หน้าหลัก ติวสอบดอทคอม เว็บฟรีข้อสอบออนไลน์

หน้าหลัก ติวสอบดอทคอม เว็บฟรีข้อสอบออนไลน์
หน้าหลัก ติวสอบดอทคอม เว็บฟรีข้อสอบออนไลน์

คู่มือ ติวสอบครูผู้ช่วย ปี 2566 ครบ ภาค กขค

คู่มือ ติวสอบครูผู้ช่วย ปี 2566 ครบ ภาค กขค
คู่มือ ติวสอบครูผู้ช่วย ปี 2566 ครบ ภาค กขค

คลิ๊ก "สมัครพัฒนาความรู้สู่ผู้บริหาร / ครูผู้ช่วย

คลิ๊ก... สมัคร พัฒนาความรู้ สู่ ครูผู้ช่วย
คลิ๊ก... สมัคร พัฒนาความรู้ สู่ ผู้บริหาร

ติวสอบดอทคอม (เตรียมสอบครูผู้ช่วย-ผู้บริหาร-บุคลากร การศึกษา)

ติวสอบดอทคอม (เตรียมสอบครูผู้ช่วย-ผู้บริหาร-บุคลากร การศึกษา)
ติวสอบดอทคอม (เว็บฟรีข้อสอบออนไลน์ สอบครู ผู้บริหาร บุคลากร)

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2561

อ่านชัด-อ่านครบ กด ดูเวอร์ชั่นสำหรับเว็บ (ด้านล่าง)

เรื่องใหม่น่าสนใจ  (ทั้งหมด ที่ )


(เนื้อหา-ข้อสอบ 1,000 ชุุด หมื่นข้อ ภาค กข


40 วิชาเอก) ที่ ห้องสอบด้านขวา หรือ 


เว็บฟรีข้อสอบ 1,000 ชุด ที่ ติวสอบดอทคอม คลิ๊ก www.tuewsob.com โดย อ.นิกร

 คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้   


ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2561

title
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2561 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
เมื่อต้นสัปดาห์นี้ เราทุกคนคงได้เห็น ได้ชื่นชม “ธงชาติไทย” โบกสะบัดเหนือธงชาติอื่นอีกครั้ง ด้วยความสำเร็จสูงสุดในชีวิตของ “น้องมิลค์” ด.ญ.วัลยา วรรณพงษ์ วัย 11 ปี ในการชนะเลิศอันดับ 1 จากการแข่งขัน World Drone Racing Championships ประเภทหญิง ที่ประเทศจีน โดยสามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอายุมากกว่า หลายร้อยรายจากทั่วโลก  นับว่าเป็น“แชมป์โลก โดรน” อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ซึ่งก็เป็นลูกหลานไทยของเรา ทั้งนี้การแข่งขันบังคับโดรน หากใครได้ติดตามก็จะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะแข่งขันเรื่องความเร็วแล้ว ยังต้องบังคับทิศทางหลบหลีกสิ่งกีดขวาง  ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยทักษะและสมาธิสูงในระหว่างการแข่งขัน รวมทั้งต้องมีการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และการสนับสนุนจากครอบครัวเป็นสำคัญ

สิ่งที่ผมประทับใจในตัว “น้องมิลค์” นอกเหนือจากชัยชนะในครั้งนี้แล้ว ยังมีอีกหลายประการ อาทิ ความมีวินัยและรู้จักแบ่งเวลาเรียน เวลาฝึกซ้อม ทั้งการซ้อมตอนเย็นหลังจากทำการบ้านเสร็จ ทั้งการซ้อมอย่างต่อเนื่องในช่วงปิดเทอม การมองไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น และมีเป้าหมายที่ชัดเจน แล้ววางแผนการปฏิบัติ การฝึกฝน การแข่งขันเพื่อจะพิชิตความฝันที่จะเป็นแชมป์โลกในทุกสนาม ที่น่าสนใจก็คือ การให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ คุณสมบัติเหล่านี้ ผมถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายกย่องสำหรับตัวเยาวชนเอง และผู้ปกครองที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จด้วยเช่นกัน

จากเรื่องราวของ “สาวน้อยมหัศจรรย์ - น้องมิลค์” นี้ ผมขอเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนชาวไทย แสดงความชื่นชมในความสามารถ และความสำเร็จครั้งนี้  โดยขอให้รักษาระดับมาตรฐานของตน พร้อมทั้งมีการพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ ผมคิดว่า “น้องมิลค์” น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลายคนที่กำลังพยายามทำอะไรอยู่ก็ตาม อย่าให้ความท้อแท้มาเป็นอุปสรรคของชีวิต เพราะไม่มีอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่เราต้องลงมือทำ ต้องค้นคว้าหาความรู้ ต้องมีแผนการและดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน นอกจากนี้ เราต้องอย่าหยุดยั้งที่จะพัฒนาตนเอง เพราะ ชีวิตคือการเรียนรู้นะครับ
 
พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ
จากเรื่องราวความสำเร็จที่กล่าวมา วันนี้ผมมีเรื่องที่จะพูดคุยกับพี่น้องประชาชน 2 เรื่อง ที่มีความเชื่อมโยงกันได้แก่ การศึกษาและวิทยาศาสตร์ เพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และประเทศชาติ 
เรื่องแรก “การศึกษา” เราอาจมองปัญหาได้ในหลายมิติ อาทิ ผู้เรียน ผู้สอน ผู้บริหาร และสถานศึกษา ซึ่งหมายรวมถึงหลักสูตรและโครงสร้างพื้นฐานด้วย ซึ่งก็เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง สะสมมานานนับสิบปี ที่รอการปฏิรูปทั้งระบบอย่างเป็นรูปธรรม  โดยอยู่ระหว่างการดำเนินการในลักษณะแผนแม่บทระยะยาว แต่ในวันนี้ผมขอยกบางส่วนที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ก่อน เพื่อแก้ไขปัญหา “โรงเรียนขนาดเล็ก” ที่มีนักเรียนต่ำกว่า 50 คน โดยเฉพาะระดับประถมศึกษานั้นได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนครูเฉลี่ยต่ำกว่า 1 คนต่อห้องเรียน พูดง่าย ๆ ก็คือ โรงเรียนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีครูไม่ครบชั้นหรือครู 1 คน ต้องรับภาระการสอนในหลายชั้นและหลายวิชา ส่งผลทางลบเรื่องคุณภาพการศึกษาต่อเด็กนักเรียน อีกทั้ง โรงเรียนที่อยู่ในท้องถิ่นชนบทห่างไกล นักเรียนส่วนใหญ่ก็ขาดโอกาสในการได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่มีคุณภาพ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

ดังนั้น รัฐบาลจึงมีนโยบาย “1 ตำบล 1 โรงเรียนคุณภาพ” ที่เน้นการพัฒนาโรงเรียนเหล่านั้นให้มีคุณภาพ และได้มาตรฐานตามบริบทของตนเอง สร้างความเท่าเทียมให้ครอบคลุม ทั่วประเทศ เพื่อจะลดความเหลื่อมล้ำด้านการจัดการศึกษาของประเทศ เป็นการสร้างโรงเรียนให้มีความพร้อมในการจัดการเรียนการสอน มีอุปกรณ์ครบครันและมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อการเรียนรู้ มีผู้บริหารและครูที่มีประสิทธิภาพ และทุกภาคมีส่วนร่วมในการสนับสนุนซึ่งถือเป็นหลักประกันให้กับชุมชนว่า โรงเรียนคุณภาพเหล่านี้ จะต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้ลูกหลานได้รับความรู้ กระบวนการ และทักษะ ที่จำเป็นต่อการธำรงตน ดำรงชีวิต ในการเป็นพลเมืองไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

โดยในปีงบประมาณ 2562 จะเริ่มดำเนินการขับเคลื่อนโรงเรียนระดับประถมศึกษาในระดับตำบลก่อน แล้วพัฒนาไปสู่โรงเรียนมัธยมศึกษา ในระดับอำเภอ และโรงเรียนพื้นที่พิเศษตามลำดับ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการพัฒนาระบบการศึกษาไทยเชิงระบบอย่างแท้จริง ไม่ต้องคอยนะครับ ช่วยกันทำต่อ ๆ ไปก็จะเร็วขึ้น นโยบาย “1 ตำบล 1 โรงเรียนคุณภาพ”หรือ “โรงเรียนคุณภาพประจำตำบล” นี้ ก็จะทำให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางในชุมชน หรือเป็นแหล่งการเรียนรู้ของชุมชน  สร้างโอกาสให้นักเรียนในพื้นที่ได้เข้ามาพัฒนาตนเองอย่างเต็มที่ ให้ชุมชนได้มีส่วนร่วม และเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาในการพัฒนาคุณภาพของโรงเรียน มีความเชื่อมั่นที่จะส่งบุตรหลานเข้ามาเรียน นำไปสู่การลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง  ทั้งนี้ โรงเรียนและชุมชนจะร่วมกันจัดกิจกรรมทางการศึกษาที่เป็นประโยชน์ เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับชุมชนได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ  โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ สามารถแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง มีจิตสำนึกความเป็นประชาธิปไตย มีสมรรถนะที่สำคัญ  มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ มีสุขภาวะทางร่างกาย  มีทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ เป็นสำคัญ ทั้งนี้ รัฐบาลก็ได้กำหนดแนวทางการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ (ปีงบประมาณ 2562 - 2564) ดังนี้

