อ่านชัด-อ่านครบ กด ดูเวอร์ชั่นสำหรับเว็บ (ด้านล่าง)
เรื่องใหม่น่าสนใจ (ทั้งหมด ที่ )
(เนื้อหา-ข้อสอบ 1,000 ชุุด หมื่นข้อ ภาค กข
+ 40 วิชาเอก) ที่ ห้องสอบด้านขวา หรือ
เว็บฟรีข้อสอบ 1,000 ชุด ที่ ติวสอบดอทคอม คลิ๊ก www.tuewsob.com
-นายกรัฐมนตรีพบเพื่อนครู + การศึกษาไทยศตวรรษ 21 นี่
-กำหนดการสอบครูผู้ช่วย ครั้งที่ 1 ปี 2559
-คู่มือ 4 ชุด นโยบาย บริบริหาร ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2560 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีพระราชดำรัส พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย เนื่องในวาระดิถี วันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2560 ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งที่ผมขอน้อมนำมากล่าวย้ำกับพี่น้องประชาชนชาวไทยอีกครั้ง เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และเป็นแนวทางในการปฏิบัติภารกิจ เพื่อส่วนรวมตลอดปีและตลอดไปดังนี้ คนไทยนั้น มีจิตใจดี มีความกตัญญูกตเวที มีความเอื้ออารีต่อกัน มีความรักชาติรักแผ่นดิน เป็นคุณสมบัติประจำชาติ และมีความรู้ ความสามารถ ไม่แพ้ชนชาติอื่นใด ดังนั้น ไม่ว่าจะมีอุปสรรคปัญหาหรือเหตุไม่ปกติใด ๆ เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา ก็เชื่อได้ว่า ถ้าเราร่วมกันคิด อ่าน และช่วยกันปฏิบัติแก้ไข ทุกสิ่งทุกอย่างจะสามารถคลี่คลายลุล่วงไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน ขอให้ชาวไทยทุกคนตั้งใจให้แน่วแน่ที่จะรักษาคุณสมบัตินี้ ให้เหนียวแน่น และทำความคิดจิตใจให้แจ่มใส ด้วยปัญญาที่กระจ่าง พิจารณาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง โดยปราศจากอคติ ให้มีความมุ่งมั่น มีกำลังใจ อันที่จะร่วมกันปฏิบัติสรรพกิจน้อยใหญ่ในภาระหน้าที่ ตามแนวพระบรมราโชบายที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานไว้ “ให้งานทุกอย่าง สำเร็จผล เป็นความดี ความเจริญ ทั้งแก่ตนเอง แก่ส่วนรวม และประเทศชาติ” ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน และการปฏิรูปประเทศนี้ ผมขอให้ปวงชนชาวไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ควรได้ระลึกถึง และรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมน้อมนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อประโยชน์ และเพื่อความสุขของพวกเราทุกคนและลูกหลานไทยในภายภาคหน้าด้วยครับ
สำหรับปี พ.ศ. 2560 นี้ ผมถือว่าว่าเป็นปีที่สำคัญ เป็นปีแห่งการเตรียมการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ตามครรลองที่เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยที่มีลักษณะเฉพาะ ด้วยกระบวนการที่เปิดกว้างต่อการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมทั้งเน้นสร้างความปรองดอง รู้ รัก สามัคคี และยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เพราะเมื่อส่วนรวมได้ประโยชน์ เราก็ได้ประโยชน์ ตามศาสตร์พระราชาของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานไว้ ใครที่คิดจะเข้ามาบริหารประเทศต่อไป ควรร่วมมือตรงนี้ ประชาชนติดตามด้วยนะครับ
ในโอกาสนี้ ผมขอมอบบทเพลง ชื่อว่า “สะพาน” ไว้เป็นเพลงประจำของรัฐบาลนี้ และ คสช. ซึ่งปฏิบัติภารกิจในการเปลี่ยนผ่าน การปฏิรูป และการสร้างความปรองดองในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ “สะพาน” ในที่นี้ มีความหมายโดยธรรมชาติคือ เครื่องมืออุปกรณ์หรือสิ่งที่จะช่วยให้คนไทย ก้าวข้ามอุปสรรค ก้าวพ้นกับดัก ก้าวไปสู่ฝั่งฝัน และความหวังของเรา อีกทั้งก้าวไปพบกับอนาคตหรือสิ่งที่ดีกว่า ส่วนความหมายโดยนัย คือ การเป็นตัวกลางสมานความขัดแย้ง และผสานกลุ่มพลังต่าง ๆ การประสานการขับเคลื่อนด้วยกลไกประชารัฐ และการเชื่อมโยงแบบบูรณาการในระดับต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับนโยบายไปสู่ระดับปฏิบัติ
สำหรับ “สายน้ำที่เชี่ยวกราก” ใต้สะพานก็คือ 1)ปัญหาเรื่องคน เช่น ความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจกัน ความไม่เคารพกฎหมาย ไม่รู้สิทธิและหน้าที่ ความไม่เข้าใจประชาธิปไตย วัตถุนิยม บริโภคนิยม 2)ปัญหาภายในประเทศที่สะสม และปัญหาในอนาคต เช่น ปากท้อง ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ทุจริตคอร์รัปชั่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ 3)ปัญหาภายนอกประเทศ ที่ส่งผลกระทบ เช่น ยาเสพติด การก่อการร้าย สิ่งแวดล้อม โลกร้อน ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย มาตรการกีดกันทางการค้า IUU, ICAO เป็นต้น และ 4)ปัญหาเรื่องข้อมูลข่าวสารสารสนเทศโซเชียลมีเดีย ซึ่งไม่อาจมองข้ามได้ในปัจจุบัน เนื่องจากมีผลกระทบต่ออารมณ์และการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน แต่กลับมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง การเข้าไม่ถึงแหล่งข่าวที่ถูกต้อง หรือการประชาสัมพันธ์ และสร้างความเข้าใจของภาครัฐเองที่ยังมีข้อจำกัดเข้าไม่ถึงประชาชน ซึ่งผมได้ให้กำลังใจคณะรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ขอให้เป็นสะพานที่เข้มแข็ง อย่าได้ท้อแท้ท้อถอยต่อกระแสน้ำที่รุนแรงดังกล่าว และสั่งการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกระดับ เอาชนะกระแสข่าวลือข่าวเท็จ ทั้งที่ไม่มีเจตนาแอบแฝงหรือไม่หวังดี ด้วยการลงพื้นที่ค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อสร้างการรับรู้ และทำความเข้าใจโดยน้อมนำศาสตร์พระราชา คือ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน
ทุกกลุ่มรัฐบาล และ คสช. ระลึกอยู่เสมอว่า การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และเชื่อมั่น นั้นเป็นสิ่งสำคัญ ในการที่จะเป็นที่พึ่งพิงให้กับประชาชน ดังนั้น “สะพาน” แห่งนี้ จะต้องมั่นคงด้วยโครงสร้างที่แข็งแรง และด้วยการบริหารบ้านเมืองที่มีธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ ปราศจากทุจริต จึงจะสามารถนำพาพี่น้องประชาชนชาวไทยผ่านภาวะที่ยากลำบาก ไปสู่จุดหมายร่วมกัน คือ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” โดยสวัสดิภาพ ทุกคน ให้จงได้ครับ
พี่น้องประชาชนที่รักครับ การทบทวนและการประเมินผลตนเองเป็นสิ่งจำเป็น ควรทำในทุกระดับ อาจดำเนินการเป็นวงรอบ รอบปี รอบเดือน หรือเป็นระยะ ๆ ของแผนงานตามความเหมาะสม ทั้งนี้ในการก้าวสู่ศักราชใหม่ รัฐบาล และ คสช. ซึ่งได้อาสาเข้ามาแก้ปัญหาประเทศที่สะสมและรอการสะสางมาเป็นเวลานานนับทศวรรษ ก็ได้มีการสำรวจผลการทำงานอยู่เสมอ เพื่อนำจุดแข็งไปขยายผลความสำเร็จ และจุดอ่อนไปปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาไปสู่แนวทางการบริหารราชการแผ่นดินที่ดีกว่าและมีประสิทธิภาพยิ่ง ๆ ขึ้นไป
เนื่องจากเราไม่อาจหยุดนิ่งท่ามกลางโลกที่มีพลวัต เพราะการเดินที่ช้ากว่าโลกหมุน ก็คือความล้าหลัง ไม่ทันสมัยก้าวไม่ทันโลก ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่า รัฐบาลได้แก้ปัญหาเดิม และวางรากฐานการพัฒนาเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศในอนาคตอันใกล้ ทุกอย่างดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยการนำทุกปัญหาออกมาคลี่สางทีละปม แก้ทีละประเด็น เนื่องจากไม่ต้องการแก้เรื่องหนึ่ง แต่กลับไปสร้างอีกปัญหาหนึ่งขึ้นมาใหม่ ที่สำคัญต้องเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และมีความยั่งยืน แทบทุกปัญหาต้องอาศัยการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ และหลายปัญหาต้องแก้ไขในระยะเร่งด่วน ด้วยการใช้อำนาจพิเศษตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 44 เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ จากนั้นจึงไปทำกฎหมาย อาจเป็นพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา หรือกฎกระทวง เพื่อจัดการกับประเด็นปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป
ปัจจุบัน มีคำสั่งหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ที่ถูกตราเป็นกฎหมายแล้ว เกือบ 80 ฉบับ รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญอย่างมากในการผลักดันกฎหมายสำคัญ ๆ ของประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมแล้ว 521 ฉบับ เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เพราะที่ผ่านมา 10 กว่าปี ไม่สามารถออกเป็นกฎหมายได้ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา รวมทั้งความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ทั้งนี้เพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นเครื่องมือของหน่วยงานราชการในการปฏิบัติหน้าที่ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลก
ปัจจุบันมีร่างพระราชบัญญัติที่เข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติแล้ว จำนวน 332 ฉบับ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้ความเห็นชอบแล้ว จำนวน 218 ฉบับ มีผลใช้บังคับแล้วตามกฎหมาย จำนวน 186 ฉบับ อยู่ระหว่างการทบทวน การศึกษา พิจารณาความเหมาะสม หรืออยู่ในกระบวนการออกกฎหมายอีกจำนวน เกือบ 200 ฉบับ อาทิเช่น 1) พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ที่จะช่วยให้การกวดขันวินัยจราจรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดอุบัติเหตุ และการสูญเสีย เช่น 1)ผู้โดยสารรถยนต์“ทุกคน” ต้องรัดเข็มขัดนิรภัย 2)การชำระค่าปรับตามใบสั่งให้แล้วเสร็จก่อนการออกป้ายภาษีประจำปี 3)การเพิ่มโทษผู้ขับขี่ ที่กระทำผิดซ้ำซาก โดยมีการบันทึกในประวัติ และ 4)การให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายในการทดสอบแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากฎหมายจะดีแค่ไหน บทลงโทษจะรุนแรงเพียงใด หากคนในชาติไม่มีจิตสำนึกด้วยตัวเองไม่มีวินัย ไม่เคารพกฎหมายแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน และ 2) พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพรฯ สำหรับการส่งเสริมให้มีการพัฒนา การผลิตและการใช้ประโยชน์สมุนไพรไทยอย่างมีคุณภาพ ตอบสนองความต้องการใช้สมุนไพรไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามารถผลักดันเป็นอุตสาหกรรมมีการแปรรูปและมีการส่งออก เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต โดยมีคณะกรรมการขับเคลื่อนใน 2 ระดับ สำหรับดูแลการขึ้นทะเบียน และการจดลิขสิทธิ์สมุนไพรไทย ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) และแผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ทั้งนี้แยกสมุนไพรไทยออกจาก ยา อาหาร เครื่องสำอาง ให้มีความชัดเจน ที่สำคัญคือ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบัญชียาแผนไทยและสมุนไพร ได้มากขึ้น ลดการพึ่งพาการนำเข้ายาจากต่างประเทศที่มีราคาแพง เป็นต้น จากตัวอย่าง ทั้ง 2 ดังกล่าว เป็นความก้าวหน้า เป็นก้าวแรก ๆ ของการปฏิรูปที่ดำเนินการในทุกมิติ อย่างมียุทธศาสตร์ และใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน ซึ่งนอกจากจะต้องคำนึงถึงความเชื่อมั่นประเทศไทยในสายตาชาวต่างชาติแล้ว ยังส่งผลดีต่อการประเมินขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย
สำหรับการพัฒนาศักยภาพในการบริหารงาน ด้วยการปรับปรุงกลไกและกระบวนการทำงานของรัฐบาลนั้น เป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินที่มีความสลับซับซ้อน และเชื่อมโยงกันเพื่อให้ปีนี้ เป็นปีแห่งการปฏิรูปประเทศ การสร้างความปรองดอง และการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ผมได้ตั้ง “คณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพื่อการปฏิรูป และปรองดอง” ขึ้น ในการขับเคลื่อน เรื่องดังที่กล่าวมา ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญเป็นคณะกรรมการ 4 คณะ ได้แก่ 1)คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 2)คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ 3)คณะกรรมการปรองดอง และ 4)คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ โดยมีการจัดตั้ง “สำนักงานบริหารยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูป และปรองดอง” ขึ้น ทำหน้าที่ประสาน ติดตาม ตรวจสอบความก้าวหน้าในการดำเนินงาน ตามประเด็นการปฏิรูป การปรองดอง ตลอดจนยุทธศาสตร์หรือนโยบายสำคัญที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายด้วยการขับเคลื่อนตาม Road map เน้นการปฏิรูป การปรองดอง และยุทธศาสตร์ใน 5 ปีแรก ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการซ่อม การเสริม และการสร้างประเทศเป็นสำคัญ ซึ่งยึดโยงกับ 6 ประเด็นในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มาเป็นพื้นฐาน เชื่อมโยงกับ 138 ประเด็นปฏิรูปของ คสช. รัฐบาล สปช. และ สปท. ที่มีการจัดกลุ่มงานให้ชัดเจน เพื่อการขับเคลื่อนที่ไม่สับสน และทำงานเป็นเนื้อเดียวกันทั้งในระดับรัฐบาล ภูมิภาค กลุ่มจังหวัด ให้มีความประสานสอดคล้องทั้งแนวดิ่งและแนวระดับ
สำหรับพี่น้องประชาชนแล้ว ผมอยากให้ลองสำรวจตัวเองด้วยเช่นกัน เริ่มตั้งแต่การจัดระเบียบช่วยให้บ้านเมืองสวยงาม ภายในสถานที่ของตัวเอง เช่น สถานที่ทำงาน ร้านค้า ร้านอาหาร ที่ประกอบการตลาด แผงลอย ให้สวยงาม น่าอยู่ น่าใช้ น่าบริโภค การจัดระเบียบบ้านเพื่อให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์พาหะนำโรค เช่น หนู แมลงสาบ เป็นต้น สิ่งสำคัญที่อยากจะบอก คือ “การจัดทำบัญชีครัวเรือน” ซึ่งเป็นวิธีง่าย ๆ ในการวางแผนการเงิน และแก้ไขปัญหาหนี้สิน ตามหลักปรัชญาของ “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งเป็นอีกศาสตร์พระราชาที่สอนให้เป็นนักวางแผนเพื่ออนาคต ด้วยหลักการจดไม่จสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง เพราะรู้จักความพอมี พอกิน พอใช้ คำนึงถึงหลักเหตุผล และการประมาณตนเองโดยการไม่ประมาท โดยเฉพาะการใช้จ่ายเงิน อันเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิต แล้วลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น หรือฟุ่มเฟือยลงไม่ปล่อยให้ “ชักหน้า ไม่ถึงหลัง” บัญชีครัวเรือนนี้ นอกจากจะทำให้รู้รายรับรายจ่ายแล้ว ยังทำให้เราสามารถเรียนรู้ วิเคราะห์ หรือพยากรณ์ค่าใช้จ่ายในอนาคตได้เป็นรายปี เช่น ห้วงฤดูหนาว ก็จะมีค่าใช้จ่ายเรื่องเครื่องนุ่งห่มเพิ่มเติม ฤดูร้อนก็จะมีค่าไฟฟ้าจากการใช้แอร์ พัดลม มากกว่าปกติ ฤดูฝน อาจมีค่าใช้จ่ายเรื่องการซ่อมแซมบ้านหรือค่ารักษาพยาบาลของสมาชิกในบ้านจากการเจ็บป่วย เป็นต้น หากจดบันทึกรายรับ รายจ่ายได้ชำนาญดีแล้ว ก็สามารถใช้วางแผนอนาคตได้อีกด้วย เช่น แผนการศึกษา แผนการซื้อผ่อนบ้าน รถ แผนการลงทุนเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเป็นรายได้เสริม แผนการรักษาพยาบาล การตรวจสุขภาพเพื่อการป้องกันซึ่งดีกว่าการรักษาเพราะถูกกว่าและไม่ต้องรอให้เจ็บไข้ได้ป่วยเสียก่อน และที่สำคัญคือแผนการออมสำหรับตัวเองยามชรา ยามเกษียณไม่ปล่อยให้เป็นภาระของลูกหลานในอนาคตอีกด้วย ซึ่งเรียกง่าย ๆ ว่า เป็นภูมิคุ้มกันของตัวเองและครอบครัวครับ
พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ ระหว่างวันที่ 9-19 มกราคมนี้ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมข้างทำเนียบรัฐบาล กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดงาน “ตลาดนัดวิถีวิทย์ 2560” ผมขอเชิญชวน พี่น้องประชาชน มาร่วมงานกัน ซึ่งนอกจากมีการเผยแพร่ผลงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมฝีมือคนไทย ทั้งของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และ หน่วยงานเครือข่าย ที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ แล้วยังมีการคัดสรรผลงานและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ กว่า 240 รายการ มาจัดแสดง และจัดจำหน่ายหรือให้บริการ เพื่อจะได้เป็นการช่วยเหลือชุมชน วิสาหกิจชุมชน รวมถึงผู้ประกอบการต่าง ๆ เพื่อจะได้เป็นการเพิ่มรายได้และอาชีพให้กับพี่น้องประชาชน นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานพันธมิตรที่มาร่วมจัดงาน ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ สำนักงานสถิติแห่งชาติ และบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมออกบูธกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนด้วย ในส่วนกิจกรรม (HILIGHT) และผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นได้แบ่งงานออกเป็น 3 แนวทางที่น่าสนใจ ได้แก่ วิถีวิทย์สร้างความสุข วิถีวิทย์สร้างความรู้ และวิถีวิทย์โอกาสดีนาทีทอง ทั้งนี้ภายในงานยังมีการอบรมอาชีพ 20 หลักสูตร แก่ประชาชนฟรี อีกทั้งมีการนำเครื่องจักร เทคโนโลยี และนวัตกรรมของคนไทย เช่น เครื่องขายขวดพลาสติกอัตโนมัติ เรือดูดตะกอนเลนอเนกประสงค์ หุ่นยนต์ดินสอสำหรับบริการเสิร์ฟอาหาร เครื่องอบปลาแดดเดียวอินฟาเรด เป็นต้น ด้านผลิตภัณฑ์ เน้นจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนวิสาหกิจที่ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อมใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมทั้งในกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม ผักผลไม้ สมุนไพร เป็นต้น ก็ขอเชิญชวนทุกท่านที่สนใจนะครับ
สุดท้ายนี้ เรื่องการเมือง การดำเนินกิจกรรม การตอบโต้ ประเด็นต่าง ๆ ในด้านการเมืองในปีนี้ ขอให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย บนพื้นฐานของข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอน และกระบวนการตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นปีที่มีความสำคัญยิ่งที่พสกนิกรชาวไทยทุกคน ทุกฝ่ายได้แสดงเจตนาร่วมใจในการถวายสักการะแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ ทั้งนี้ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพนี้ มิใช่เพียงแต่จะเป็นพระราชพิธีอันสำคัญยิ่งสำหรับปวงชนชาวไทยเท่านั้น หากแต่ยังเป็นพระราชพิธีซึ่งประชาคมโลกติดตาม และมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ วันที่ ๑๓ ตุลาคม เป็นต้นมา เนื่องจากนับได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกอีกด้วยครับ
สำหรับการเริ่มกระบวนการเลือกตั้ง เช่น การดำเนินกิจกรรมทางการเมือง การหาเสียงเลือกตั้ง การจัดการเลือกตั้ง โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาลต่อไปนั้น ด้วยบรรยากาศ และอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนชาวไทยในช่วงนี้อันเกี่ยวเนื่องกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้คาดคิด หรือเตรียมการล่วงหน้าได้ และด้วยขั้นตอน ตามกระบวนการนิติบัญญัติต่าง ๆ แล้วซึ่งก็ยังคงอยู่ในกรอบเวลา (หรือ Roadmap) ที่ผมเห็นว่าเราทุกคน ทุกฝ่าย จะยอมรับได้ และเห็นด้วย ที่จะลดระดับการตอบโต้ประเด็นทางการเมืองลง แล้วมุ่งปฏิบัติหน้าที่ ทำงานที่ตนรับผิดชอบให้ดีที่สุด ซึ่งหมายรวมถึง การปฏิรูป การเตรียมการจัดทำ และดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตามรัฐธรรมนูญถาวร ฉบับใหม่ ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ในขั้นต้น ไว้แล้ว ประกอบด้วย 6 ประเด็นยุทธศาสตร์ มีรายละเอียดตามหน้าจอ ซึ่งหาดูศึกษาทำความเข้าใจได้จากเว็บไซต์ของรัฐบาล (www.thaigov.go.th) และสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (www.nesdb.go.th) รวมทั้งการจัดทำกฎหมายลูก และกฎหมายสำคัญให้เรียบร้อยมากที่สุด ทั้งนี้ รัฐบาล และ คสช. ไม่มีเหตุผล หรือเจตนาใดที่จะยืดเวลาอะไรทั้งสิ้น ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจสถานการณ์ในขณะนี้เป็นอย่างดี เพียงแต่ขอความร่วมมือ ส่วนน้อยได้ปรับทัศนคติ และมีความเข้าใจร่วมกันด้วยครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
ที่มา ; เว็บ รัฐบาลไทย
