อ่านชัด-อ่านครบ กด ดูเวอร์ชั่นสำหรับเว็บ (ด้านล่าง)
เรื่องใหม่น่าสนใจ (ทั้งหมด ที่ )
(เนื้อหา-ข้อสอบ 1,000 ชุุด หมื่นข้อ ภาค กข
+ 40 วิชาเอก) ที่ ห้องสอบด้านขวา หรือ
เว็บฟรีข้อสอบ 1,000 ชุด ที่ ติวสอบดอทคอม คลิ๊ก www.tuewsob.com โดย อ.นิกร
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ
ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)ครั้งที่ 2/2560
ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ
ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)ครั้งที่ 2/2560
วันนี้ (24 กรกฎาคม 2560) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์
จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ
ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)ครั้งที่ 2/2560 โดยมีคณะกรรมการ
และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ ที่ประชุม
ได้มีการพิจารณาผลการดำเนินงานในภาพรวมของ ป.ยป. และคณะกรรมการภายใต้ ป.ย.ป. จำนวน
4 คณะ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ทิศทางและบทบาทของ ป.ย.ป.
ภายหลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ
พ.ศ. 2560 รองนายกรัฐมนตรี
(นายวิษณุ เครืองาม) รายงานว่า เมื่อกฎหมายทั้ง 2 ฉบับประกาศใช้บังคับแล้ว
รัฐบาลจะต้องตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ 11 คณะ
และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติอีกคณะเพื่อทำหน้าที่ยกร่างแผนการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ
โดยทั้ง 2 คณะ
จะใช้เวลาในการยกร่างแผนปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติประมาณ 10 – 14 เดือน ดังนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว ป.ย.ป
จึงจะเป็นต้องทำหน้าที่ต่อเพื่อให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้เป็นไปอย่างต่อเนื่องจนเมื่อ
คณะรัฐมนตรีอนุมัติแผนปฏิรูปประเทศ
และสภานิติบัญญัติแห่งชาติเห็นชอบยุทธศาสตร์ชาติแล้ว จึงจะพิจารณาความจำเป็นในการคงอยู่ของ
ป.ย.ป ต่อไป
2. ภาพรวมการขับเคลื่อน ป.ย.ป.
2.1 คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ(ตยศ.)
รายงานความก้าวหน้ากลไกการดำเนินงานและ
บทบาทหน้าที่ของคณะอนุกรรมการบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติและคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาและรับฟังความ
คิดเห็นสรุปได้ดังนี้
(1) คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาและรับฟังความคิดเห็น
มีข้อเสนอแนะประเด็นเพิ่มเติมต่อสาระของร่างยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ดังนี้ 1) ควรระบุเป้าหมายสุดท้ายและจุดเน้นการพัฒนาให้ชัดเจน
เช่น การเป็นมหาอำนาจทางอาหาร การเป็นประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ 1 ใน 3 เสือเอเชีย 2) มีกลไกในระดับพื้นที่และการสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน
รวมถึงเพิ่มกลไก “ประชารัฐ” เนื่องจากการดำเนินการหลายเรื่องจำเป็นต้องให้ภาคเอกชนและประชาชนสนับสนุน
และ 3) จัดลำดับความสำคัญของงานกำหนดสัดส่วนทรัพยากร/งบประมาณ
พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่ออนาคตของประเทศไทยในระยะ
20 ปี ได้แก่
การจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นระดับภาค รวม 4 ภาค โดยได้จัดในภาคกลางและภาคเหนือไปแล้ว
(2) คณะอนุกรรมการบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติมีแนวทางการดำเนินการโดยบูรณาการทั้งงานภารกิจประจำ
(Fuction) และพื้นที่ (Area) จึงได้เชิญปลัดกระทรวงทั้ง 20 กระทรวงมานำเสนอยุทธศาสตร์กระทรวงที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ
20 ปีและเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นหัวหน้ากลุ่มจังหวัดทั้ง 18 กลุ่มจังหวัดมาน าเสนอยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด
รวมทั้งเชิญคณะผู้บริหาร กทม. หารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การพัฒนากรุงเทพมหานคร ระยะ
20 ปีแล้ว
ทั้งนี้
รัฐบาลได้ดำเนินการต่าง ๆ ครอบคลุมยุทธศาสตร์ทุกด้านแล้ว เช่น
ด้านการสาธารณสุขจะมีการพัฒนาคลินิกหมอครอบครัว ด้านคมนาคม มีการพัฒนาตั๋วร่วม
รถเมล์ NGV การลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยเพื่อจัดสวัสดิการภาครัฐ
ในส่วนของ สศช.
ได้มีการเตรียมการเพื่อรองรับภารกิจการจัดทำยุทธศาสตร์และการปฏิรูปประเทศแล้ว
2.2 คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ
(1) การปฏิรูปกฎหมาย
(Regulatory Reform) คณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อกำกับการปฏิรูปกฎหมายซึ่ง ศ.ดร.บวรศักดิ์
อุวรรณโณ เป็นประธานกรรมการ ได้รายงานสรุปได้ดังนี้
(1.1) ปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพหรือการดำเนินงานธุรกิจของประชาชน
อาทิ การเริ่มต้นธุรกิจ การขออนุญาตก่อสร้าง การขอใช้ไฟฟ้า การจดทะเบียนทรัพย์สิน
การได้รับสินเชื่อ การคุ้มครองผู้ลงทุน การชำระภาษีการค้าระหว่างประเทศ
การบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง การแก้ปัญหาการล้มละลาย
กฎหมายที่เกี่ยวกับการให้ใบอนุญาต (licenses)
(1.2) ปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่สร้างภาระโดยไม่จำเป็นต่อประชาชน
อาทิ กฎหมายที่กำหนดขั้นตอนการจดแจ้งเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของประชาชน
ตั้งแต่การเกิด การได้รับการดูแลสุขภาพ การขอใช้สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น
น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ และการตาย
(1.3) ตรวจสอบและติดตามกฎหมายให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และการปฏิรูปประเทศ
(1.4) เสนอกฎหมายที่จัดทำกฎหมายใหม่ที่จำเป็น
(กฎหมายที่ต้องตราขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึงกฎหมายได้โดยง่าย)
เช่น กฎหมายว่าด้วยการบูรณาการการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ
กฎหมายว่าด้วยการทำประมวลกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน
(2) การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ
(Administrative Reform) เลขาธิการ ก.พ.ร. ได้นำเสนอแผนการปฏิรูประบบการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญ
ได้แก่
(2.1) การปฏิรูปกฎหมาย
(2.2) การยกระดับคุณภาพการให้บริการประชาชน
โดยมีแผนงานสำคัญ ๆ
ที่จะผลักดันให้สำเร็จภายใน 6 เดือน และภายในปี 2560 เช่น การปรับลดระยะเวลาและขั้นตอนในการ
บริการประชาชนให้ได้ 30 - 50% การจัดตั้งศูนย์รับคำขอนุญาต
การปรับกระบวนงานที่เกี่ยวข้องกับการ
ประกอบธุรกิจให้เป็นดิจิทัล
การเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อลดภาระในการยื่นเอกสารของ
ประชาชน
(2.3) การปฏิรูประบบตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์