ระยะที่ 1 ตรวจสอบและเปิดรับ เป็นการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล บนสภาพพื้นฐานของโรงเรียนเอง โดยเริ่มจากการประเมินตนเองของโรงเรียน  เทียบกับมาตรฐานการศึกษา  สร้างการรับรู้และปรับทัศนคติให้กับผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา ให้ตรงกัน และการสร้างเครือข่ายการพัฒนา โดยเปิดโอกาสให้หน่วยงานในท้องถิ่น ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล

ระยะที่ 2 เป็นการเสริมความรู้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ได้แก่ การส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา โรงเรียน และชุมชน ในการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล  การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการศึกษาและการบริหารการศึกษา  การยกระดับขีดความสามารถของผู้บริหารของโรงเรียน ให้สอดคล้องการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ปัจจุบัน

การส่งเสริมให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้รับการพัฒนาทักษะ การจัดกระบวนการเรียนรู้ ที่มุ่งผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งเอื้อต่อสร้างทักษะชีวิต และทักษะวิชาชีพ การต่อยอดการพัฒนา ทั้งด้านกายภาพ การบริหารจัดการ และการจัดกระบวนการเรียนรู้ การจัดทำแผนพัฒนาโรงเรียนเพื่อขอรับงบประมาณสนับสนุน จากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การยกระดับเครือข่ายการพัฒนาระหว่างโรงเรียนและหน่วยงานในท้องถิ่น เพื่อที่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษา รวมไปถึง การสนับสนุนให้มีการสร้างสื่อและนวัตกรรมด้านการบริหาร และด้านการจัดการเรียนรู้ เพื่อจะเป็นคลังความรู้ให้กับโรงเรียน 

และ ระยะที่ 3  พัฒนาสู่ “โรงเรียนของชุมชน” เมื่อโรงเรียนคุณภาพประจำตำบลได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนแล้ว ทั้งด้านกายภาพและคุณภาพแล้ว จำเป็นต้องสร้างทักษะการสื่อสารและความร่วมมือ เพื่อสร้างความยั่งยืนของการเป็น “โรงเรียนของชุมชน” อาทิ การติดตามผลการดำเนินงานการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล การขยายผล ต่อยอด การดำเนินการ ในระยะที่ 1 และ 2 การพัฒนาคณะกรรมการสถานศึกษา เพื่อร่วมกันพัฒนาโรงเรียน การถอดบทเรียนจากการพัฒนา จากโรงเรียนคุณภาพประจำตำบลที่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งการสร้างเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ด้านแนวทางการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล เป็นต้น
ที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีนโยบายดังกล่าวนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการพัฒนาระบบบริหารจัดการ เพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษามาโดยตลอด ได้แก่ การจัดรถโมบายคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่, การหมุนเวียนครูเข้าสอน, การพัฒนาครูด้านภาษาอังกฤษ  ICT,  e-learning,  การสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแบ่งปันทรัพยากร, การใช้สื่อเทคโนโลยีการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม, การจัดสรรสื่อ อุปกรณ์ งบประมาณ, การส่งเสริมรูปแบบการเรียนการสอนที่สอดคล้องบริบท เช่น เรียนรวมทั้งโรงเรียน, เรียนรวมเป็นช่วงชั้น,  เรียนรวมบางวิชา,  เรียนคละชั้น, เรียนแบบบูรณาการ เป็นต้น  นอกจากนี้ ได้ดำเนินการพัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อให้สอดรับการยกระดับคุณภาพ “โรงเรียนขนาดเล็ก” โดยจัดทำแผนยุทธศาสตร์ เร่งพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก ไปสู่ “โรงเรียนดีศรีตำบล” การเพิ่มงบประมาณเงินอุดหนุนรายหัวให้นักเรียน  การส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม อีกทั้งสร้างวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ เช่น เสอเพลอโมเดล, เครือข่ายแก่งจันทร์โมเดล, สามเกลอโมเดล, ไตรภาคี, ศูนย์ปัญจวิทยาคาร, เครือข่ายเรียนร่วม “ภูหลวงพัฒนา”  เป็นต้น

