าทำได้ โดยให้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) นำส่วนที่เหลือไปเติมทีหลัง 3. ครม.ไฟเขียวงบ 1.8 หมื่นล้านช่วยข้าวเจ้า-ข้าวหอมปทุมฯ พร้อมอุ้มข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ต้องซื้อในประเทศ 3 ต่อ 1 แลกนำเข้าข้าวสาลี! >
|
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว(นบข.) เสนอโครงการสินเชื่อเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2559/2560 ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงว่า ในส่วนของข้าวเปลือกเจ้าและข้าวปทุมธานี มีเป้าหมายดำเนินการรวม 1 ล้านตัน โดยข้าวเปลือกเจ้า เกษตรกรจะได้รับเงินทั้งหมด 10,500 บาท/ตัน แบ่งเป็นวงเงินสินเชื่อ 7,000 บาท/ตัน ค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว 2,000 บาท/ตัน และค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกในยุ้งฉาง 1,500 บาท/ตัน ขณะที่ข้าวปทุมธานี เกษตรกรจะได้รับเงินทั้งสิ้น 11,300 บาท/ตัน แบ่งเป็นวงเงินสินเชื่อ 7,800 บาท/ตัน ค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว 2,000 บาท/ตัน และค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกในยุ้งฉาง 1,500 บาท/ตัน เพื่อดูแลราคาข้าวให้แก่เกษตรกร สำหรับวงเงินดำเนินการรวมทั้งสิ้น 18,041 ล้านบาท และงบประมาณที่ต้องจ่ายขาด 10,945 ล้านบาท ได้แก่ ค่าเตรียมข้าวขึ้นยุ้งฉางและค่าฝากเก็บ 1,500 ล้านบาท ค่าชดเชยต้นทุนเงิน 331 ล้านบาท ค่าบริหารจัดการ 78 ล้านบาท และช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว 9,034 ล้านบาท นอกจากนี้ ครม.ยังมีมติให้มีการนำเข้าวัตถุดิบอื่นเพื่อทดแทนการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ให้มีการนำเข้าข้าวสาลีเพื่อเลี้ยงสัตว์ ต้องขออนุญาตและกำหนดการนำเข้าข้าวสาลีต่อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอัตรา 1 ต่อ 3 คือ หากต้องนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน จะต้องซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ 3 เท่า ในราคาหน้าโรงงานที่กิโลกรัมละ 8 บาท สำหรับปริมาณความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อยู่ที่ 7-8 ล้านตัน แต่ไทยสามารถปลูกได้เพียง 4-4.5 ล้านตัน ทำให้ต้องนำเข้าข้าวสาลีเพื่อมาทดแทนจำนวนมาก โดยปี 2558 มีการนำเข้าข้าวสาลีประมาณ 3.5 ล้านตัน ขณะที่ 9 เดือนแรกของปีนี้ มีการนำเข้าถึง 2.77 ล้านตัน ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงมาตรการแก้ปัญหาราคาข้าวโพดว่า ที่ประชุม ครม.กำลังหามาตรการที่เหมาะสม โดยสัปดาห์หน้าจะนำเข้าที่ประชุม ครม.อีกครั้ง เพราะต้องพูดถึงเรื่องโควต้าต่างๆ ด้วย ซึ่งราคาข้าวโพดที่ตกต่ำมีผลต่อผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ด้วย ดังนั้นต้องดูให้ครบทุกมาตรการทุกปัจจัย ทั้งภายในและภายนอก 4. อัยการเลื่อนสั่งคดี “ธัมมชโย” กับพวก คดีฟอกเงิน-รับของโจร เป็นครั้งที่ 5 อ้างยังรอผลสอบเพิ่มจากดีเอสไอ ด้าน “บิ๊กต๊อก” เผย ดีเอสไอยันส่งฟ้องได้แล้ว!