โดยให้เชื่อมโยงกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูป
(2.4) การปรับเปลี่ยนสู่รัฐบาลที่คล่องตัว
โดยจะผลักดันให้ทุกหน่วยงานจัดทำ “แผนปฏิรูปองค์กร” ให้แล้วเสร็จภายใน 4เดือน มีแนวทาง คือ การทบทวนภารกิจภาครัฐ
โดยรัฐควรทำเฉพาะภารกิจที่จำเป็น ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ
โอนถ่ายงานให้ภาคเอกชนท้องถิ่น ปรับการทำงานเป็นดิจิทัล
(2.5) การปฏิรูปการบริหารจัดการกำลังคน
จะมีรูปแบบการบริหารกำลังคนและระบบการจ้างงานภาครัฐใหม่ที่เปิดกว้างและหลากหลายขึ้น
สามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญจากเอกชนและต่างประเทศเข้ามาในระบบได้
รวมทั้งกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าของบุคลากรภาครัฐในแต่ละกลุ่มให้ชัดเจน
(2.6) การปฏิรูปงบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้าง
(2.7) การปรับเปลี่ยนสู่รัฐบาลดิจิทัล
โครงการ Big Data
(3) การปฏิรูปเชิงระบบและโครงสร้าง
(Structural Reform) ดร. บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการ ดังนี้
(3.1) ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง
:
การปฏิรูประบบความมั่งคงทางอาหารทั้งในด้านการอนุรักษ์และเพิ่มพูนฐานความหลากหลายทางชีวภาพ
การส่งเสริมระบบเกษตรกรรมยั่งยืน และระบบอาหารปลอดภัย (Food
Safety) ในระยะต่อไปจะมีการดำเนินงานในด้านความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำและด้านผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(3.2) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
:มีการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
การปฏิรูประบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
(EIA/EHIA) และสร้างความเชื่อมโยงกับ “การประเมินยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ยั่งยืน” (SEA:
Strategic EnvironmentalAssessment) การปฏิรูประบบการบริหารจัดการระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งทั้งในเรื่องการกัดเซาะชายฝั่ง
การจัดการขยะชายฝั่งและเกาะ และการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในทะเล (One Marine
Map) การปฏิรูปการจัดการความขัดแย้งปัญหาที่ดิน
– ป่าไม้
โดยการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายด้านป่าไม้ การออกกฎหมายป่าชุมชน
เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลจัดการป่าอย่างยั่งยืนในระยะต่อไปจะมีการดำเนินงานปฏิรูปด้านการผังเมือง
และด้านการจัดการขยะและสารเคมี
(3.3) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการลดความเหลื่อมล้ำ
และสร้างความเป็นธรรมในสังคมการปฏิรูปการกระจายการถือครองที่ดิน
(ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ) โดยการจัดตั้งธนาคารที่ดิน คณะกรรมการนโยบาย
ที่ดินแห่งชาติ และระบบภาษีที่ดินที่เป็นธรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
โดยการจัดตั้งระบบยุติธรรมชุมชนการปฏิรูประบบการสอบสวน
และการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง
การปฏิรูประบบภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
(3.4) ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน
: การปฏิรูประบบการศึกษาโดยเริ่มจากโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็ก และการศึกษาปฐมวัย
การดำเนินงานปฏิรูปในทุกด้าน
ได้มีการกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบและกรอบเวลาดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนไว้อย่างชัดเจน
เพื่อการเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
(4) การปฏิรูปเชิงพื้นที่และสังคม
(Area Based Reform) ได้มีการดำเนินการดังนี้
(4.1) การดำเนินโครงการสานพลังเพื่อปฏิรูปพื้นที่และสังคม
มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนระดับหมู่บ้าน ซึ่งจะนำไปสู่สัญญาประชาคม
และวาระการปฏิรูปของพื้นที่โดยมีความคืบหน้าในการดำเนินการโดยได้สร้างความชัดเจนในแนวทางการขับเคลื่อนกับกระทรวงมหาดไทยการจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่ตำบลเข้มแข็งเพื่อน
าร่องในระยะแรก และการจัดทำเครื่องมือข้อมูลเพื่อจัดกระบวนการประชาสังคม
(4.2) โครงการสานพลังคนรุ่นใหม่คืนถิ่นเพื่อปรับ
Mind Set ไปสู่การเป็น Citizen Reform สร้างคนรุ่นใหม่เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่
เช่น โครงการคนกล้าคืนถิ่น บัณฑิตคืนถิ่น เป็นต้น
ในระยะต่อไปจะได้ขยายผลการดำเนินการและสร้างต้นแบบให้เป็น Change Agent
ประจำตำบลและขยายผลลงสู่ชุมชนต่อไป
(5) การปฏิรูปการศึกษาและการปฏิรูปตำรวจ
(5.1) การปฏิรูปการศึกษาได้กำหนดแนวทางและมาตรการแก้ปัญหาการศึกษา
เช่น ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ผู้สูงอายุ คนรุ่นใหม่ทิ้งถิ่น
การผลิตคนไม่ได้ตรงต่อความต้องการของตลาดแรงงาน การปลูกจิตสำนึกของการเป็นพลเมืองไทย
ทักษะการดำรงชีวิต การมีงานทำของบัณฑิต ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม
การมีวินัยในตนเอง
(5.2) การปฏิรูปตำรวจได้แต่งตั้งอนุกร
รมการ รวม 5 คณะ ได้แก่
คณะอนุกรรมการด้านการบริหารงานบุคคล
คณะอนุกรรมการด้านการบังคับใช้กฎหมายและระบบสอบสวนคดีอาญา
คณะอนุกรรมการด้านหน้าที่ อำนาจ และภารกิจของตำรวจ
คณะอนุกรรมการด้านการรับฟังความคิดเห็น และคณะอนุกรรมการด้านวิชาการ
โดย ที่ประชุมมีข้อสังเกต
ดังนี้
(1) การปฏิรูปกฎหมายควรพิจารณาจัดทำกฎหมายที่สนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญที่ต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน
(2) การปฏิรูปเชิงระบบและโครงสร้าง
ควรกำหนดให้มีการปฏิรูปด้านความมั่นคง เพื่อรองรับภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ต่าง ๆ
ด้วย
(3) การปฏิรูปเชิงพื้นที่และสังคมควรลงพื้นที่เพื่อให้ได้ข้อมูลความเดือดร้อนและความต้องการเร่งด่วนของประชาชน
และนำมาจัดทำเป็นแผนแม่บทว่า ใน 1 ปี จะต้องดำเนินโครงการ/กิจกรรมใดเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชน
2.3 คณะกรรมการตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง
ได้ดำเนินงาน (1) รับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน
รวม 15,692 คน (2) บูรณาการข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ และ (3) จัดทำร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง
(1) ร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ
มีจำนวน 10 ข้อ
พร้อมทั้งผนวกประกอบร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ จำนวน 15 ข้อ มีสาระสำคัญเพื่อให้คนไทยทุกคน
ได้ยึดถือเป็นกรอบแนวทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบ สันติในอนาคต
อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
