อ่านชัด-อ่านครบ กด ดูเวอร์ชั่นสำหรับเว็บ (ด้านล่าง)
เรื่องใหม่น่าสนใจ (ทั้งหมด ที่ )
(เนื้อหา-ข้อสอบ 1,000 ชุุด หมื่นข้อ ภาค กข
+ 40 วิชาเอก) ที่ ห้องสอบด้านขวา หรือ
เว็บฟรีข้อสอบ 1,000 ชุด ที่ ติวสอบดอทคอม คลิ๊ก www.tuewsob.com
-นายกรัฐมนตรีพบเพื่อนครู + การศึกษาไทยศตวรรษ 21 นี่
-กำหนดการสอบครูผู้ช่วย ครั้งที่ 1 ปี 2559
-คู่มือ 4 ชุด นโยบาย บริบริหาร ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
ข้อสอบออนไลน์ ( พัฒนาความรู้ครู - ผู้บริหาร - บุคลากรการศึกษา) ชุดใหม่
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ 9 กันยายน 2559
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2559 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
ผมขอแสดงความยินดีกับคณะเยาวชนไทย จากโรงเรียนสุราษฎร์พิทยา จังหวัด สุราษฎร์ธานี ได้แก่ นางสาวสุรีย์พร ตรีเพชรประภา นางสาวธิดารัตน์ เพียร และ นางสาวกาญจนา คมกล้า ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานวิจัย “นวัตกรรมการกักเก็บน้ำโดยเลียนแบบสับปะรดสี” ซึ่งชนะเลิศจากการประกวดผลงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาทั่วประเทศ ประจำปี 2559 และได้รับ “รางวัลชนะเลิศ” ในการประกวด Stockholm Junior Water Prize ที่เมืองสต็อกโฮม ประเทศสวีเดน ซึ่งนับเป็นเกียรติอย่างสูง ที่ได้รับพระกรุณาธิคุณจากเจ้าฟ้าชายคาร์ล ฟิลิป แห่งสวีเดน ประทานรางวัล ในครั้งนี้อีกด้วย
ผมขอขอบคุณและชื่นชม อาจารย์ที่ปรึกษาทั้ง 2 ท่าน ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ พร้อมทั้ง สสวท. (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันผลงานเยาวชนไทยดังกล่าว สู่สายตาชาวโลก และชนะเวทีการประกวดระดับนานาชาติ ซึ่งผลงานนี้จะเป็นนวัตกรรมด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ สอดคล้องกันการพัฒนาที่ยั่งยืน เกิดจากการเรียนรู้ จากการสังเกตธรรมชาติ และสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน หลายอย่างถ้าทุกคนมองผ่าน ๆ ก็จะไม่เห็นประโยชน์อะไร แต่ถ้าหากมองอย่างพินิจ พิเคราะห์ อาจจะนำมาสู่การคิดการนำสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ หรือโลกอีกก็ได้ ผมเห็นว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่คงต้องเริ่มจากจุดเล็ก ๆ อย่างนี้เสมอ เหมือนการสร้างบ้าน สร้างอาคารสูง ก็ต้องเริ่มจากลงเสาเข็ม ก้อนอิฐ ก้อนเล็ก ๆ มาประกอบกันเช่นกัน
สำหรับผลงานวิจัยนี้ เกิดจากการศึกษาการกลไกทางธรรมชาติ 2 ประการ คือ (1) การกักเก็บน้ำและรักษาความชื้นของสับปะรดสี ประกอบด้วย การสังเกตคุณสมบัติเฉพาะ ของแผ่นสังกะสีเคลือบอะลูมิเนียมมุงหลังคาบ้านที่มีความจุความร้อนน้อย ในช่วงเวลากลางคืนเมื่อไอน้ำในอากาศมากระทบจึงกลั่นตัวเป็นหยดน้ำได้ง่าย จนนำมาสู่การประยุกต์ เป็นต้นแบบสร้างอุปกรณ์ในการกักเก็บน้ำเลียนแบบสับปะรดสี โดยประดิษฐ์จากแผ่นอะลูมิเนียม นับเป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะในภาคการเกษตรได้ โดยโมเดลจากการวิจัยนี้ช่วยให้เกษตรกรสามารถปลูกพืชได้แม้ในสภาวะแห้งแล้ง จากการนำชุดอุปกรณ์นี้ ที่มีราคาต้นทุนเพียงชุดละ 25 บาท ไปใช้งานจริงติดตั้งบนต้นยางพาราซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ พบว่าสามารถรักษาความชื้นในดินได้ มากกว่าปกติร้อยละ 17 ประหยัดการรดน้ำลงกว่าปกติ ร้อยละ 10 ให้ผลผลิตสูงขึ้น ร้อยละ 