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2560 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีพระราชดำรัส พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย เนื่องในวาระดิถี วันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2560 ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งที่ผมขอน้อมนำมากล่าวย้ำกับพี่น้องประชาชนชาวไทยอีกครั้ง เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และเป็นแนวทางในการปฏิบัติภารกิจ เพื่อส่วนรวมตลอดปีและตลอดไปดังนี้ คนไทยนั้น มีจิตใจดี มีความกตัญญูกตเวที มีความเอื้ออารีต่อกัน มีความรักชาติรักแผ่นดิน เป็นคุณสมบัติประจำชาติ และมีความรู้ ความสามารถ ไม่แพ้ชนชาติอื่นใด ดังนั้น ไม่ว่าจะมีอุปสรรคปัญหาหรือเหตุไม่ปกติใด ๆ เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา ก็เชื่อได้ว่า ถ้าเราร่วมกันคิด อ่าน และช่วยกันปฏิบัติแก้ไข ทุกสิ่งทุกอย่างจะสามารถคลี่คลายลุล่วงไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน ขอให้ชาวไทยทุกคนตั้งใจให้แน่วแน่ที่จะรักษาคุณสมบัตินี้ ให้เหนียวแน่น และทำความคิดจิตใจให้แจ่มใส ด้วยปัญญาที่กระจ่าง พิจารณาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง โดยปราศจากอคติ ให้มีความมุ่งมั่น มีกำลังใจ อันที่จะร่วมกันปฏิบัติสรรพกิจน้อยใหญ่ในภาระหน้าที่ ตามแนวพระบรมราโชบายที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานไว้ “ให้งานทุกอย่าง สำเร็จผล เป็นความดี ความเจริญ ทั้งแก่ตนเอง แก่ส่วนรวม และประเทศชาติ” ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน และการปฏิรูปประเทศนี้ ผมขอให้ปวงชนชาวไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ควรได้ระลึกถึง และรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมน้อมนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อประโยชน์ และเพื่อความสุขของพวกเราทุกคนและลูกหลานไทยในภายภาคหน้าด้วยครับ
สำหรับปี พ.ศ. 2560 นี้ ผมถือว่าว่าเป็นปีที่สำคัญ เป็นปีแห่งการเตรียมการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ตามครรลองที่เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยที่มีลักษณะเฉพาะ ด้วยกระบวนการที่เปิดกว้างต่อการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมทั้งเน้นสร้างความปรองดอง รู้ รัก สามัคคี และยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เพราะเมื่อส่วนรวมได้ประโยชน์ เราก็ได้ประโยชน์ ตามศาสตร์พระราชาของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานไว้ ใครที่คิดจะเข้ามาบริหารประเทศต่อไป ควรร่วมมือตรงนี้ ประชาชนติดตามด้วยนะครับ
ในโอกาสนี้ ผมขอมอบบทเพลง ชื่อว่า “สะพาน” ไว้เป็นเพลงประจำของรัฐบาลนี้ และ คสช. ซึ่งปฏิบัติภารกิจในการเปลี่ยนผ่าน การปฏิรูป และการสร้างความปรองดองในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ “สะพาน” ในที่นี้ มีความหมายโดยธรรมชาติคือ เครื่องมืออุปกรณ์หรือสิ่งที่จะช่วยให้คนไทย ก้าวข้ามอุปสรรค ก้าวพ้นกับดัก ก้าวไปสู่ฝั่งฝัน และความหวังของเรา อีกทั้งก้าวไปพบกับอนาคตหรือสิ่งที่ดีกว่า ส่วนความหมายโดยนัย คือ การเป็นตัวกลางสมานความขัดแย้ง และผสานกลุ่มพลังต่าง ๆ การประสานการขับเคลื่อนด้วยกลไกประชารัฐ และการเชื่อมโยงแบบบูรณาการในระดับต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับนโยบายไปสู่ระดับปฏิบัติ
สำหรับ “สายน้ำที่เชี่ยวกราก” ใต้สะพานก็คือ 1)ปัญหาเรื่องคน เช่น ความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจกัน ความไม่เคารพกฎหมาย ไม่รู้สิทธิและหน้าที่ ความไม่เข้าใจประชาธิปไตย วัตถุนิยม บริโภคนิยม 2)ปัญหาภายในประเทศที่สะสม และปัญหาในอนาคต เช่น ปากท้อง ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ทุจริตคอร์รัปชั่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ 3)ปัญหาภายนอกประเทศ ที่ส่งผลกระทบ เช่น ยาเสพติด การก่อการร้าย สิ่งแวดล้อม โลกร้อน ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย มาตรการกีดกันทางการค้า IUU, ICAO เป็นต้น และ 4)ปัญหาเรื่องข้อมูลข่าวสารสารสนเทศโซเชียลมีเดีย ซึ่งไม่อาจมองข้ามได้ในปัจจุบัน เนื่องจากมีผลกระทบต่ออารมณ์และการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน แต่กลับมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง การเข้าไม่ถึงแหล่งข่าวที่ถูกต้อง หรือการประชาสัมพันธ์ และสร้างความเข้าใจของภาครัฐเองที่ยังมีข้อจำกัดเข้าไม่ถึงประชาชน ซึ่งผมได้ให้กำลังใจคณะรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ขอให้เป็นสะพานที่เข้มแข็ง อย่าได้ท้อแท้ท้อถอยต่อกระแสน้ำที่รุนแรงดังกล่าว และสั่งการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกระดับ เอาชนะกระแสข่าวลือข่าวเท็จ ทั้งที่ไม่มีเจตนาแอบแฝงหรือไม่หวังดี ด้วยการลงพื้นที่ค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อสร้างการรับรู้ และทำความเข้าใจโดยน้อมนำศาสตร์พระราชา คือ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน
ทุกกลุ่มรัฐบาล และ คสช. ระลึกอยู่เสมอว่า การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และเชื่อมั่น นั้นเป็นสิ่งสำคัญ ในการที่จะเป็นที่พึ่งพิงให้กับประชาชน ดังนั้น “สะพาน” แห่งนี้ จะต้องมั่นคงด้วยโครงสร้างที่แข็งแรง และด้วยการบริหารบ้านเมืองที่มีธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ ปราศจากทุจริต จึงจะสามารถนำพาพี่น้องประชาชนชาวไทยผ่านภาวะที่ยากลำบาก ไปสู่จุดหมายร่วมกัน คือ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” โดยสวัสดิภาพ ทุกคน ให้จงได้ครับ
พี่น้องประชาชนที่รักครับ การทบทวนและการประเมินผลตนเองเป็นสิ่งจำเป็น ควรทำในทุกระดับ อาจดำเนินการเป็นวงรอบ รอบปี รอบเดือน หรือเป็นระยะ ๆ ของแผนงานตามความเหมาะสม ทั้งนี้ในการก้าวสู่ศักราชใหม่ รัฐบาล และ คสช. ซึ่งได้อาสาเข้ามาแก้ปัญหาประเทศที่สะสมและรอการสะสางมาเป็นเวลานานนับทศวรรษ ก็ได้มีการสำรวจผลการทำงานอยู่เสมอ เพื่อนำจุดแข็งไปขยายผลความสำเร็จ และจุดอ่อนไปปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาไปสู่แนวทางการบริหารราชการแผ่นดินที่ดีกว่าและมีประสิทธิภาพยิ่ง ๆ ขึ้นไป
เนื่องจากเราไม่อาจหยุดนิ่งท่ามกลางโลกที่มีพลวัต เพราะการเดินที่ช้ากว่าโลกหมุน ก็คือความล้าหลัง ไม่ทันสมัยก้าวไม่ทันโลก ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่า รัฐบาลได้แก้ปัญหาเดิม และวางรากฐานการพัฒนาเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศในอนาคตอันใกล้ ทุกอย่างดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยการนำทุกปัญหาออกมาคลี่สางทีละปม แก้ทีละประเด็น เนื่องจากไม่ต้องการแก้เรื่องหนึ่ง แต่กลับไปสร้างอีกปัญหาหนึ่งขึ้นมาใหม่ ที่สำคัญต้องเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และมีความยั่งยืน แทบทุกปัญหาต้องอาศัยการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ และหลายปัญหาต้องแก้ไขในระยะเร่งด่วน ด้วยการใช้อำนาจพิเศษตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 44 เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ จากนั้นจึงไปทำกฎหมาย อาจเป็นพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา หรือกฎกระทวง เพื่อจัดการกับประเด็นปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป
ปัจจุบัน มีคำสั่งหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ที่ถูกตราเป็นกฎหมายแล้ว เกือบ 80 ฉบับ รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญอย่างมากในการผลักดันกฎหมายสำคัญ ๆ ของประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมแล้ว 521 ฉบับ เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เพราะที่ผ่านมา 10 กว่าปี ไม่สามารถออกเป็นกฎหมายได้ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา รวมทั้งความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ทั้งนี้เพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นเครื่องมือของหน่วยงานราชการในการปฏิบัติหน้าที่ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลก
ปัจจุบันมีร่างพระราชบัญญัติที่เข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติแล้ว จำนวน 332 ฉบับ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้ความเห็นชอบแล้ว จำนวน 218 ฉบับ มีผลใช้บังคับแล้วตามกฎหมาย จำนวน 186 ฉบับ อยู่ระหว่างการทบทวน การศึกษา พิจารณาความเหมาะสม หรืออยู่ในกระบวนการออกกฎหมายอีกจำนวน เกือบ 200 ฉบับ อาทิเช่น 1) พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ที่จะช่วยให้การกวดขันวินัยจราจรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดอุบัติเหตุ และการสูญเสีย เช่น 1)ผู้โดยสารรถยนต์“ทุกคน” ต้องรัดเข็มขัดนิรภัย 2)การชำระค่าปรับตามใบสั่งให้แล้วเสร็จก่อนการออกป้ายภาษีประจำปี 3)การเพิ่มโทษผู้ขับขี่ ที่กระทำผิดซ้ำซาก โดยมีการบันทึกในประวัติ และ 4)การให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายในการทดสอบแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากฎหมายจะดีแค่ไหน บทลงโทษจะรุนแรงเพียงใด หากคนในชาติไม่มีจิตสำนึกด้วยตัวเองไม่มีวินัย ไม่เคารพกฎหมายแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน และ 2) พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพรฯ สำหรับการส่งเสริมให้มีการพัฒนา การผลิตและการใช้ประโยชน์สมุนไพรไทยอย่างมีคุณภาพ ตอบสนองความต้องการใช้สมุนไพรไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามารถผลักดันเป็นอุตสาหกรรมมีการแปรรูปและมีการส่งออก เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต โดยมีคณะกรรมการขับเคลื่อนใน 2 ระดับ สำหรับดูแลการขึ้นทะเบียน และการจดลิขสิทธิ์สมุนไพรไทย ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) และแผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ทั้งนี้แยกสมุนไพรไทยออกจาก ยา อาหาร เครื่องสำอาง ให้มีความชัดเจน ที่สำคัญคือ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบัญชียาแผนไทยและสมุนไพร ได้มากขึ้น ลดการพึ่งพาการนำเข้ายาจากต่างประเทศที่มีราคาแพง เป็นต้น จากตัวอย่าง ทั้ง 2 ดังกล่าว เป็นความก้าวหน้า เป็นก้าวแรก ๆ ของการปฏิรูปที่ดำเนินการในทุกมิติ อย่างมียุทธศาสตร์ และใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน ซึ่งนอกจากจะต้องคำนึงถึงความเชื่อมั่นประเทศไทยในสายตาชาวต่างชาติแล้ว ยังส่งผลดีต่อการประเมินขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย
สำหรับการพัฒนาศักยภาพในการบริหารงาน ด้วยการปรับปรุงกลไกและกระบวนการทำงานของรัฐบาลนั้น เป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินที่มีความสลับซับซ้อน และเชื่อมโยงกันเพื่อให้ปีนี้ เป็นปีแห่งการปฏิรูปประเทศ การสร้างความปรองดอง และการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ผมได้ตั้ง “คณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพื่อการปฏิรูป และปรองดอง” ขึ้น ในการขับเคลื่อน เรื่องดังที่กล่าวมา ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญเป็นคณะกรรมการ 4 คณะ ได้แก่ 1)คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 2)คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ 3)คณะกรรมการปรองดอง และ 4)คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ โดยมีการจัดตั้ง “สำนักงานบริหารยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูป และปรองดอง” ขึ้น ทำหน้าที่ประสาน ติดตาม ตรวจสอบความก้าวหน้าในการดำเนินงาน ตามประเด็นการปฏิรูป การปรองดอง ตลอดจนยุทธศาสตร์หรือนโยบายสำคัญที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายด้วยการขับเคลื่อนตาม Road map เน้นการปฏิรูป การปรองดอง และยุทธศาสตร์ใน 5 ปีแรก ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการซ่อม การเสริม และการสร้างประเทศเป็นสำคัญ ซึ่งยึดโยงกับ 6 ประเด็นในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มาเป็นพื้นฐาน เชื่อมโยงกับ 138 ประเด็นปฏิรูปของ คสช. รัฐบาล สปช. และ สปท. ที่มีการจัดกลุ่มงานให้ชัดเจน เพื่อการขับเคลื่อนที่ไม่สับสน และทำงานเป็นเนื้อเดียวกันทั้งในระดับรัฐบาล ภูมิภาค กลุ่มจังหวัด ให้มีความประสานสอดคล้องทั้งแนวดิ่งและแนวระดับ
สำหรับพี่น้องประชาชนแล้ว ผมอยากให้ลองสำรวจตัวเองด้วยเช่นกัน เริ่มตั้งแต่การจัดระเบียบช่วยให้บ้านเมืองสวยงาม ภายในสถานที่ของตัวเอง เช่น สถานที่ทำงาน ร้านค้า ร้านอาหาร ที่ประกอบการตลาด แผงลอย ให้สวยงาม น่าอยู่ น่าใช้ น่าบริโภค การจัดระเบียบบ้านเพื่อให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์พาหะนำโรค เช่น หนู แมลงสาบ เป็นต้น สิ่งสำคัญที่อยากจะบอก คือ “การจัดทำบัญชีครัวเรือน” ซึ่งเป็นวิธีง่าย ๆ ในการวางแผนการเงิน และแก้ไขปัญหาหนี้สิน ตามหลักปรัชญาของ “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งเป็นอีกศาสตร์พระราชาที่สอนให้เป็นนักวางแผนเพื่ออนาคต ด้วยหลักการจดไม่จสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง เพราะรู้จักความพอมี พอกิน พอใช้ คำนึงถึงหลักเหตุผล และการประมาณตนเองโดยการไม่ประมาท โดยเฉพาะการใช้จ่ายเงิน อันเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิต แล้วลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น หรือฟุ่มเฟือยลงไม่ปล่อยให้ “ชักหน้า ไม่ถึงหลัง” บัญชีครัวเรือนนี้ นอกจากจะทำให้รู้รายรับรายจ่ายแล้ว ยังทำให้เราสามารถเรียนรู้ วิเคราะห์ หรือพยากรณ์ค่าใช้จ่ายในอนาคตได้เป็นรายปี เช่น ห้วงฤดูหนาว ก็จะมีค่าใช้จ่ายเรื่องเครื่องนุ่งห่มเพิ่มเติม ฤดูร้อนก็จะมีค่าไฟฟ้าจากการใช้แอร์ พัดลม มากกว่าปกติ ฤดูฝน อาจมีค่าใช้จ่ายเรื่องการซ่อมแซมบ้านหรือค่ารักษาพยาบาลของสมาชิกในบ้านจากการเจ็บป่วย เป็นต้น หากจดบันทึกรายรับ รายจ่ายได้ชำนาญดีแล้ว ก็สามารถใช้วางแผนอนาคตได้อีกด้วย เช่น แผนการศึกษา แผนการซื้อผ่อนบ้าน รถ แผนการลงทุนเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเป็นรายได้เสริม แผนการรักษาพยาบาล การตรวจสุขภาพเพื่อการป้องกันซึ่งดีกว่าการรักษาเพราะถูกกว่าและไม่ต้องรอให้เจ็บไข้ได้ป่วยเสียก่อน และที่สำคัญคือแผนการออมสำหรับตัวเองยามชรา ยามเกษียณไม่ปล่อยให้เป็นภาระของลูกหลานในอนาคตอีกด้วย ซึ่งเรียกง่าย ๆ ว่า เป็นภูมิคุ้มกันของตัวเองและครอบครัวครับ
พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ ระหว่างวันที่ 9-19 มกราคมนี้ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมข้างทำเนียบรัฐบาล กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดงาน “ตลาดนัดวิถีวิทย์ 2560” ผมขอเชิญชวน พี่น้องประชาชน มาร่วมงานกัน ซึ่งนอกจากมีการเผยแพร่ผลงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมฝีมือคนไทย ทั้งของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และ หน่วยงานเครือข่าย ที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ แล้วยังมีการคัดสรรผลงานและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ กว่า 240 รายการ มาจัดแสดง และจัดจำหน่ายหรือให้บริการ เพื่อจะได้เป็นการช่วยเหลือชุมชน วิสาหกิจชุมชน รวมถึงผู้ประกอบการต่าง ๆ เพื่อจะได้เป็นการเพิ่มรายได้และอาชีพให้กับพี่น้องประชาชน นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานพันธมิตรที่มาร่วมจัดงาน ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ สำนักงานสถิติแห่งชาติ และบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมออกบูธกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนด้วย ในส่วนกิจกรรม (HILIGHT) และผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นได้แบ่งงานออกเป็น 3 แนวทางที่น่าสนใจ ได้แก่ วิถีวิทย์สร้างความสุข วิถีวิทย์สร้างความรู้ และวิถีวิทย์โอกาสดีนาทีทอง ทั้งนี้ภายในงานยังมีการอบรมอาชีพ 20 หลักสูตร แก่ประชาชนฟรี อีกทั้งมีการนำเครื่องจักร เทคโนโลยี และนวัตกรรมของคนไทย เช่น เครื่องขายขวดพลาสติกอัตโนมัติ เรือดูดตะกอนเลนอเนกประสงค์ หุ่นยนต์ดินสอสำหรับบริการเสิร์ฟอาหาร เครื่องอบปลาแดดเดียวอินฟาเรด เป็นต้น ด้านผลิตภัณฑ์ เน้นจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนวิสาหกิจที่ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อมใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมทั้งในกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม ผักผลไม้ สมุนไพร เป็นต้น ก็ขอเชิญชวนทุกท่านที่สนใจนะครับ
สุดท้ายนี้ เรื่องการเมือง การดำเนินกิจกรรม การตอบโต้ ประเด็นต่าง ๆ ในด้านการเมืองในปีนี้ ขอให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย บนพื้นฐานของข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอน และกระบวนการตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นปีที่มีความสำคัญยิ่งที่พสกนิกรชาวไทยทุกคน ทุกฝ่ายได้แสดงเจตนาร่วมใจในการถวายสักการะแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ ทั้งนี้ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพนี้ มิใช่เพียงแต่จะเป็นพระราชพิธีอันสำคัญยิ่งสำหรับปวงชนชาวไทยเท่านั้น หากแต่ยังเป็นพระราชพิธีซึ่งประชาคมโลกติดตาม และมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ วันที่ ๑๓ ตุลาคม เป็นต้นมา เนื่องจากนับได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกอีกด้วยครับ
สำหรับการเริ่มกระบวนการเลือกตั้ง เช่น การดำเนินกิจกรรมทางการเมือง การหาเสียงเลือกตั้ง การจัดการเลือกตั้ง โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาลต่อไปนั้น ด้วยบรรยากาศ และอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนชาวไทยในช่วงนี้อันเกี่ยวเนื่องกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้คาดคิด หรือเตรียมการล่วงหน้าได้ และด้วยขั้นตอน ตามกระบวนการนิติบัญญัติต่าง ๆ แล้วซึ่งก็ยังคงอยู่ในกรอบเวลา (หรือ Roadmap) ที่ผมเห็นว่าเราทุกคน ทุกฝ่าย จะยอมรับได้ และเห็นด้วย ที่จะลดระดับการตอบโต้ประเด็นทางการเมืองลง แล้วมุ่งปฏิบัติหน้าที่ ทำงานที่ตนรับผิดชอบให้ดีที่สุด ซึ่งหมายรวมถึง การปฏิรูป การเตรียมการจัดทำ และดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตามรัฐธรรมนูญถาวร ฉบับใหม่ ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ในขั้นต้น ไว้แล้ว ประกอบด้วย 6 ประเด็นยุทธศาสตร์ มีรายละเอียดตามหน้าจอ ซึ่งหาดูศึกษาทำความเข้าใจได้จากเว็บไซต์ของรัฐบาล (www.thaigov.go.th) และสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (www.nesdb.go.th) รวมทั้งการจัดทำกฎหมายลูก และกฎหมายสำคัญให้เรียบร้อยมากที่สุด ทั้งนี้ รัฐบาล และ คสช. ไม่มีเหตุผล หรือเจตนาใดที่จะยืดเวลาอะไรทั้งสิ้น ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจสถานการณ์ในขณะนี้เป็นอย่างดี เพียงแต่ขอความร่วมมือ ส่วนน้อยได้ปรับทัศนคติ และมีความเข้าใจร่วมกันด้วยครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
ที่มา ; เว็บ รัฐบาลไทย
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
ฟรี... ติวสอบครูผู้ช่วย ติวสอบผู้บริหาร บุคลากรการศึกษา-ครูผู้ช่วย-ผู้บริหาร
-คลากรการศึกษา ที่
" ติวสอบดอทคอม "
ฟรี... ติวสอบครูผู้ช่วย ติวสอบผู้บริหาร บุคลากรการศึกษา-ครูผู้ช่วย-ผู้บริหาร
-คลากรการศึกษา ที่
" ติวสอบดอทคอม "
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น