กล่าวคือ คนไทยทุกคนต้องเคารพกฎหมาย และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม รัฐบาล
ประชาชน และทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองในทุกมิติอย่างครบวงจร
โดยมีเป้าหมายที่ประชาชนทั้งประเทศได้รับผลประโยชน์สูงสุดรวมทั้ง
เกิดความสามัคคีปรองดอง ดำรงชีวิตตามศาสตร์พระราชา
บนพื้นฐานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียง
มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนมีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ
เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป
(2) การจัดงานแถลงสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ
มีกำหนดจะจัดในวันเดียวกันในห้วงเวลาที่เหมาะสมพร้อมกันทั่วประเทศ
ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั้งนี้
ภายหลังการจัดงานแถลงสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ คณะกรรมการเตรียมการฯ
มีแผนงานที่จะขยายผลการสร้างความสามัคคีปรองดองอย่างต่อเนื่องไปจนกว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไป
เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้สัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ
ให้กับประชาชนทุกหมู่เหล่า
ได้รับทราบกรอบแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติในอนาคต
ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ
10 ข้อ
และแนวทางการแถลงสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ
2.4 คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์
นายปกรณ์ นิลประพันธ์รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี(PMDU) ในฐานะเลขานุการ บยศ. ได้รายงานสรุปผลการดำเนินการของ
บยศ. ที่ได้ปลดล็อค ขับเคลื่อน และเร่งรัดนโยบายสำคัญตาม Agenda โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น
(1) การขับเคลื่อนเรื่องเร่งด่วนด้านคมนาคมขนส่งจะเปิดเดินรถเชื่อมสายสีน้ำเงิน
– สีม่วงในเดือนสิงหาคม 2560 และในส่วนโครงการรถไฟไทย - จีนจะเริ่มก่อสร้างช่วงแรกในเดือนตุลาคม
2560 ส่วนการจัดตั้งAviation
Hubอยู่ระหว่างเสนอ สงป.
พิจารณางบฯ จัดจ้าง ทปษ. จัดทำ Master Plan และ EHIA คาดว่าจะใช้เวลาจัดทำแผนฯ
10 เดือน
(2) การขับเคลื่อนด้านสาธารณสุขเปิดคลินิกหมอครอบครัวแล้ว
596 ทีมทั่วประเทศและเสนอตั้ง
คกก. พัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ
(3) การขับเคลื่อนด้านพลังงานได้มีคำสั่ง
หน.คสช. ที่ 31/2560 เพื่อแก้ไขปัญหาบน
พื้นที่ ส.ป.ก.
ที่มีข้อพิพาทด้านกฎหมายให้กิจการปิโตรเลียม พลังงานทดแทน และเหมืองแร่
ดำเนินต่อไปได้
(4) ระบบและกลไกการกำกับติดตามประเมินผลโครงการตามแนวทางการสร้าง
ความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจในประเทศ
(Local Economy) ผ่านกลไก 18 กลุ่มจังหวัด
เบิกจ่ายงบประมาณจากทั้งหมด 115,000
ล้านบาทให้จังหวัด/กลุ่มจังหวัด
แล้ว 27,351 ล้านบาท
(ร้อยละ 23.78)
(5) การดำเนินการระบบการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่
(Big Data)จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาระบบ Big Data โดยเริ่มดำเนินโครงการนำร่องที่ จ.ชัยนาท และ
จ.แม่ฮ่องสอนแล้ว
(6) การปรับโครงสร้าง สศช.
ปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามมติ บยศ.
และกำหนดแนวทางการปรับปรุงองค์กร ให้สามารถขับเคลื่อนภารกิจใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สอดคล้องกับภารกิจงานด้านยุทธศาสตร์ชาติ/การปฏิรูปประเทศที่กำหนดในร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับ ทั้งนี้ บยศ. ได้กำหนดนโยบายสำคัญตาม Agenda ที่จะเร่งรัดขับเคลื่อนในระยะต่อไป ได้แก่ (1) การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (2) การขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริม SMEs และ (3) การพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนของส่วนราชการ
ที่ประชุมรับทราบ
3. การเตรียมความพร้อมและกลไกการรองรับภารกิจตามพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560 สศช. ได้รายงานเรื่อง
การเตรียมการความพร้อมและกลไกการดำเนินงานของ สศช. เพื่อรองรับ
ภารกิจยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ
โดยอยู่ระหว่างการดำเนินการ การยกร่างระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อรองรับการดำเนินงานด้านการประชุม การปฏิบัติหน้าที่ การจ้างที่ปรึกษา และการกำหนดค่าตอบแทน
ค่าใช้จ่าย และประโยชน์ตอบแทนอื่น รวมทั้งปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. ของสำนักงานฯ
เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างตามภารกิจยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ
ตามที่คณะกรรมการ บยศ. เห็นชอบและที่คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตเพิ่มเติม
โดยคาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกรกฎาคม 2560
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ
ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)ครั้งที่ 2/2560
ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ
ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)ครั้งที่ 2/2560
วันนี้ (24 กรกฎาคม 2560) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์
จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ
ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)ครั้งที่ 2/2560 โดยมีคณะกรรมการ
และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ ที่ประชุม
ได้มีการพิจารณาผลการดำเนินงานในภาพรวมของ ป.ยป. และคณะกรรมการภายใต้ ป.ย.ป. จำนวน
4 คณะ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ทิศทางและบทบาทของ ป.ย.ป. ภายหลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560 รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานว่า เมื่อกฎหมายทั้ง 2 ฉบับประกาศใช้บังคับแล้ว รัฐบาลจะต้องตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ 11 คณะ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติอีกคณะเพื่อทำหน้าที่ยกร่างแผนการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ โดยทั้ง 2 คณะ จะใช้เวลาในการยกร่างแผนปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติประมาณ 10 – 14 เดือน ดังนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว ป.ย.ป จึงจะเป็นต้องทำหน้าที่ต่อเพื่อให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้เป็นไปอย่างต่อเนื่องจนเมื่อ คณะรัฐมนตรีอนุมัติแผนปฏิรูปประเทศ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติเห็นชอบยุทธศาสตร์ชาติแล้ว จึงจะพิจารณาความจำเป็นในการคงอยู่ของ ป.ย.ป ต่อไป
2. ภาพรวมการขับเคลื่อน ป.ย.ป.