|
|
(ซ้าย) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ขวา) พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย |
|
|
เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด คณะทำงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้มีคำสั่งเลื่อนการสั่งคดีว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด และพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พร้อมพวกรวม 5 คน ในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน และรับของโจรจากกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ โดยอ้างว่าต้องรอผลการสอบสวนเพิ่มเติมที่ครบถ้วนจากพนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พร้อมนัดฟังคำสั่งครั้งต่อไปในวันที่ 30 พ.ย. เวลา 09.30 น. เป็นที่น่าสังเกตว่า การเลื่อนสั่งคดีฟอกเงิน-รับของโจรของอัยการครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 5 แล้ว นับตั้งแต่พนักงานอัยการได้รับสำนวนการสอบสวนจากดีเอสไอ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2559 โดยขณะนี้นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ผู้ต้องหาที่ 1 ยังคงถูกคุมขังในเรือนจำฯ ในคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯ สำนวนแรก ซึ่งถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 8 กระทง รวม 32 ปี ขณะที่พระธัมมชโย ผู้ต้องหาที่ 2 และนางศศิธร โชคประสิทธิ์ ผู้ต้องหาที่ 5 ถูกออกหมายจับและยังติดตามตัวมาไม่ได้ ส่วนนางศรัญญา มานหมัด และนางทองพิน กันล้อม ผู้ต้องหาที่ 3-4 ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว และเดินทางมารายงานตัวต่ออัยการตามนัด ด้าน พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่อัยการเลื่อนสั่งคดีพระธัมมชโยและนายศุภชัยกับพวกกรณีฟอกเงินและรับของโจร ซึ่งอัยการระบุว่ารอผลสอบเพิ่มเติมจากดีเอสไอว่า ได้สอบถามไปยัง พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอแล้ว ได้รับรายงานว่า ในส่วนของดีเอสไอเรียบร้อยแล้ว ประเด็นใหญ่ที่เป็นประเด็นหลัก สามารถสั่งฟ้องได้แล้ว "ประเด็นใหญ่ที่มันเป็นประเด็นที่จะนำไปสู่การฟ้องศาลครบถ้วนหมดแล้ว แต่ถ้าจะไปมองเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มนิดเพิ่มหน่อย มันไม่ใช่ปัจจัยหลักของข้อมูลที่จะต้องมีหรือไม่มีก็ได้ ซึ่งสามารถไปว่ากันในชั้นศาลได้ ซึ่งเขาตอบผมมาอย่างนี้" ผู้สื่อข่าวถามว่า สังคมมองว่าอาจเป็นการถ่วงเวลา พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ไม่ทราบ จะให้ไปพูดได้อย่างไรว่าใครถ่วง พล.อ.ไพบูลย์ ย้อนถามผู้สื่อข่าวด้วยว่า สรุปแล้วใครถ่วง พนักงานสอบสวนหรืออัยการถ่วง ตนเป็นรัฐมนตรีก็มีหน้าที่คุมแค่นโยบาย ซึ่งก็ได้เรียกอธิบดีดีเอสไอมาสอบถามแล้ว ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.อ.ไพบูลย์อีกครั้งในวันต่อมา(8 พ.ย.) ว่า หลายฝ่ายกังวลว่า จะเหมือนเมื่อหลายปีก่อนที่อัยการถอนฟ้องคดีพระธัมมชโย คือเกิดความไม่มั่นใจในตัวอัยการ พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า “ใครไม่มั่นใจ คุณกำลังจะบอกว่าจะมีการใช้อำนาจของอัยการสูงสุดในการที่จะไม่ส่งฟ้องหรือ ผมว่าสังคมมองได้ แต่ที่ผ่านมา ไม่ได้ถอนฟ้องในฐานะที่ไม่มีความผิด แต่กลัวฟ้องแล้วเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเรียบร้อย คุณก็ต้องไปถามอัยการสูงสุดเอาเอง ไม่ใช่ถามผม เพราะเป็นการใช้อำนาจเฉพาะตัวโดยตำแหน่ง ถ้าถามประเด็นนี้ ผมคงตอบไม่ได้” เมื่อถามว่า ที่พูดแบบนี้แปลว่าทางอัยการแจ้งมากับทางดีเอสไอหรือไม่ว่า ถ้าฟ้องแล้ว จะมีปัญหาตามมา พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า “ไม่มี ไม่ทราบ ผมไม่ได้ถามประเด็นนี้ว่าเขาแจ้งมาหรือไม่” 5. รัฐบาลต่ออายุรถเมล์-รถไฟฟรีอีก 6 เดือน พร้อมเผยเมื่อสิ้นสุดรอบนี้ จะให้ผู้มีรายได้น้อยเท่านั้นได้ใช้บริการฟรี!