ปัจจุบัน รัฐบาลได้ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล โดยนำฐานข้อมูลโรงเรียนต้นแบบประเภทต่าง ๆ ในแต่ละจังหวัด มาพิจารณา อาทิ โรงเรียนประชารัฐ โรงเรียนดีประจำตำบล เป็นต้น ซึ่งมีการกระจายตัวในทุกจังหวัดและมีจุดเน้นของทั้ง 2 โครงการ ที่จะลดความเหลื่อมล้ำการศึกษา โดยสร้างความเข้มแข็งของโรงเรียนที่มีศักยภาพในการพัฒนาด้านการจัดการศึกษา และสามารถรองรับการเพิ่มจำนวนนักเรียนได้ในอนาคต เรื่องการปฏิรูปการศึกษานั้นเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อน และเกี่ยวพันอยู่หลายภาคส่วนด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวนักเรียน ต้องสนใจการเรียน การเรียนรู้ให้มากยิ่งขึ้น เพราะถ้าเราพัฒนาโรงเรียน พัฒนาครู พัฒนาวิธีการสอนไปแล้ว แต่นักเรียนไม่สนใจในเวลาเรียน หรือไปสนใจอย่างอื่นมากกว่าการเรียนการศึกษา อันนี้เราไม่อาจจะปฏิรูปได้ทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้น ก็ขอฝากไปยังนักเรียนด้วย เพราะฉะนั้นครูก็ต้องหาวิธีการสอนที่สอดคล้องกับเด็กในยุคปัจจุบันนี้ ไม่อย่างนั้นแล้วเราก็จะไม่สำเร็จสักเรื่องหนึ่ง แล้วก็ถูกตำหนิต่อว่ามาเรื่อย ๆ กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทั้งหมดต้องร่วมมือกัน ตั้งแต่ อนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษา อาชีวะ เหล่านี้ หรือโรงเรียนพิเศษอื่น ๆ เรามีหลายกลุ่มด้วยกัน สำหรับคนรุ่นใหม่ แล้วปัจจุบันด้วย อย่าลืมเรื่องภาษาอังกฤษ หาวิธีการสอนใหม่ ๆ ที่ครู นักเรียน นักศึกษา จะมีความสนใจ และมีส่วนร่วมไปด้วยกัน  เราจะได้ประสบความสำเร็จเสียที เป็นเรื่องของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ในการพัฒนาด้านการศึกษาที่ผมกล่าวไปนั้น ผมก็คาดหวังว่าจะช่วยเสริมสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาของไทยได้ในวันข้างหน้า เพื่อให้เด็ก เยาวชน คนไทยได้รับโอกาสในการพัฒนาตนเอง และมาร่วมแรง ร่วมใจกัน "สร้างไทยไปด้วยกัน" ครับ
 
พี่น้องประชาชน ครับ
สำหรับเรื่องที่ 2 คือ “วิทย์สร้างคน คนสร้างชาติ” นั้น เราจะเห็นได้ว่าประเทศที่มีรายได้สูง ล้วนขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่มีวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐานตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญในการที่จะขับเคลื่อนประเทศ ให้ก้าวเข้าสู่ “เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม” โดยนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาช่วยลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้และโอกาสไปสู่ภูมิภาค ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ตามนโยบาย ประเทศไทย 4.0 โดยแบ่งการทำงานด้านวิทยาศาสตร์ออกเป็นทั้งหมด 13 กลุ่มงานหลัก ผมขอยกตัวอย่าง ที่สำคัญ ๆ ได้แก่

1. เกษตรกรยุคดิจิทัล เป็นนวัตกรรมที่เกิดจากแนวพระราชดำริของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงเป็น “พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย” เกี่ยวกับการส่งเสริม สนับสนุน ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการ ใช้นวัตกรรมด้านการเกษตรมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การเพิ่มผลผลิต และพัฒนาภาคการเกษตรของไทยให้ยั่งยืนในอนาคต ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและพัฒนาเกษตรกรให้สามารถพึ่งพาตนเองได้  โดยการนำเทคโนโลยี “ฟาร์มอัจฉริยะ” ที่ใช้เทคโนโลยี IOT มาช่วยบริหารและสนับสนุนในการตัดสินใจ อาทิ ระบบติดตามสภาวะแวดล้อม และการให้น้ำแก่สวนผลไม้ ระบบเก็บบันทึกข้อมูล เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ความเข้มแสง เพื่อจะช่วยให้การบริหารจัดการฟาร์ม สามารถประหยัดน้ำและลดค่าไฟ จากการให้น้ำเกินความจำเป็น เป็นต้น