2.1 คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ(ตยศ.) รายงานความก้าวหน้ากลไกการดำเนินงานและ
บทบาทหน้าที่ของคณะอนุกรรมการบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติและคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาและรับฟังความ
คิดเห็นสรุปได้ดังนี้
(1) คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาและรับฟังความคิดเห็น มีข้อเสนอแนะประเด็นเพิ่มเติมต่อสาระของร่างยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ดังนี้ 1) ควรระบุเป้าหมายสุดท้ายและจุดเน้นการพัฒนาให้ชัดเจน เช่น การเป็นมหาอำนาจทางอาหาร การเป็นประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ 1 ใน 3 เสือเอเชีย 2) มีกลไกในระดับพื้นที่และการสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน รวมถึงเพิ่มกลไก “ประชารัฐ” เนื่องจากการดำเนินการหลายเรื่องจำเป็นต้องให้ภาคเอกชนและประชาชนสนับสนุน และ 3) จัดลำดับความสำคัญของงานกำหนดสัดส่วนทรัพยากร/งบประมาณ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่ออนาคตของประเทศไทยในระยะ 20 ปี ได้แก่ การจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นระดับภาค รวม 4 ภาค โดยได้จัดในภาคกลางและภาคเหนือไปแล้ว
(2) คณะอนุกรรมการบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติมีแนวทางการดำเนินการโดยบูรณาการทั้งงานภารกิจประจำ (Fuction) และพื้นที่ (Area) จึงได้เชิญปลัดกระทรวงทั้ง 20 กระทรวงมานำเสนอยุทธศาสตร์กระทรวงที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นหัวหน้ากลุ่มจังหวัดทั้ง 18 กลุ่มจังหวัดมาน าเสนอยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด รวมทั้งเชิญคณะผู้บริหาร กทม. หารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การพัฒนากรุงเทพมหานคร ระยะ 20 ปีแล้ว
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการต่าง ๆ ครอบคลุมยุทธศาสตร์ทุกด้านแล้ว เช่น ด้านการสาธารณสุขจะมีการพัฒนาคลินิกหมอครอบครัว ด้านคมนาคม มีการพัฒนาตั๋วร่วม รถเมล์ NGV การลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยเพื่อจัดสวัสดิการภาครัฐ ในส่วนของ สศช. ได้มีการเตรียมการเพื่อรองรับภารกิจการจัดทำยุทธศาสตร์และการปฏิรูปประเทศแล้ว
2.2 คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ (1) การปฏิรูปกฎหมาย (Regulatory Reform) คณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อกำกับการปฏิรูปกฎหมายซึ่ง ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานกรรมการ ได้รายงานสรุปได้ดังนี้
(1.1) ปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพหรือการดำเนินงานธุรกิจของประชาชน อาทิ การเริ่มต้นธุรกิจ การขออนุญาตก่อสร้าง การขอใช้ไฟฟ้า การจดทะเบียนทรัพย์สิน การได้รับสินเชื่อ การคุ้มครองผู้ลงทุน การชำระภาษีการค้าระหว่างประเทศ การบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง การแก้ปัญหาการล้มละลาย กฎหมายที่เกี่ยวกับการให้ใบอนุญาต (licenses)
(1.2) ปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่สร้างภาระโดยไม่จำเป็นต่อประชาชน อาทิ กฎหมายที่กำหนดขั้นตอนการจดแจ้งเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของประชาชน ตั้งแต่การเกิด การได้รับการดูแลสุขภาพ การขอใช้สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ และการตาย
(1.3) ตรวจสอบและติดตามกฎหมายให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และการปฏิรูปประเทศ
(1.4) เสนอกฎหมายที่จัดทำกฎหมายใหม่ที่จำเป็น (กฎหมายที่ต้องตราขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึงกฎหมายได้โดยง่าย) เช่น กฎหมายว่าด้วยการบูรณาการการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ กฎหมายว่าด้วยการทำประมวลกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน
(2) การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ (Administrative Reform) เลขาธิการ ก.พ.ร. ได้นำเสนอแผนการปฏิรูประบบการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญ ได้แก่
(2.1) การปฏิรูปกฎหมาย
(2.2) การยกระดับคุณภาพการให้บริการประชาชน โดยมีแผนงานสำคัญ ๆ
ที่จะผลักดันให้สำเร็จภายใน 6 เดือน และภายในปี 2560 เช่น การปรับลดระยะเวลาและขั้นตอนในการ
บริการประชาชนให้ได้ 30 - 50% การจัดตั้งศูนย์รับคำขอนุญาต การปรับกระบวนงานที่เกี่ยวข้องกับการ
ประกอบธุรกิจให้เป็นดิจิทัล การเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อลดภาระในการยื่นเอกสารของ
ประชาชน
(2.3) การปฏิรูประบบตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ โดยให้เชื่อมโยงกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูป
(2.4) การปรับเปลี่ยนสู่รัฐบาลที่คล่องตัว โดยจะผลักดันให้ทุกหน่วยงานจัดทำ “แผนปฏิรูปองค์กร” ให้แล้วเสร็จภายใน 4เดือน มีแนวทาง คือ การทบทวนภารกิจภาครัฐ โดยรัฐควรทำเฉพาะภารกิจที่จำเป็น ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ โอนถ่ายงานให้ภาคเอกชนท้องถิ่น ปรับการทำงานเป็นดิจิทัล
(2.5) การปฏิรูปการบริหารจัดการกำลังคน จะมีรูปแบบการบริหารกำลังคนและระบบการจ้างงานภาครัฐใหม่ที่เปิดกว้างและหลากหลายขึ้น สามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญจากเอกชนและต่างประเทศเข้ามาในระบบได้ รวมทั้งกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าของบุคลากรภาครัฐในแต่ละกลุ่มให้ชัดเจน
(2.6) การปฏิรูปงบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้าง
(2.7) การปรับเปลี่ยนสู่รัฐบาลดิจิทัล โครงการ Big Data
(3) การปฏิรูปเชิงระบบและโครงสร้าง (Structural Reform) ดร. บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการ ดังนี้
(3.1) ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง : การปฏิรูประบบความมั่งคงทางอาหารทั้งในด้านการอนุรักษ์และเพิ่มพูนฐานความหลากหลายทางชีวภาพ การส่งเสริมระบบเกษตรกรรมยั่งยืน และระบบอาหารปลอดภัย (Food Safety) ในระยะต่อไปจะมีการดำเนินงานในด้านความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำและด้านผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(3.2) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม :มีการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
การปฏิรูประบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EIA/EHIA) และสร้างความเชื่อมโยงกับ “การประเมินยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ยั่งยืน” (SEA: Strategic EnvironmentalAssessment) การปฏิรูประบบการบริหารจัดการระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งทั้งในเรื่องการกัดเซาะชายฝั่ง การจัดการขยะชายฝั่งและเกาะ และการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในทะเล (One Marine Map) การปฏิรูปการจัดการความขัดแย้งปัญหาที่ดิน – ป่าไม้ โดยการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายด้านป่าไม้ การออกกฎหมายป่าชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลจัดการป่าอย่างยั่งยืนในระยะต่อไปจะมีการดำเนินงานปฏิรูปด้านการผังเมือง และด้านการจัดการขยะและสารเคมี