|
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ในการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่ 1 พ.ย. 2559 - 30 เม.ย. 2560 คิดเป็นวงเงินชดเชยรวมทั้งสิ้น 2,268 ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณไปพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวต่อไป สำหรับมาตรการลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการเดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา (รถร้อน) จำนวน 800 คัน/วัน ใน 73 เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน 1,783 ล้านบาท ส่วนมาตรการลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการเดินทางโดยรถไฟชั้น 3 ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายจัดรถไฟชั้น 3 เชิงสังคม จำนวน 152 ขบวน/วัน และรถไฟชั้น 3 ระยะทางไกลในขบวนเชิงพาณิชย์ จำนวน 8 ขบวน/วัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงินจำนวน 585 ล้านบาท พร้อมขอให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการนำระบบตั๋วร่วมมาใช้ในการเชื่อมการเดินทางสาธารณะของประชาชนอย่างครบวงจรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว นายณัฐพรเผยด้วยว่า รัฐบาลคาดหวังว่าในอนาคตจะให้สิทธิประโยชน์ด้านการเดินทางนี้เฉพาะกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย โดยระหว่างนี้กรมสรรพากรกำลังตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยอยู่ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย.นี้ และกระทรวงคมนาคมจะได้ออกบัตรให้แก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย เพื่อจะได้มาใช้สวัสดิการเหล่านี้ โดยเมื่อสิ้นสุดการต่ออายุมาตรการในรอบนี้ ตั้งแต่ พ.ค. 2560 เป็นต้นไป จะเริ่มให้ใช้บัตรผู้มีรายได้น้อยได้ “ที่ผ่านมาแต่ละรัฐบาลได้มีการต่ออายุโครงการรถเมล์-รถไฟฟรี ไปแล้ว 20 ครั้ง โดยล่าสุดเป็นครั้งที่ 21 ซึ่งหวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีโครงการนี้แล้ว เพราะจุดประสงค์คือต้องการโฟกัสไปยังคนที่จนจริงๆ ไม่ใช่ใครก็ขึ้นได้หมด” 6. คปพ.แถลงจี้นายกฯ-สนช.ยับยั้ง 2 ร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียมของ ก.พลังงาน 14 พ.ย.นี้ เหตุร่างไม่สมบูรณ์-เปิดช่องทุจริต!
|
|
แกนนำเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย(คปพ.) แถลงเรียกร้องนายกฯ และ สนช.ยับยั้งร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และร่าง พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม เพราะร่างไม่สมบูรณ์ เปิดช่องให้มีการทุจริต |
|
|
เมื่อวันที่ 11 พ.ย. แกนนำเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย(คปพ.) ได้แถลงเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พิจารณายับยั้งร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และร่าง พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียมที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐและประชาชนอย่างแท้จริง เนื่องจากวันที่ 14 พ.ย.นี้ จะมีการลงมติของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับว่าจะแก้ไขหลักการหรือไม่ ซึ่ง คปพ.ต้องการให้ตีกลับมาเพื่อแก้ไขหลักการเสียก่อน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำ คปพ. กล่าวว่า“คปพ.มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ต้องแถลงข่าวครั้งนี้ เราตระหนักดีว่าขณะนี้อยู่ในช่วงประชาชนต่างโศกเศร้าและร่วมไว้อาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แต่ สนช.กลับใช้โอกาสนี้เดินหน้ากฎหมายที่เป็นปัญหาโดยไม่ฟังเสียงประชาชน เราเองได้ยื่นจดหมายโดยไม่เป็นข่าวในการท้วงติง หากปล่อยไปไม่อาจกลับมาแก้ไข เพราะเราพบว่าร่างกฎหมายที่กระทรวงพลังงานเสนอถูกร่างมาอย่างไม่สมบูรณ์ มีช่องโหว่ และไม่เป็นไปตามรายงานผลการศึกษาของ สนช. แต่อย่างใด ดังนั้นจึงสมควรถอนกฎหมายนี้ออกจาก สนช.เพื่อแก้ไขให้สมบูรณ์ก่อน เพราะมูลค่าของก๊าซในอ่าวไทยนั้นคิดเป็น 4-5 แสนล้านบาท” นายปานเทพยังได้เรียกร้องให้การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)วันที่ 15 พ.ย.นี้ มีการรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการคืนท่อก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ให้สาธารณชนรับทราบ เนื่องจากก่อนหน้านี้ทราบมาว่า ครม.มีวาระลับกำหนดให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และกระทรวงการคลังเร่งหาข้อยุติดังกล่าวให้เสร็จตั้งแต่ 24 ต.ค. ซึ่งถือว่าเกินกำหนดแล้ว หากไม่มีการพิจารณาเรื่องนี้จะถือว่า ครม.ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ด้าน ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี แกนนำ คปพ.กล่าวว่า ที่ผ่านมา ทั้งตนและ คปพ.ได้มีการยื่นหนังสือคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียมฯ ทั้ง 2 ฉบับมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการท้วงติง แต่กระทรวงพลังงานก็ยังคงผลักดันร่างดังกล่าว โดยพบว่ายังไม่โปร่งใส ยังคงยึดหลักแนวทางปฏิบัติไม่ต่างจากกฎหมายสัมปทานเดิมที่การพิจารณามีการใช้ดุลพินิจเปิดโอกาสให้เกิดการทุจริต ซึ่งจะเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาอยู่นั้น ล่าช้าก็เพราะรู้ดีว่ามีช่องโหว่ และไม่เป็นไปตามที่ภาคประชาชนเรียกร้อง ขณะที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล แกนนำ คปพ.กล่าวว่า คปพ.เห็นความจำเป็นที่ต้องเร่งรัดบริหารจัดการแหล่งเอราวัณ-บงกชที่จะหมดอายุสัมปทานปี 2565-2566 แต่จำเป็นจะต้องใช้กฏหมายที่มีความสมบูรณ์ และสิ่งที่น่าห่วงที่สุดคือ กฎหมายที่กำลังพิจารณาฯ ไม่มีการแก้ไข โดยยังคงมีจุดอ่อนเปิดช่องทุจริต และฟอกเงิน เพราะการพิจารณาให้สิทธิแก่เอกชนยังคงใช้หลักดุลพินิจของราชการเป็นหลัก ซึ่งบางกรณีนำไปสู่การฟอกเงิน ตนได้ยืนเรื่องไปที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว และกำลังให้ข้อมูลอยู่ ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล แกนนำ คปพ.กล่าวว่า การเร่งพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตามที่กระทรวงพลังงานหารือกับประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียมให้เสร็จภายใน ธ.ค.นี้ มองได้ว่าเป็นการมองผลประโยชน์เอกชนเป็นหลัก และเป็นการต่ออายุสัมปทานเดิมที่จะหมดลงมากกว่า ขณะเดียวกันเรื่องท่อก๊าซฯ ก็ต้องเร่งพิจารณา ที่ผ่านมากลับนิ่งเฉยทั้งที่กฤษฎีกาตีความแล้วว่าท่อต้องคืนทั้งระบบ คืนแค่ส่วนหนึ่งส่วนใดไม่ได้ “เราเตือนท่านแล้ว ถ้ากฎหมาย 2 ฉบับผ่านไป วันนี้ท่านอาจจะมีอำนาจ แต่วันใดที่ท่านหมดอำนาจลง สิ่งเหล่านี้จะตามท่านไปแน่นอน” 7. “โดนัลด์ ทรัมป์” ช็อกโลก คว้าชัยนั่ง ปธน.สหรัฐฯ คนใหม่ ขณะที่กระแสไม่พอใจลามทั่วสหรัฐฯ ด้าน "บิ๊กตู่" ยันไทยตั้งรับนโยบายสหรัฐฯ นานแล้ว!