2. วิทยาศาสตร์เพื่อชุมชน เป็นการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เพื่อจะลดความเหลื่อมล้ำ สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายให้กับชุมชน เช่น การวางระบบโครงสร้างพื้นฐานในการบริหารจัดการน้ำให้ชุมชนนอกเขตชลประทาน โดยการใช้เทคโนโลยี และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำสำรองสะสม ลดผลกระทบจากภัยแล้ง และเพิ่มผลผลิตเกษตรในฤดูแล้ง ที่ผ่านมาได้ขยายผลในวงกว้างขึ้น ดำเนินการไปแล้วเกือบ 1,500 หมู่บ้าน ช่วยลดผลกระทบจากอุทกภัย - ภัยแล้งได้ ราว 350,000 ครัวเรือน  นอกจากนี้ ยังมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสำหรับชุมชน เช่น การสร้างเตาชีวมวล โดยใช้วัตถุดิบเศษไม้ในพื้นที่ ที่ช่วยลดการใช้ก๊าซหุงต้ม การสร้างเครื่องกรองน้ำอ่อน เพื่อประหยัดการซื้อน้ำบรรจุขวด และการถ่ายทอดวิธีการพัฒนาวัตถุดิบต้นน้ำ เช่น  ปุ๋ยอินทรีย์ที่เหมาะสำหรับพืชแต่ละชนิด หรือชีวภัณฑ์ในการควบคุมศัตรูพืช เพื่อลดการใช้ยาเคมี อีกทั้งส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมการแปรรูปให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชน เช่น การใช้สีธรรมชาติในการย้อมผ้า ทำให้ผ้าสีไม่ตก เป็นต้น ซึ่งกลไกทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเหล่านี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง ครอบคลุมทั่วประเทศ

3. การยกระดับไปสู่ “ประเทศผู้ผลิต” โดยให้ความสำคัญกับโครงการที่ส่งเสริมให้เยาวชนสนใจการคิดค้น พัฒนาสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเยาวชนจะได้เรียนรู้ถึงเครื่องมือการเรียนรู้แบบใหม่ และมีโอกาสในการสร้างผลงานสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ เพื่อจะต่อยอดการเรียนรู้แบบ “เรียนและเล่นไปด้วยกัน” หรือเรียกว่า “เพลิน” เพื่อความสนุกสนานในการประดิษฐ์ชิ้นงานใหม่จากความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ไร้ข้อจำกัด โดยรัฐบาลได้สร้าง “โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม” ในโรงเรียน 150 แห่ง มีการสร้างระบบชมรมนักประดิษฐ์ และสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนการสอน เพื่อกระจายให้เยาวชนมีโอกาสและเข้าถึง ได้การเรียนรู้จากอุปกรณ์การเรียนรู้ที่ทันสมัย ที่มีการใช้แพร่หลายในต่างประเทศ

4. วิชาชีพแห่งอนาคต ที่จะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ ในการเรียนรู้ของเยาวชน ให้การเห็นความก้าวหน้าทางสายอาชีพทางวิทยาศาสตร์ โดยรัฐบาลได้มีการสร้างแหล่งเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งใหม่ อาทิ ฟิวเจอร์เรียม พิพิธภัณฑ์พระราม 9 ขยายมหกรรมวิทยาศาสตร์และคาราวานวิทยาศาสตร์ไปสู่ทุกภูมิภาค ซึ่งจะเป็นการเตรียมคนไทยในศตวรรษที่ 21 สร้างทักษะการทำงานที่เหมาะสมกับงานในอนาคต ให้กับคนวัยแรงงานในปัจจุบัน

5. การจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ เป็นฐานข้อมูลกลางของประเทศ เช่น คลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศ ซึ่งสามารถจะนำมาใช้ในการคาดการณ์และ สนับสนุนการวางแผนบริหารจัดการที่ดี การบริหารจัดการพื้นที่ อีกทั้งควบคุมการผลิต รวมถึง สนับสนุนข้อมูลการบริหารจัดการในสถานการณ์วิกฤต เพื่อให้ช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที โดยมีการพัฒนาเว็บไซต์ และแอพพลิเคชั่น ThaiWater เพื่อให้ประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะเกษตรกร สามารถติดตามสถานการณ์น้ำและอากาศได้ด้วยตนเอง
6. โครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และการบริการของอุตสาหกรรมอาหาร  การสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงธุรกิจ SMEs Startups และบรรษัทข้ามชาติ ที่อยู่ในวงจรห่วงโซ่อาหาร สำหรับเป็นตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการดึงดูดให้หน่วยงานวิจัยภาครัฐและเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ เข้ามาลงทุนด้านการวิจัย ในประเทศ ณ พื้นที่แห่งนี้ ซึ่งในอนาคตก็มีแผนที่จะขยาย “เมืองนวัตกรรมอาหาร” เพิ่มอีก 15 แห่งทั่วประเทศ มีมูลค่าการลงทุนรวมมากกว่า 3,200 ล้านบาท

7. เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกที่เป็นการสร้างพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ที่มีความเข้มข้นของงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม รวมทั้งห้องปฏิบัติการวิจัย ทั้งภาครัฐ และเอกชน โรงงานต้นแบบ โรงงานสาธิต เพื่อจะพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และ ส่งเสริมให้เกิด Startups ที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศ
และ 8. สตาร์ทอัพ เนชั่น ได้แก่ สร้างธุรกิจทางเศรษฐกิจใหม่ รวมถึง การสร้าง “นักรบทางเศรษฐกิจใหม่” เพื่อจะช่วยขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจที่เป็นนวัตกรรมมากยิ่งขึ้น พี่น้องประชาชนที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ใหม่ ๆ หรือสามารถต่อยอดจากภูมิปัญญาของท้องถิ่นเดิม ก็จะมีโอกาสสร้างธุรกิจของตนเองได้ นักเรียนที่เพิ่งจบหรือนักวิจัยที่มีสิ่งประดิษฐ์ ก็มีโอกาสเริ่มธุรกิจได้ด้วยตนเอง โดยโครงการนี้รัฐบาลตั้งใจสร้างโอกาสให้ทุกคน ในการเอาความคิดมาทำให้เกิดเป็นธุรกิจได้จริง
 
พี่น้องประชาชน ครับ
เพื่อให้ได้เห็นโครงการต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และรับฟังความเห็นในการช่วยสนับสนุนงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับกลุ่มคนที่จะร่วมขับเคลื่อนอนาคตของประเทศหลายกลุ่ม ทั้งนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่และกลุ่มสตาร์ทอัพ ที่แสดงความมุ่งมั่นจะร่วมแรงร่วมใจกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อสร้างอนาคตของประเทศ

กลุ่มแรกที่ผมได้พบ คือ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ก็เป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ได้มีโอกาสได้เข้ายื่น “สมุดปกขาว” เรื่องของการวิจัยขั้นแนวหน้ากับนายกรัฐมนตรี เพื่อร่วมกำหนดอนาคตประเทศ ผมเองรู้สึกดีใจที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศ โดยที่ไม่ลืมความเป็นไทย และสภาพบ้านเมืองของเรา ทั้งนี้การพัฒนาประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0 นั้น ต้องไม่ลืมพี่น้องประชาชนคนบางส่วน ที่ยังค่อย ๆ ปรับตัว ซึ่งเราก็มีทั้งคนไทย 1.0, 2.0 และ 3.0 ในสังคม ในระบบเศรษฐกิจ เราต้องดูว่าจะพัฒนาอะไร อย่างไร เพื่อช่วยแต่ละกลุ่มได้อย่างเหมาะสม
เช่น “วิทยาศาสตร์เพื่อปากท้อง” ก็ต้องทำให้เร็ว ให้ประชาชนเข้าถึงและใช้ได้ทันการณ์ ส่วนการวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ก็ต้องคิด ต้องทำ เป็นขั้นเป็นตอน และต้องทำต่อเนื่อง ขาดช่วงไม่ได้ เพราะการทำงานต่าง ๆ นั้นต้องอาศัยองค์ความรู้ที่แท้จริงในด้านนี้มาสนับสนุนโดยข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักเท่านั้น ที่จะช่วยลดความขัดแย้งและความแตกต่างที่ไม่สร้างสรรค์ลงได้ ซึ่งผมก็ได้แนะนำให้เริ่มจากเรื่องใกล้ตัว แล้ววางแผนไปสู่สิ่งที่เราต้องการในอนาคต เช่น ระบบเตือนภัยสึนามิ ที่เราน่าจะสามารถพัฒนาได้เองในอนาคต สำหรับประเด็นวิจัย ก็ต้องวางแผนว่าจะนำไปสู่การผลิตเชิงอุตสาหกรรมได้อย่างไร เพื่อให้ประชาชนเข้าถึง ใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ในครั้งนี้ มีการเสนอประเด็นวิจัยมาใน 4 ด้าน ได้แก่ (1) อาหารเพื่ออนาคต (2) การแพทย์และสาธารณสุขขั้นแนวหน้า (3) พลังงานแห่งอนาคต และ (4) การรับมือความเสี่ยง และสร้างโอกาส ในอนาคต ผมก็ได้ให้กำลังใจและแจ้งไปว่ารัฐบาลพร้อมที่จะให้การสนับสนุน

กลุ่มที่ 2 เป็นประชาคมวิจัยด้าน “เศรษฐกิจ BCG” (Bio - Circular - Green Economy)  ซึ่งเป็นรูปแบบเศรษฐกิจใหม่ ที่มีหลักคิดสอดรับกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เนื่องจากเน้นการใช้ประโยชน์ความเข้มแข็งจากภายในและศักยภาพของประเทศ เช่น ความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรม  ร่วมกับการใช้องค์ความรู้จากการวิจัยและนวัตกรรม ในการพัฒนาต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ 4 กิจกรรมของประเทศคือ (1) เกษตรและอาหาร (2) สุขภาพและการแพทย์ (3) วัสดุและพลังงาน รวมทั้ง (4) การท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่มีการจ้างงานกว่า 16.5 ล้านคน โดยคาดว่า BCG จะเป็นฐานให้กับเศรษฐกิจหลักที่สร้างมูลค่าเพิ่มจากปัจจุบัน 3 ล้านล้านบาทต่อปี เป็น 4.3 ล้านล้านบาทต่อปี ให้ได้ภายใน 5 ปี ที่ผ่านมาเราได้ทำงานร่วมกันระหว่างกลุ่มผู้วิจัย BCG ภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคประชาชน ในรูปแบบประชารัฐ เพื่อสร้างศูนย์กลางนวัตกรรมที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องกระจายอยู่ทั่วประเทศ ตัวอย่างที่ได้ดำเนินการเป็นรูปธรรม ก็คือ โมเดล “อีสาน 4.0” ที่ใช้การวิจัยในการแก้ปัญหา และช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในพื้นที่เป็นต้น