(3.3) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรมในสังคมการปฏิรูปการกระจายการถือครองที่ดิน (ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ) โดยการจัดตั้งธนาคารที่ดิน คณะกรรมการนโยบาย ที่ดินแห่งชาติ และระบบภาษีที่ดินที่เป็นธรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยการจัดตั้งระบบยุติธรรมชุมชนการปฏิรูประบบการสอบสวน และการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง การปฏิรูประบบภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
(3.4) ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน : การปฏิรูประบบการศึกษาโดยเริ่มจากโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็ก และการศึกษาปฐมวัย การดำเนินงานปฏิรูปในทุกด้าน ได้มีการกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบและกรอบเวลาดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนไว้อย่างชัดเจน เพื่อการเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
(4) การปฏิรูปเชิงพื้นที่และสังคม (Area Based Reform) ได้มีการดำเนินการดังนี้
(4.1) การดำเนินโครงการสานพลังเพื่อปฏิรูปพื้นที่และสังคม มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนระดับหมู่บ้าน ซึ่งจะนำไปสู่สัญญาประชาคม และวาระการปฏิรูปของพื้นที่โดยมีความคืบหน้าในการดำเนินการโดยได้สร้างความชัดเจนในแนวทางการขับเคลื่อนกับกระทรวงมหาดไทยการจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่ตำบลเข้มแข็งเพื่อน าร่องในระยะแรก และการจัดทำเครื่องมือข้อมูลเพื่อจัดกระบวนการประชาสังคม
(4.2) โครงการสานพลังคนรุ่นใหม่คืนถิ่นเพื่อปรับ Mind Set ไปสู่การเป็น Citizen Reform สร้างคนรุ่นใหม่เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ เช่น โครงการคนกล้าคืนถิ่น บัณฑิตคืนถิ่น เป็นต้น ในระยะต่อไปจะได้ขยายผลการดำเนินการและสร้างต้นแบบให้เป็น Change Agent ประจำตำบลและขยายผลลงสู่ชุมชนต่อไป
(5) การปฏิรูปการศึกษาและการปฏิรูปตำรวจ
(5.1) การปฏิรูปการศึกษาได้กำหนดแนวทางและมาตรการแก้ปัญหาการศึกษา เช่น ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ผู้สูงอายุ คนรุ่นใหม่ทิ้งถิ่น การผลิตคนไม่ได้ตรงต่อความต้องการของตลาดแรงงาน การปลูกจิตสำนึกของการเป็นพลเมืองไทย ทักษะการดำรงชีวิต การมีงานทำของบัณฑิต ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม การมีวินัยในตนเอง
(5.2) การปฏิรูปตำรวจได้แต่งตั้งอนุกร รมการ รวม 5 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการด้านการบริหารงานบุคคล คณะอนุกรรมการด้านการบังคับใช้กฎหมายและระบบสอบสวนคดีอาญา คณะอนุกรรมการด้านหน้าที่ อำนาจ และภารกิจของตำรวจ คณะอนุกรรมการด้านการรับฟังความคิดเห็น และคณะอนุกรรมการด้านวิชาการ
โดย ที่ประชุมมีข้อสังเกต ดังนี้
(1) การปฏิรูปกฎหมายควรพิจารณาจัดทำกฎหมายที่สนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญที่ต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน
(2) การปฏิรูปเชิงระบบและโครงสร้าง ควรกำหนดให้มีการปฏิรูปด้านความมั่นคง เพื่อรองรับภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ต่าง ๆ ด้วย
(3) การปฏิรูปเชิงพื้นที่และสังคมควรลงพื้นที่เพื่อให้ได้ข้อมูลความเดือดร้อนและความต้องการเร่งด่วนของประชาชน และนำมาจัดทำเป็นแผนแม่บทว่า ใน 1 ปี จะต้องดำเนินโครงการ/กิจกรรมใดเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชน
2.3 คณะกรรมการตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ได้ดำเนินงาน (1) รับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน รวม 15,692 คน (2) บูรณาการข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ และ (3) จัดทำร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง
(1) ร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ มีจำนวน 10 ข้อ พร้อมทั้งผนวกประกอบร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ จำนวน 15 ข้อ มีสาระสำคัญเพื่อให้คนไทยทุกคน ได้ยึดถือเป็นกรอบแนวทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบ สันติในอนาคต อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กล่าวคือ คนไทยทุกคนต้องเคารพกฎหมาย และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม รัฐบาล ประชาชน และทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองในทุกมิติอย่างครบวงจร โดยมีเป้าหมายที่ประชาชนทั้งประเทศได้รับผลประโยชน์สูงสุดรวมทั้ง เกิดความสามัคคีปรองดอง ดำรงชีวิตตามศาสตร์พระราชา บนพื้นฐานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนมีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป
(2) การจัดงานแถลงสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ มีกำหนดจะจัดในวันเดียวกันในห้วงเวลาที่เหมาะสมพร้อมกันทั่วประเทศ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั้งนี้ ภายหลังการจัดงานแถลงสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ คณะกรรมการเตรียมการฯ มีแผนงานที่จะขยายผลการสร้างความสามัคคีปรองดองอย่างต่อเนื่องไปจนกว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไป เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้สัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ ให้กับประชาชนทุกหมู่เหล่า ได้รับทราบกรอบแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติในอนาคต
ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ 10 ข้อ และแนวทางการแถลงสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ
2.4 คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ นายปกรณ์ นิลประพันธ์รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี(PMDU) ในฐานะเลขานุการ บยศ. ได้รายงานสรุปผลการดำเนินการของ บยศ. ที่ได้ปลดล็อค ขับเคลื่อน และเร่งรัดนโยบายสำคัญตาม Agenda โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น
(1) การขับเคลื่อนเรื่องเร่งด่วนด้านคมนาคมขนส่งจะเปิดเดินรถเชื่อมสายสีน้ำเงิน – สีม่วงในเดือนสิงหาคม 2560 และในส่วนโครงการรถไฟไทย - จีนจะเริ่มก่อสร้างช่วงแรกในเดือนตุลาคม 2560 ส่วนการจัดตั้งAviation Hubอยู่ระหว่างเสนอ สงป. พิจารณางบฯ จัดจ้าง ทปษ. จัดทำ Master Plan และ EHIA คาดว่าจะใช้เวลาจัดทำแผนฯ 10 เดือน
(2) การขับเคลื่อนด้านสาธารณสุขเปิดคลินิกหมอครอบครัวแล้ว 596 ทีมทั่วประเทศและเสนอตั้ง คกก. พัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ
(3) การขับเคลื่อนด้านพลังงานได้มีคำสั่ง หน.คสช. ที่ 31/2560 เพื่อแก้ไขปัญหาบน
พื้นที่ ส.ป.ก. ที่มีข้อพิพาทด้านกฎหมายให้กิจการปิโตรเลียม พลังงานทดแทน และเหมืองแร่ ดำเนินต่อไปได้
(4) ระบบและกลไกการกำกับติดตามประเมินผลโครงการตามแนวทางการสร้าง
ความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจในประเทศ (Local Economy) ผ่านกลไก 18 กลุ่มจังหวัด
เบิกจ่ายงบประมาณจากทั้งหมด 115,000 ล้านบาทให้จังหวัด/กลุ่มจังหวัด แล้ว 27,351 ล้านบาท (ร้อยละ 23.78)
(5) การดำเนินการระบบการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาระบบ Big Data โดยเริ่มดำเนินโครงการนำร่องที่ จ.ชัยนาท และ จ.แม่ฮ่องสอนแล้ว
(6) การปรับโครงสร้าง สศช. ปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามมติ บยศ. และกำหนดแนวทางการปรับปรุงองค์กร ให้สามารถขับเคลื่อนภารกิจใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับภารกิจงานด้านยุทธศาสตร์ชาติ/การปฏิรูปประเทศที่กำหนดในร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับ ทั้งนี้ บยศ. ได้กำหนดนโยบายสำคัญตาม Agenda ที่จะเร่งรัดขับเคลื่อนในระยะต่อไป ได้แก่ (1) การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (2) การขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริม SMEs และ (3) การพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนของส่วนราชการ
ที่ประชุมรับทราบ
3. การเตรียมความพร้อมและกลไกการรองรับภารกิจตามพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560 สศช. ได้รายงานเรื่อง การเตรียมการความพร้อมและกลไกการดำเนินงานของ สศช. เพื่อรองรับ
ภารกิจยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ โดยอยู่ระหว่างการดำเนินการ การยกร่างระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการดำเนินงานด้านการประชุม การปฏิบัติหน้าที่ การจ้างที่ปรึกษา และการกำหนดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย และประโยชน์ตอบแทนอื่น รวมทั้งปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. ของสำนักงานฯ เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างตามภารกิจยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ตามที่คณะกรรมการ บยศ. เห็นชอบและที่คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกรกฎาคม 2560
1. ทิศทางและบทบาทของ ป.ย.ป. ภายหลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560 รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานว่า เมื่อกฎหมายทั้ง 2 ฉบับประกาศใช้บังคับแล้ว รัฐบาลจะต้องตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ 11 คณะ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติอีกคณะเพื่อทำหน้าที่ยกร่างแผนการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ โดยทั้ง 2 คณะ จะใช้เวลาในการยกร่างแผนปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติประมาณ 10 – 14 เดือน ดังนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว ป.ย.ป จึงจะเป็นต้องทำหน้าที่ต่อเพื่อให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้เป็นไปอย่างต่อเนื่องจนเมื่อ คณะรัฐมนตรีอนุมัติแผนปฏิรูปประเทศ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติเห็นชอบยุทธศาสตร์ชาติแล้ว จึงจะพิจารณาความจำเป็นในการคงอยู่ของ ป.ย.ป ต่อไป
2. ภาพรวมการขับเคลื่อน ป.ย.ป.
2.1 คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ(ตยศ.) รายงานความก้าวหน้ากลไกการดำเนินงานและ
บทบาทหน้าที่ของคณะอนุกรรมการบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติและคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาและรับฟังความ
คิดเห็นสรุปได้ดังนี้
(1) คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาและรับฟังความคิดเห็น มีข้อเสนอแนะประเด็นเพิ่มเติมต่อสาระของร่างยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ดังนี้ 1) ควรระบุเป้าหมายสุดท้ายและจุดเน้นการพัฒนาให้ชัดเจน เช่น การเป็นมหาอำนาจทางอาหาร การเป็นประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ 1 ใน 3 เสือเอเชีย 2) มีกลไกในระดับพื้นที่และการสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน รวมถึงเพิ่มกลไก “ประชารัฐ” เนื่องจากการดำเนินการหลายเรื่องจำเป็นต้องให้ภาคเอกชนและประชาชนสนับสนุน และ 3) จัดลำดับความสำคัญของงานกำหนดสัดส่วนทรัพยากร/งบประมาณ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่ออนาคตของประเทศไทยในระยะ 20 ปี ได้แก่ การจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นระดับภาค รวม 4 ภาค โดยได้จัดในภาคกลางและภาคเหนือไปแล้ว
(2) คณะอนุกรรมการบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติมีแนวทางการดำเนินการโดยบูรณาการทั้งงานภารกิจประจำ (Fuction) และพื้นที่ (Area) จึงได้เชิญปลัดกระทรวงทั้ง 20 กระทรวงมานำเสนอยุทธศาสตร์กระทรวงที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นหัวหน้ากลุ่มจังหวัดทั้ง 18 กลุ่มจังหวัดมาน าเสนอยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด รวมทั้งเชิญคณะผู้บริหาร กทม. หารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การพัฒนากรุงเทพมหานคร ระยะ 20 ปีแล้ว
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการต่าง ๆ ครอบคลุมยุทธศาสตร์ทุกด้านแล้ว เช่น ด้านการสาธารณสุขจะมีการพัฒนาคลินิกหมอครอบครัว ด้านคมนาคม มีการพัฒนาตั๋วร่วม รถเมล์ NGV การลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยเพื่อจัดสวัสดิการภาครัฐ ในส่วนของ สศช. ได้มีการเตรียมการเพื่อรองรับภารกิจการจัดทำยุทธศาสตร์และการปฏิรูปประเทศแล้ว
2.2 คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ (1) การปฏิรูปกฎหมาย (Regulatory Reform) คณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อกำกับการปฏิรูปกฎหมายซึ่ง ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานกรรมการ ได้รายงานสรุปได้ดังนี้
(1.1) ปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพหรือการดำเนินงานธุรกิจของประชาชน อาทิ การเริ่มต้นธุรกิจ การขออนุญาตก่อสร้าง การขอใช้ไฟฟ้า การจดทะเบียนทรัพย์สิน การได้รับสินเชื่อ การคุ้มครองผู้ลงทุน การชำระภาษีการค้าระหว่างประเทศ การบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง การแก้ปัญหาการล้มละลาย กฎหมายที่เกี่ยวกับการให้ใบอนุญาต (licenses)
(1.2) ปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่สร้างภาระโดยไม่จำเป็นต่อประชาชน อาทิ กฎหมายที่กำหนดขั้นตอนการจดแจ้งเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของประชาชน ตั้งแต่การเกิด การได้รับการดูแลสุขภาพ การขอใช้สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ และการตาย