|
|
(บนซ้าย) โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน คว้าชัยได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ (บนขวา) การประท้วงของกลุ่มผู้ไม่พอใจทรัมป์ (ล่าง) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. |
|
|
เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ได้เกิดเหตุการณ์ช็อกโลก เมื่อนายโดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ วัย 70 ปี ตัวแทนพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นนักธุรกิจและดารารายการเรียลิตี้ทางโทรทัศน์ที่ไม่เคยดำรงตำแหน่งทางราชการมาก่อน สามารถคว้าชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เอาชนะนางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนพรรคเดโมแครต แบบเหนือความคาดหมาย ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 ได้สำเร็จ สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ไม่ใช่การลงคะแนนกาเบอร์เลือกนายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน หรือนางฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต โดยตรง แต่เป็นการลงคะแนนให้ "คณะผู้เลือกตั้ง" ที่แต่ละพรรคแต่งตั้งมา ไปทำหน้าที่โหวตรับรองประธานาธิบดีแทนประชาชนในวันที่ 19 ธ.ค. ซึ่งในแต่ละรัฐ จะมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร หากพรรคใดครองรัฐที่มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้งสูงย่อมมีโอกาสชนะมากกว่า หากผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใดได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งเกิน 270 เสียงถือว่าได้รับชัยชนะ โดยผลสรุปคะแนนคณะผู้เลือกตั้งเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ระบุว่า ทรัมป์ได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งไปอย่างถล่มทลาย โดยเบื้องต้นได้ไปทั้งสิ้น 290 เสียง ขณะที่นางฮิลลารี คลินตัน ได้ 232 เสียง ทั้งนี้ ทรัมป์จะเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค.2560 เป็นที่น่าสังเกตว่า ชัยชนะของทรัมป์ มหาเศรษฐีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครั้งนี้ ก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย ทำตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงกันระนาว และยังสร้างความกังขาต่อระเบียบโลกที่สหรัฐฯ เป็นผู้นำมาโดยตลอดด้วย ขณะที่ทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะต่อหน้ากลุ่มผู้สนับสนุนตอนหนึ่งว่า “ตอนนี้ถึงเวลาที่อเมริกาต้องสมานรอยร้าวที่แตกแยก... ผมขอให้สัญญากับพลเมืองทั้งหมดในดินแดนของเราว่า ผมจะเป็นประธานาธิบดีของชาวอเมริกันทุกคน” ทรัมป์ยังกล่าวด้วยว่า “นางฮิลลารี ทำงานหนักมาอย่างยาวนานตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา และเราเป็นหนี้เธออย่างมหาศาลสำหรับการรับใช้ประเทศชาติของเธอ” ด้านนางฮิลลารี คลินตัน แถลงข่าวหลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งให้แก่ทรัมป์ตอนหนึ่งว่า “เสียใจที่ไม่ชนะการเลือกตั้ง... แต่ก็รู้สึกภูมิใจและขอบคุณ เพราะทุกคนได้สะท้อนถึงสิ่งที่ดีที่สุดของอเมริกา” และว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะทำให้เห็นว่า มีความแตกแยกร้าวลึกในประเทศนี้มากกว่าที่คิด แต่ทุกคนต้องเปิดใจและให้โอกาสทรัมป์ในการทำหน้าที่ผู้นำประเทศ ซึ่งเธอก็พร้อมจะทำงานร่วมกับทรัมป์และหวังว่า ทรัมป์จะเป็นประธานาธิบดีที่ประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ผู้นำ เป็นที่น่าสังเกตว่า หลายฝ่ายกังวลกับสิ่งที่ทรัมป์เคยกล่าวไว้ในช่วงหาเสียง ซึ่งเขาให้สัญญาว่า จะเนรเทศผู้อพยพที่เข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย สั่งห้ามชาวมุสลิมเข้าประเทศ และฉีกข้อตกลงการค้าเสรีหลายฉบับทิ้ง อย่างไรก็ตาม ภายหลัง สื่ออังกฤษรายงานว่า