57 และสามารถคืนทุนได้ภายใน 6 วัน ผมคิดว่านวัตกรรมนี้ เกิดจากการสังเกตและผลิตอย่างง่าย ๆ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเยาวชนช่วยกันประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ เหล่านี้ และให้ได้รับการพัฒนาด้วยหลักวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่เหมาะสม มีการสนับสนุนสู่การผลิต มีการใช้ผมก็คิดว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ๆ ขึ้นไปหลาย ๆ อย่าง ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาต่อยอดต่อไป อย่างปล่อยให้ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ น่าเสียดาย
จากการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ได้เห็นชอบให้เพิ่มบทบาทของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) นับเป็นกลไกใหม่ ในแต่ละทุกกระทรวงให้มีหน้าที่ประสานงาน เร่งรัด กำกับ ดูแลและติดตาม ให้รัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชนในกำกับของกระทรวง ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ รวมทั้งติดตามประเมินผลการดำเนินงานด้วย โดยจะต้องทำงานประสานสอดคล้องกับ ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ป.ป.ช. ป.ป.ท. สตง. และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย รัฐบาลนี้ถือว่าการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็น “วาระแห่งชาติ” การดำเนินการทุกอย่าง ต้องมิใช่เป็นเพียงแนวนโนบาย หรือเป็นแผนในกระดาษ แต่ต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังเป็นรูปธรรม ในทุกระดับอย่างมีประสิทธิภาพ เราได้ตรวจสอบพบว่า 3 ปีที่ผ่านมา (2556 – 2558) ปัญหาการทุจริตสร้างความเสียหายให้หน่วยงานรัฐ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มากกว่า 200 เรื่อง คิดมูลค่าความเสียหายมากกว่า 5 แสนล้านบาท วันนี้รัฐบาลนี้ทำให้สถานการณ์การทุจริตลดลงเห็นอย่างชัดเจน จากผลสำรวจของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะผลการจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (Corruption Perceptions Index : CPI) เกือบ 180 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2556 – 2558 อันดับของประเทศไทย “ดีขึ้น” ทุก ๆ ปี อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2556 ก่อนที่รัฐบาลนี้ และ คสช. เข้ามาบริหารประเทศ เราอยู่อันดับที่ 102 ปัจจุบันเราอยู่อันดับที่ 76 (“ดีขึ้น” เกือบ 30 อันดับ) โดยเป้าหมายสำคัญในการปราบปรามการทุจริตของ รัฐบาลคือ “คนโกงรายเก่าจะต้องหมดไป คนโกงรายใหม่จะต้องไม่เกิด และไม่เปิดโอกาสให้มีการโกง ในทุกวงการ” เพราะเราต้องทำงานเชิงรุกช่วยกันเฝ้าระวังป้องกันตั้งแต่ต้นทางโดยใช้กฎหมาย
ปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ จำนวน 258 ราย ได้มีการดำเนินการทางวินัยของต้นสังกัดแล้วเสร็จ จำนวน 62 ราย มีผลทางวินัยให้ไล่ออก 8 ราย พ้นจากตำแหน่ง 25 ราย ต้องให้โอกาสและความเป็นธรรมด้วย ที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบของหน่วยงานด้านปราบปรามทุจริต เพื่อความรอบคอบและรัดกุมเป็นไปตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ผมมีความห่วงใยเจ้าหน้าที่ระดับผู้น้อย ปฏิบัติการ ซึ่งบางทีไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือไม่ได้รู้เห็นกับการทุจริต แต่ต้องทำงานตามนโยบาย ตามคำสั่ง ไม่กล้าปฏิเสธ เนื่องจากเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย หรืออาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงสั่งการในที่ประชุม คตช. ให้พิจารณาหากลไกที่เหมาะสมในการให้ความเห็นธรรม แก่เจ้าหน้าที่ระดับล่างเหล่านั้นด้วยทั้งปัจจุบันและอนาคต เขาจะได้ไม่หวากกลัวจนทำงานไม่ได้