(1.3) ตรวจสอบและติดตามกฎหมายให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และการปฏิรูปประเทศ
(1.4) เสนอกฎหมายที่จัดทำกฎหมายใหม่ที่จำเป็น (กฎหมายที่ต้องตราขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึงกฎหมายได้โดยง่าย) เช่น กฎหมายว่าด้วยการบูรณาการการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ กฎหมายว่าด้วยการทำประมวลกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน
(2) การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ (Administrative Reform) เลขาธิการ ก.พ.ร. ได้นำเสนอแผนการปฏิรูประบบการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญ ได้แก่
(2.1) การปฏิรูปกฎหมาย
(2.2) การยกระดับคุณภาพการให้บริการประชาชน โดยมีแผนงานสำคัญ ๆ
ที่จะผลักดันให้สำเร็จภายใน 6 เดือน และภายในปี 2560 เช่น การปรับลดระยะเวลาและขั้นตอนในการ
บริการประชาชนให้ได้ 30 - 50% การจัดตั้งศูนย์รับคำขอนุญาต การปรับกระบวนงานที่เกี่ยวข้องกับการ
ประกอบธุรกิจให้เป็นดิจิทัล การเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อลดภาระในการยื่นเอกสารของ
ประชาชน
(2.3) การปฏิรูประบบตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ โดยให้เชื่อมโยงกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูป
(2.4) การปรับเปลี่ยนสู่รัฐบาลที่คล่องตัว โดยจะผลักดันให้ทุกหน่วยงานจัดทำ “แผนปฏิรูปองค์กร” ให้แล้วเสร็จภายใน 4เดือน มีแนวทาง คือ การทบทวนภารกิจภาครัฐ โดยรัฐควรทำเฉพาะภารกิจที่จำเป็น ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ โอนถ่ายงานให้ภาคเอกชนท้องถิ่น ปรับการทำงานเป็นดิจิทัล
(2.5) การปฏิรูปการบริหารจัดการกำลังคน จะมีรูปแบบการบริหารกำลังคนและระบบการจ้างงานภาครัฐใหม่ที่เปิดกว้างและหลากหลายขึ้น สามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญจากเอกชนและต่างประเทศเข้ามาในระบบได้ รวมทั้งกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าของบุคลากรภาครัฐในแต่ละกลุ่มให้ชัดเจน
(2.6) การปฏิรูปงบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้าง
(2.7) การปรับเปลี่ยนสู่รัฐบาลดิจิทัล โครงการ Big Data
(3) การปฏิรูปเชิงระบบและโครงสร้าง (Structural Reform) ดร. บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการ ดังนี้
(3.1) ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง : การปฏิรูประบบความมั่งคงทางอาหารทั้งในด้านการอนุรักษ์และเพิ่มพูนฐานความหลากหลายทางชีวภาพ การส่งเสริมระบบเกษตรกรรมยั่งยืน และระบบอาหารปลอดภัย (Food Safety) ในระยะต่อไปจะมีการดำเนินงานในด้านความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำและด้านผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(3.2) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม :มีการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
การปฏิรูประบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EIA/EHIA) และสร้างความเชื่อมโยงกับ “การประเมินยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ยั่งยืน” (SEA: Strategic EnvironmentalAssessment) การปฏิรูประบบการบริหารจัดการระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งทั้งในเรื่องการกัดเซาะชายฝั่ง การจัดการขยะชายฝั่งและเกาะ และการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในทะเล (One Marine Map) การปฏิรูปการจัดการความขัดแย้งปัญหาที่ดิน – ป่าไม้ โดยการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายด้านป่าไม้ การออกกฎหมายป่าชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลจัดการป่าอย่างยั่งยืนในระยะต่อไปจะมีการดำเนินงานปฏิรูปด้านการผังเมือง และด้านการจัดการขยะและสารเคมี
(3.3) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรมในสังคมการปฏิรูปการกระจายการถือครองที่ดิน (ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ) โดยการจัดตั้งธนาคารที่ดิน คณะกรรมการนโยบาย ที่ดินแห่งชาติ และระบบภาษีที่ดินที่เป็นธรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยการจัดตั้งระบบยุติธรรมชุมชนการปฏิรูประบบการสอบสวน และการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง การปฏิรูประบบภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
(3.4) ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน : การปฏิรูประบบการศึกษาโดยเริ่มจากโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็ก และการศึกษาปฐมวัย การดำเนินงานปฏิรูปในทุกด้าน ได้มีการกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบและกรอบเวลาดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนไว้อย่างชัดเจน เพื่อการเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
(4) การปฏิรูปเชิงพื้นที่และสังคม (Area Based Reform) ได้มีการดำเนินการดังนี้
(4.1) การดำเนินโครงการสานพลังเพื่อปฏิรูปพื้นที่และสังคม มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนระดับหมู่บ้าน ซึ่งจะนำไปสู่สัญญาประชาคม และวาระการปฏิรูปของพื้นที่โดยมีความคืบหน้าในการดำเนินการโดยได้สร้างความชัดเจนในแนวทางการขับเคลื่อนกับกระทรวงมหาดไทยการจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่ตำบลเข้มแข็งเพื่อน าร่องในระยะแรก และการจัดทำเครื่องมือข้อมูลเพื่อจัดกระบวนการประชาสังคม
(4.2) โครงการสานพลังคนรุ่นใหม่คืนถิ่นเพื่อปรับ Mind Set ไปสู่การเป็น Citizen Reform สร้างคนรุ่นใหม่เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ เช่น โครงการคนกล้าคืนถิ่น บัณฑิตคืนถิ่น เป็นต้น ในระยะต่อไปจะได้ขยายผลการดำเนินการและสร้างต้นแบบให้เป็น Change Agent ประจำตำบลและขยายผลลงสู่ชุมชนต่อไป
(5) การปฏิรูปการศึกษาและการปฏิรูปตำรวจ
(5.1) การปฏิรูปการศึกษาได้กำหนดแนวทางและมาตรการแก้ปัญหาการศึกษา เช่น ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ผู้สูงอายุ คนรุ่นใหม่ทิ้งถิ่น การผลิตคนไม่ได้ตรงต่อความต้องการของตลาดแรงงาน การปลูกจิตสำนึกของการเป็นพลเมืองไทย ทักษะการดำรงชีวิต การมีงานทำของบัณฑิต ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม การมีวินัยในตนเอง
(5.2) การปฏิรูปตำรวจได้แต่งตั้งอนุกร รมการ รวม 5 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการด้านการบริหารงานบุคคล คณะอนุกรรมการด้านการบังคับใช้กฎหมายและระบบสอบสวนคดีอาญา คณะอนุกรรมการด้านหน้าที่ อำนาจ และภารกิจของตำรวจ คณะอนุกรรมการด้านการรับฟังความคิดเห็น และคณะอนุกรรมการด้านวิชาการ
โดย ที่ประชุมมีข้อสังเกต ดังนี้
(1) การปฏิรูปกฎหมายควรพิจารณาจัดทำกฎหมายที่สนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญที่ต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน
(2) การปฏิรูปเชิงระบบและโครงสร้าง ควรกำหนดให้มีการปฏิรูปด้านความมั่นคง เพื่อรองรับภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ต่าง ๆ ด้วย
(3) การปฏิรูปเชิงพื้นที่และสังคมควรลงพื้นที่เพื่อให้ได้ข้อมูลความเดือดร้อนและความต้องการเร่งด่วนของประชาชน และนำมาจัดทำเป็นแผนแม่บทว่า ใน 1 ปี จะต้องดำเนินโครงการ/กิจกรรมใดเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชน
2.3 คณะกรรมการตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ได้ดำเนินงาน (1) รับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน รวม 15,692 คน (2) บูรณาการข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ และ (3) จัดทำร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง
(1) ร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ มีจำนวน 10 ข้อ พร้อมทั้งผนวกประกอบร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ จำนวน 15 ข้อ มีสาระสำคัญเพื่อให้คนไทยทุกคน ได้ยึดถือเป็นกรอบแนวทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบ สันติในอนาคต อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กล่าวคือ คนไทยทุกคนต้องเคารพกฎหมาย และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม รัฐบาล ประชาชน และทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองในทุกมิติอย่างครบวงจร โดยมีเป้าหมายที่ประชาชนทั้งประเทศได้รับผลประโยชน์สูงสุดรวมทั้ง เกิดความสามัคคีปรองดอง ดำรงชีวิตตามศาสตร์พระราชา บนพื้นฐานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนมีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป
(2) การจัดงานแถลงสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ มีกำหนดจะจัดในวันเดียวกันในห้วงเวลาที่เหมาะสมพร้อมกันทั่วประเทศ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั้งนี้ ภายหลังการจัดงานแถลงสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ คณะกรรมการเตรียมการฯ มีแผนงานที่จะขยายผลการสร้างความสามัคคีปรองดองอย่างต่อเนื่องไปจนกว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไป เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้สัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ ให้กับประชาชนทุกหมู่เหล่า ได้รับทราบกรอบแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติในอนาคต
ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ 10 ข้อ และแนวทางการแถลงสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ
2.4 คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ นายปกรณ์ นิลประพันธ์รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี(PMDU) ในฐานะเลขานุการ บยศ. ได้รายงานสรุปผลการดำเนินการของ บยศ. ที่ได้ปลดล็อค ขับเคลื่อน และเร่งรัดนโยบายสำคัญตาม Agenda โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น
(1) การขับเคลื่อนเรื่องเร่งด่วนด้านคมนาคมขนส่งจะเปิดเดินรถเชื่อมสายสีน้ำเงิน – สีม่วงในเดือนสิงหาคม 2560 และในส่วนโครงการรถไฟไทย - จีนจะเริ่มก่อสร้างช่วงแรกในเดือนตุลาคม 2560 ส่วนการจัดตั้งAviation Hubอยู่ระหว่างเสนอ สงป. พิจารณางบฯ จัดจ้าง ทปษ. จัดทำ Master Plan และ EHIA คาดว่าจะใช้เวลาจัดทำแผนฯ 10 เดือน
(2) การขับเคลื่อนด้านสาธารณสุขเปิดคลินิกหมอครอบครัวแล้ว 596 ทีมทั่วประเทศและเสนอตั้ง คกก. พัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ
(3) การขับเคลื่อนด้านพลังงานได้มีคำสั่ง หน.คสช. ที่ 31/2560 เพื่อแก้ไขปัญหาบน
พื้นที่ ส.ป.ก. ที่มีข้อพิพาทด้านกฎหมายให้กิจการปิโตรเลียม พลังงานทดแทน และเหมืองแร่ ดำเนินต่อไปได้
(4) ระบบและกลไกการกำกับติดตามประเมินผลโครงการตามแนวทางการสร้าง
ความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจในประเทศ (Local Economy) ผ่านกลไก 18 กลุ่มจังหวัด
เบิกจ่ายงบประมาณจากทั้งหมด 115,000 ล้านบาทให้จังหวัด/กลุ่มจังหวัด แล้ว 27,351 ล้านบาท (ร้อยละ 23.78)
(5) การดำเนินการระบบการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาระบบ Big Data โดยเริ่มดำเนินโครงการนำร่องที่ จ.ชัยนาท และ จ.แม่ฮ่องสอนแล้ว
(6) การปรับโครงสร้าง สศช. ปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามมติ บยศ. และกำหนดแนวทางการปรับปรุงองค์กร ให้สามารถขับเคลื่อนภารกิจใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับภารกิจงานด้านยุทธศาสตร์ชาติ/การปฏิรูปประเทศที่กำหนดในร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับ ทั้งนี้ บยศ. ได้กำหนดนโยบายสำคัญตาม Agenda ที่จะเร่งรัดขับเคลื่อนในระยะต่อไป ได้แก่ (1) การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (2) การขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริม SMEs และ (3) การพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนของส่วนราชการ
ที่ประชุมรับทราบ
3. การเตรียมความพร้อมและกลไกการรองรับภารกิจตามพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560 สศช. ได้รายงานเรื่อง การเตรียมการความพร้อมและกลไกการดำเนินงานของ สศช. เพื่อรองรับ
ภารกิจยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ โดยอยู่ระหว่างการดำเนินการ การยกร่างระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการดำเนินงานด้านการประชุม การปฏิบัติหน้าที่ การจ้างที่ปรึกษา และการกำหนดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย และประโยชน์ตอบแทนอื่น รวมทั้งปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. ของสำนักงานฯ เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างตามภารกิจยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ตามที่คณะกรรมการ บยศ. เห็นชอบและที่คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกรกฎาคม 2560
ที่มา ; เว็บ รัฐบาลไทย
โหลด - อ่าน - เรื่องเด่น
โหลด - อ่าน - เรื่องเด่น
เกณฑ์สอบผู้บริหารการศึกษา ปี 2560
โหลด-อ่าน ฉบับเต็มรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ที่
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/040/1.PDF
เกณฑ์สอบผู้บริหารการศึกษา ปี 2560
โหลด-อ่าน ฉบับเต็มรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ที่
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/040/1.PDF
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/040/1.PDF
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
เว็บฟรี...1,000 ชุด 10,000 ข้อ
ติวสอบครูผู้ช่วย-ผู้บริหาร-บุคลากรการศึกษา ที่
" ติวสอบดอทคอม โดย อ.นิกร "
เว็บฟรี...1,000 ชุด 10,000 ข้อ
ติวสอบครูผู้ช่วย-ผู้บริหาร-บุคลากรการศึกษา ที่
" ติวสอบดอทคอม โดย อ.นิกร "
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น