แถลงการณ์ของทรัมป์เกี่ยวกับการห้ามชาวมุสลิมเข้าประเทศที่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของทรัมป์ ได้ถูกลบหายไปจากเว็บไซต์แล้ว อย่างไรก็ตาม กระแสความไม่พอใจชัยชนะของทรัมป์ในสหรัฐฯ เริ่มลุกลามบานปลาย หลังมีการประท้วงทั่วประเทศ เช่น ที่นิวยอร์กจนถึงชิคาโก ผู้ประท้วงหลายพันคนได้ออกมาแสดงพลังต่อต้านทรัมป์โดยพุ่งเป้าไปที่อาคารต่างๆ ที่ทรัมป์เป็นเจ้าของ ส่วนที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส กลุ่มผู้ประท้วงได้ปิดไฮเวย์ ขณะที่นักเรียนได้เผาธงชาติสหรัฐฯ ในมหาวิทยาลัยอเมริกันที่วิสคอนซิน สำหรับท่าทีของบุคคลสำคัญต่อการก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขอทรัมป์ครั้งนี้ ได้แก่ นายพอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล ชี้ว่า เศรษฐกิจโลกไม่มีทางดีขึ้น เพราะการปล่อยให้คนที่ไม่มีความรับผิดชอบและเต็มไปด้วยความโง่เขลา ซึ่งฟังแต่คนผิด มารับผิดชอบประเทศที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกมากที่สุด ถือเป็นข่าวร้าย แต่สิ่งที่ทำให้ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกคือ พื้นฐานของเศรษฐกิจโลกส่วนใหญ่ในขณะนี้ยังคงเปราะบาง แม้จะผ่านช่วงวิกฤตของเศรษฐกิจโลกมาแล้วถึง 8 ปี ขณะที่ในส่วนของไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้กล่าวก่อนหน้าทราบผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า ไม่ว่าใครจะดำรงตำแหน่ง ประเทศไทยยืนยันที่จะปฏิบัติตามหน้าที่ และปฏิบัติร่วมกับประชาคมโลกทุกประเทศด้วยความภาคภูมิใจในความเป็นไทย และจะต้องทำให้ทุกประเทศยอมรับประเทศไทยให้ได้ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกครั้งหลังทราบผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยยืนยันว่ารัฐบาลได้เตรียมการรองรับนโยบายของสหรัฐฯ ไว้นานแล้ว และว่า ต้องไปดูสิ่งที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่พูดถึงนโยบายไว้ ซึ่งหลักๆ มี 4 ข้อ รวมถึงมีรายละเอียดปลีกย่อยพอสมควร เตรียมมาตรการเหล่านี้อยู่ เพราะไปบังคับใครไม่ได้ ถ้าเขาจะทำแบบนั้นจะทำอย่างไร แต่รัฐบาลเองได้ตั้งหลักมานานพอสมควรแล้ว ด้านนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ว่า “ผลกระทบต่อไทยที่จะเห็นได้ชัดคือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้นโยบายกีดกันและโดดเดี่ยวตัวเอง ทั้งการตั้งกำแพงภาษีนำเข้า เพิ่มมาตรการด้านสุขอนามัย เพิ่มมาตรฐานด้านอุตสาหกรรม ออกกฎหมายให้ใช้สินค้าผลิตในประเทศ ย่อมกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่จะมากน้อยแค่ไหน คงต้องติดตามระยะกลางและระยะยาว” เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 10 พ.ย. นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ได้ส่งจดหมายแสดงความยินดีต่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วย โดยระบุว่า “ผมมีความปีติอย่างยิ่งที่จะแสดงความยินดีกับชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ในการเลือกตั้งของคุณ และขออวยพรให้คุณประสบความสำเร็จในการดำรงตำแหน่งสูงสุด ผมแน่ใจว่า ด้วยความรู้อย่างลึกซึ้งในด้านการทำธุรกิจและความเป็นไปในโลก คุณจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญและทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง... ผมเชื่อว่าภายใต้ความเป็นผู้นำที่มีความสามารถและแนวทางของคุณ ความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างประเทศไทยอันเป็นที่รักของผมและสหรัฐฯ จะแนบแน่นลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม... พวกเราในประเทศไทยเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อที่จะได้ร่วมงานกับฝ่ายบริหารของคุณอย่างใกล้ขิดในช่วงเวลาไม่กี่ปีข้างหน้านี้” |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น