และ กลุ่มที่ 3 ซึ่งมีความสำคัญมากก็คือ กลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น (สตาร์ทอัพ) ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ด้วยทักษะความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งผมได้พบปะกับผู้แทนสตาร์ทอัพ และสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ รวมทั้งเยาวชน นิสิต นักศึกษา จาก STARTUP Thailand League ที่มาร่วมกันยื่นข้อเสนอ เพื่อให้ไทยบรรลุเป้าหมายสู่“ประเทศแห่งสตาร์ทอัพ” รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยผมได้ชี้ให้เขาเห็นว่า ยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทต่าง ๆ จะเป็นโอกาสที่ดีของสตาร์ทอัพในการเข้ามาช่วยขับเคลื่อนประเทศ โดยรัฐบาลยินดีช่วยเหลือและสนับสนุนอย่างเต็มที่ ซึ่งจะต้องมีการทำงานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของบ้านเมืองของเรา
เป็นที่น่ายินดีครับ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สตาร์ทอัพได้ก่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจในหลากหลายมิติ ได้แก่ เกิดเม็ดเงินลงทุนกับธุรกิจสตาร์ทอัพ 6,000 ล้านบาท มีการจัดตั้งกองทุนร่วมเสี่ยง CVC ถึง 50,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานในธุรกิจสตาร์ทอัพ มากกว่า 15,000 ตำแหน่ง รวมทั้งการได้รับการยอมรับจากต่างประเทศว่า ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของสตาร์ทอัพ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกรุงเทพมหานครได้รับการจัดอันดับให้เป็น “เมืองที่ดีที่สุดสำหรับสตาร์ทอัพ” อันดับที่ 1 ในเอเชีย และเป็นอันดับที่ 7 ของโลก ผมชื่นชมที่ทั้ง 3 ประชาคมได้ร่วมกันผนึกกำลังกันเข้ามาช่วยแก้ปัญหาของประเทศ ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะที่ประชาคมทั้ง 3 กลุ่มได้นำเสนอให้ผมนั้น รัฐบาลก็ยินดี และก็พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง โดยจะนำไปวางแผนกำหนดนโยบายตามความเร่งด่วน ช่วยผลักดันให้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศต่อไป นอกจากนี้ผมได้เน้นย้ำให้ประชาคมให้ความสนใจเป็นพิเศษ กับการทำความเข้าใจปัญหาในแต่ละพื้นที่ เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ไปสู่เป้าหมายการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ และต้องให้ประชาชนได้รับประโยชน์เป็นสำคัญ ซึ่งผมก็ได้ขอให้ประชาคมไปช่วยกันคิด และเสนอแนวทางเข้ามายังรัฐบาล รัฐบาลพร้อมจะสนับสนุนประชาคมทั้ง 3 กลุ่มนี้ รวมทั้งกลุ่มพลังสร้างสรรค์อื่น ๆ ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยกันพัฒนาประเทศ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็คือการที่เราจะนำพาประเทศของเราไปสู่วิสัยทัศน์ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก็กรุณาฟังในส่วนที่รัฐบาลพูด รัฐบาลทำไปมากมายหลายอย่าง ฉะนั้นอาจจะมีการพูดจากใครก็แล้วแต่ พูดออกมาว่าจะทำนี่ ทำโน่น โดยที่ไม่พูดถึงวิธีทำ วิธีการ อันนั้นคือปัญหา ถ้าเราไปคาดหวังผลสำเร็จ โดยที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้กับเรามาก่อน บางทีก็เกิดปัญหา มีปัญหาเรื่องงบประมาณตามมา ความเร่งด่วนตามมา ความต่อเนื่องตามมาอีก เพราะฉะนั้นผมคิดว่าในส่วนของแผนยุทธศาสตร์ชาติทั้งหมดจะตอบคำถามเหล่านี้ว่าเป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ทำ แล้วก็พร้อมที่จะส่งต่อให้ทำต่อไปครับ