ผมเห็นว่าการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นของประเทศเราต้องพิจารณาอย่างเป็นระบบ และครบวงจร อาทิ (1) สภาวะแวดล้อมในปัจจุบัน ซึ่งโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง และสมัยใหม่เป็นเสมือน “ดาบ 2 คม” โดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยฝ่ายที่จ้องกระทำผิด สรรหาเครื่องมืออุปกรณ์สมัยใหม่ ที่มีราคาสูง ฝ่ายปราบปราม ก็ต้องปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานทั้งคน ทั้งเทคโนโลยี ซึ่งก็จำกัดด้วยงบประมาณ ดังนั้น กลไกที่มีศักยภาพ คือ “ประชาชนทุกคน” ที่เป็นเจ้าของประเทศ ต้องเป็นหู เป็นตา ร่วมมือกันช่วยกันเฝ้าระวัง แต่ก็คงต้องรู้กฎหมายด้วย รู้ขั้นตอนการทำงานของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย ไม่อย่างนั้นก็ตีกันไปตีกันมาจนทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน
เรื่องต่อไปคือ ปัจจัยภายในและภายนอก เรามีพื้นฐานที่ต่างกัน มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม คนอาจจะมีความไม่รู้จักพอเพียง ความโลภของมนุษย์ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่สมดุลกับความเจริญทางสังคม รายจ่าย รายได้ไม่สมดุลกัน เกิดเป็นสังคมบริโภคนิยม-วัตถุนิยม ตามมาด้วยการแย่งชิงทรัพยากรไม่เกื้อกูลกันแบ่งปันกัน เป็นโลกแห่งการแข่งขันเสรีอย่างที่ทั้งโลกเขาเป็นอยู่ในเวลานี้ คือประชาธิปไตยอย่างเสรีของตะวันตกหรือของสากล ในอดีตนั้นสังคมไทยเน้นคุณธรรม จริยธรรม แต่ในปัจจุบันเรากลับให้ความสำคัญน้อยลง เป็นไปตามกลไกของโลกใบนี้ที่เปลี่ยนแปลงไปต้องกลับมาที่เดิมด้วย เรื่องการแก้ปัญหาทุกเรื่องต้องเริ่มต้นจากจิตใจ “จิตสำนึก” ของแต่ละคน ครอบครัว โรงเรียน ชุมนชน สังคม และประเทศชาติ เป็นโอกาสและสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม เน้นสร้างการรับรู้ อย่างกว้างขวาง ให้ความสำคัญกับ “การศึกษา” ทั้งในระบบ ทั้งการเรียนรู้จากสังคม ชุมชน และให้มีการศึกษาตลอดชีวิต เพื่อจะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สร้างความเข้มแข็งให้ประชาชน ไม่ว่าเด็ก วัยรุ่น ผู้สูงอายุ ฯลฯ
สรุปสาระสำคัญ คือเราต้องแก้เรื่องนี้ที่จิตใจ ด้วยค่านิยม คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาล ทำอย่างไรถึงจะให้ง่าย เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าต้องเกิดจากใจของทุกคนจากองค์กร เราจะทำอย่างไรให้ง่ายที่จะปลูกฝัง ปลุกเร้าแรงกระตุ้น ที่ไม่มีผลกระทบเรื่องอื่น ๆ เข้าใจหลักการและเหตุผล หลายคนต้องการให้ใช้กฎหมายอย่างรุนแรง บางทีใช้กฎหมายอย่างเดียวก็ไม่สำเร็จ เพราะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ จะทำอย่างไรให้คนไม่ดีจะทำให้เป็นคนดี ดีน้อยก็เป็นดีมากทำได้อย่างไร บางคนทุจริตเพราะคิดว่าจำเป็น หน้าตาในสังคม เป็นความต้องการของครอบครัว บางคนทุจริต เพราะความไม่รู้จักพอเพียง รวยแล้วรวยอีก โดยอ้างความจำเป็นต้องหาเลี้ยงตนเอง หรือครอบครัว บางคนทุจริตด้วยเจตนาไม่รู้จักเพียงพอ เพราะฉะนั้นเราต้องมาพิจารณาว่า เราจะมีมาตรการอย่างไรที่เหมาะสมที่จะตอบโจทย์เหล่านี้ได้ เพราะเราก็มีเป้าหมายหลายกลุ่มด้วยกัน สื่อโซเชียลยุคใหม่ต้องหันกลับมาดูสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เสนอแต่เพียงเรื่องของการลงโทษ คงต้องมาสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจ สร้างจิตสำนึกอันนี้เป็นหน้าที่ของสื่อที่ต้องช่วยผมอยู่แล้ว