สุดท้ายนี้มีอีกเรื่องที่น่ายินดี ก็คือธนาคารโลกได้เผยแพร่รายงานความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของปี 2019 มาแล้ว โดยประเทศไทย ยังอยู่ใน 30 อันดับแรก จาก 190 ประเทศทั่วโลก ซึ่งไทยได้รับการจัดอยู่ในอันดับที่ 27 ในขณะที่ปีที่แล้ว เราอยู่ในอันดับที่ 26 แต่ถ้าดูจากผลคะแนนรวมแล้ว เราจะเห็นได้ว่าเรายังคงมีพัฒนาการ หรือมีการก้าวไปสู่แนวปฏิบัติที่ดีของโลก เห็นได้จากคะแนนที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน อย่าไปดูแค่ลำดับอย่างเดียว นอกจากนี้ ไทยยังถูกจัดว่าเป็นประเทศที่มีการปฏิรูปด้านกฎระเบียบสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ด้วย โดยมีความคืบหน้าใน 4 ด้าน ได้แก่ 
(1) ด้านการเริ่มต้นธุรกิจที่ทำได้สะดวกยิ่งขึ้น และมีต้นทุนลดลง
(2) ด้านการขอใช้ไฟฟ้า ที่มีการปรับลดขั้นตอนและเพิ่มความโปร่งใส ผ่านการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียม
(3) ด้านการชำระภาษีที่มีการปรับปรุงระบบการคำนวณ และการยื่นแบบภาษีรายได้นิติบุคคลทางระบบออนไลน์
และ (4) ด้านการค้าระหว่างประเทศ ที่มีการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาปรับใช้ในการควบคุมตู้สินค้า ซึ่งลดระยะเวลาและต้นทุนการขนถ่ายสินค้าอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีหลายด้านที่เรามีการปรับปรุงให้ดีขึ้น อำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจได้เพิ่มขึ้นแต่เราก็ยังมีอีกหลายด้าน ที่ยังต้องเร่งปรับปรุงให้ดีขึ้นต่อ ๆ ไปเช่นกัน ซึ่งรัฐบาลก็มีทั้งมาตรการเร่งด่วนระยะสั้น เช่น การยกเลิกสำเนาเอกสาร เมื่อมีการติดต่อกับราชการ รวมถึงการมี OSS กลางของภาครัฐ ส่วนมาตรการระยะยาวภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศนั้น ก็จะช่วยให้การปรับปรุงการให้บริการของภาครัฐให้ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจ และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนได้มากขึ้นในระยะต่อไป

ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีสุขภาพกายที่สมบูรณ์ สุขภาพจิตที่เข้มแข็ง และทุกครอบครัวมีความสุข ปลอดภัยทุก ๆ วัน นะครับ สวัสดีครับ
 ...........................













ที่มา; เว็บ รัฐบาลไทย






































































































































































































 คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้   


โดย  อ.นิกร  ติวสอบดอทคอม 
(ฟรีสรุป-ข้อสอบ-เฉลย ภาค กขค)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พัฒนาความรู้ครูผู้ช่วย 4 ภาค

พัฒนาความรู้ครูผู้ช่วย 4 ภาค
พัฒนาความรู้ครูผู้ช่วย 4 ภาค

ห้องสนทนา บน facebook

ห้องสนทนา บน facebook
ห้องสนทนาติวสอบดอทคอม

ข้อสอบออนไลน์ "ติวสอบดอทคอม" ชุดใหม่

คู่มือเตรียมสอบผู้บริหาร ภาค ก ข ค

แจ้งย้ายเว็บไปที่ www.tuewsob.com

คู่มือเตรียมสอบผู้บริหาร ภาค ก ข ค (ปรับปรุงใหม่)

รวม เล่ม + แผ่นพับ + ชีตช่วยจำ + DVD เนื้อหา + เสียงบรรยาย + EMS = 800 บาท
สนใจ คู่มือ ภาค ก ข ค ผู้บริหาร คลิ๊กเลย

สั่งจอง... โอนเงินเข้าชื่อบัญชี นายนิกร เพ็งลี ธนาคารกรุงไทย สาขาจอหอ บัญชีเลขที่ 341-1-38912-5 โอนเงินแล้วกรุณาโทรแจ้ง
0872494141 หรือ 0839660030

คู่มือ เตรียมสอบผู้บริหาร

คู่มือ เตรียมสอบผู้บริหาร
คู่มือ เตรียมสอบผู้บริหาร

ติวสอบออนไลน์ บน facebook

ติวสอบออนไลน์ บน facebook
ติวสอบออนไลน์ บน facebook

คลังหนังสือ ติวสอบดอทคอม

คลังหนังสือ ติวสอบดอทคอม
คลังหนังสือ ติวสอบดอทคอม

ติวสอบดอทคอม

ติวสอบดอทคอม
ติวสอบดอทคอม