ระหว่างวันที่ 4 – 5 กันยายน ที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปร่วมประชุมผู้นำ G20 (G20 Summit) ณ นครหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะประธานกลุ่ม G77 ตามคำเชิญของผู้นำจีนเป็นครั้งแรกที่ประธานกลุ่ม G77 ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทยในฐานะผู้สร้างสะพานเชื่อม (bridge builder) ระหว่างสมาชิก G77 130ประเทศ และ G20 โดยเฉพาะประเด็นความสนใจของประชาคมระหว่างประเทศ ที่มีต่อการเมืองเศรษฐกิจ และวิสัยทัศน์ของรัฐบาลไทยตามหลัก“ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่รัฐบาลได้น้อมนำ มาประยุกต์ใช้ในการบริหารประเทศ ในทุกระดับ ภายใต้แนวทางการส่งเสริมการ “ระเบิดจากข้างใน” และ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” รวมทั้ง ความเชื่อมั่นเชื่อว่าศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาคนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจโลกด้วย เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของ 130 ประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของอาเซียนด้วย
ที่ผ่านมาเวทีการประชุมผู้นำ G20 จะเน้นการหารือเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่มีขนาดเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกรวมกัน คิดเป็นร้อยละ 90 ของเศรษฐกิจโลก และมีจำนวนประชากรรวมกันประมาณ 2 ใน 3 ของโลก อย่างไรก็ตาม โลกใบนี้เป็นของมนุษยชาติทุกคน “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากโลกยังคงเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งในประเทศและแต่ละประเทศด้วยกัน จะเกิดช่องว่าง ระยะห่าง ที่นับวันจะ “ขยายใหญ่ขึ้น” นำไปสู่ปัญหาระดับโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกประเทศ อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยง และต้องร่วมกันรับผิดชอบ ดังนั้น หัวข้อการหารือในปีนี้ คือ “การประสานนโยบายและแนวทางการพัฒนาใหม่ ๆ เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก”ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว กับประเทศกำลังพัฒนา ด้วยการสร้าง “หุ้นส่วนระดับโลก” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอย่างยั่งยืนและครอบคลุมไปพร้อม ๆ กันนั้นผมเห็นว่าสอดคล้องกับแนวนโยบายของไทย โดยเฉพาะในฐานะประธาน G77 ที่พยายามผลักดันให้ทุกฝ่ายผนึกกำลังกัน เพื่อสร้างความร่วมมือรูปแบบใหม่ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เดินหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่ซึ่งกันและกัน เหมือน “เพื่อน พี่ น้อง ญาติ ” ตามศักยภาพของแต่ละประเทศ และตามความสมัครใจ ในการเผชิญกับความท้าทายในหลากมิติ และเอาชนะสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ต้องกล้าคิดนอกกรอบแต่ต้องนำกลับมาเข้าสู่กฎกติกาแต่ก็ต้องหาวิธีการใหม่ ๆ และก้าวข้ามเส้นแบ่งในรูปแบบเดิมๆ สู่ความเป็น “ยานยนต์แห่งศตวรรษที่ 21” สำหรับขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ในแนวทางการพัฒนาใหม่ ๆ ประกอบด้วย (1) การให้โอกาส เปิดทางเลือกและไม่ปิดกั้นประเทศกำลังพัฒนา ทั้งในด้านนโยบายและความร่วมมือ (2) การปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากภายในโดยให้ความสำคัญแก่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการศึกษา เรียนรู้ โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆไปพร้อม ๆ กับการส่งเสริม SMEs และ Start-up อันจะเป็น “กลจักร” ใหม่ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ระดับฐานรากเชื่อมโยงเข้าสู่ “ห่วงโซ่คุณค่าโลก”และ (3) การสนับสนุนบทบาททุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ตามกลไก “ประชารัฐ”ของรัฐบาลไทย เพื่อให้บรรลุการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกันอย่างเข้มแข็งและสมดุล ซึ่งไทยพร้อมที่จะแบ่งปันประสบการณ์ตาม “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ให้เป็นทางเลือกหนึ่งในการพัฒนาที่ยั่งยืนแก่ประเทศอื่น ๆ ด้วย ดังคำกล่าวที่ว่า เราจะเจริญเติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกัน (Stronger Together)
สำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 28 และ 29 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รวม 15 การประชุม ระหว่างวันที่ 6 – 8 กันยายน 2559 นั้น มีความสัมพันธ์ เชื่อมโยงกันกับการประชุมผู้นำ G20 นอกจากกรอบความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การเงิน การค้า การลงทุน รวมทั้งการพัฒนาที่ยั่งยืนแล้ว เวทีนี้ อาเซียนและประเทศพันธมิตร เน้นความมี “พลวัต” ที่จะต้องดำเนินการสร้างความสมดุลใน 3 ด้านเพื่อนำวิสัยทัศน์ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ (1) การเสริมสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งที่ทุกคนได้รับการดูแลและประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยเฉพาะการส่งเสริมเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย “นวัตกรรม” (2) การสร้างความมั่นคง ที่แข็งแกร่ง เน้นการพัฒนาศักยภาพของคนทุกวัยอย่างสมดุล และส่งเสริมการมีส่วนร่วมในประชาคมอย่างสร้างสรรค์และ (3) การสร้างความเชื่อมโยงและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยไม่ละเลยการรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพภายในภูมิภาค เพื่อให้การไปมาหาสู่ระหว่างประชาชนเป็นอย่างราบรื่น
ทั้งนี้ อาเซียนและประชาคมโลก จำต้องปรับตัวเข้าหากัน มีพลวัต เป็นเอกภาพและเป็นปึกแผ่น ร่วมสร้างโครงสร้างสถาปัตยกรรมในภูมิภาค รวมทั้งมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศนอกภูมิภาคด้วยให้พร้อมรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่อาทิ เช่น การก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมไซเบอร์ การลักลอบค้ามนุษย์และยาเสพติด รวมถึงการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ ซึ่งเราไม่อาจหลีกเลี่ยง หรือแบ่งแยกความรับผิดชอบได้เนื่องจากทุกประเทศจะต้องได้รับผลกระทบร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น ประเทศ “ต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง” ดังนั้น เราได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายไว้เนื้อเชื่อใจกันและดำเนินกิจกรรมร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ (Constructive Joint Activities) ในลักษณะ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ในทุกกิจกรรม เราควรเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ได้รับผลประโยชน์ส่วนแบ่งร่วมอย่าง อย่างเท่าเทียม และไม่ควรแข่งขันกัน แต่ควรเรียนรู้และแบ่งปันแนวปฏิบัติ ประสบการณ์ องค์ความรู้ เทคโนโลยี ในสาขาที่แต่ละฝ่ายมีความเชี่ยวชาญ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เป็นโลกสีเขียว เป็นโลกแห่งสันติภาพ ดังนั้น สิ่งที่ประเทศไทยและประชาชน “คนไทยทุกสาขาวิชาชีพ และทุกเพศวัย” จะได้รับจาการกระชับความสัมพันธ์ จากทุกเวทีการประชุม ในทุกกรอบความร่วมมือในครั้งนี้ ถือว่า “โอกาสใหม่ ๆ” ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ของประชาชนในภูมิภาค จากการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ การเข้าถึงแหล่งทุนในการพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานคุณภาพสูง รวมทั้ง การสนับสนุนการค้าและการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน เพื่อเชื่อมต่อธุรกิจท้องถิ่น OTOP + SMEs + Start-up ให้เข้าสู่ระบบห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งสอดรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 12 นโยบาย “Thailand 4.0” และการบริหารราชการแผ่นดินของไทย ในเชิงบูรณาการโดยน้อมนำหลัก “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” มาประยุกต์ใช้ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่สอดคล้องกับ SDGs 2030 ของ UN เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนควบคู่ไปกับความสามารถในการรับมือกับประเด็นท้าทายต่าง ๆ ในอนาคตด้วย
รัฐบาลจะจัดให้มีการแถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาล ครบรอบ 2 ปี จะมีการถ่ายทอดสด ผ่านสถานีวิทยุและโทรทัศน์ ในเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ รายละเอียดต่าง ๆ ได้รวบรวมเป็นหนังสือ สำหรับเผยแพร่และแจกจ่ายพี่น้องสื่อมวลชน ซึ่งในวันนั้น ผมและ รองนายกรัฐมนตรี ทั้ง 6 ท่าน ชี้แจงสรุปนโยบายและแนวทางการดำเนินงานของ รัฐบาล ตั้งแต่เริ่มเข้ามาบริหารประเทศ จนถึงปัจจุบัน ในแต่ละปัญหาที่สำคัญๆ ของประเทศ ที่ได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน เริ่มต้นกำลังทำแล้วต้องทำต่อไปมีความแตกต่างจากในอดีตอย่างไร ที่ผ่านมา และผลของความคืบหน้าในการดำเนินการอย่างไรทั้งนี้ มีการวางรากฐานการปฏิรูปประเทศ มีการเดินหน้าประเทศสู่อนาคต ให้กับลูกหลานอย่างไร พร้อมทั้ง ได้คัดเลือกผลงานหลักๆ เตรียมนำเสนอในรายการ “เดินหน้าประเทศไทย” เวลา 18.00 น. หลังเคารพธงชาติ “ทุกวัน – เว้นเย็นวันศุกร์” ขอให้พี่น้องประชาชนสามารถติดตามชมรายการ “ย้อนหลัง” จากสื่อออนไลน์ หรือเว็บไซต์ของรัฐบาล
หากพี่น้องประชาชนเห็นด้วยกับผมว่า “เหนื่อยนัก พักก็หาย” แต่จะพักอย่างไร พักมาก พักน้อยเพราะว่าปัญหามีมาก เพราะฉะนั้นเวลาในการพักผ่อนจะน้อยก็ไม่เป็นไร ให้ช่วยกันและเป็นกำลังใจให้กันและกันทำให้เป็นประโยชน์ ใช้เวลาว่างให้มีคุณค่า เมื่อว่างเว้นจากการตรากตรำทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน ผมคิดว่า “พักใจดูละคร เที่ยวพักผ่อนกันบ้าง ถ้าเวลาพักกายดูผลงานรัฐ” อย่าดูให้เหนื่อย ดูว่าเขาทำอะไรกันบ้าง เรามีส่วนตรงไหนจะช่วยรัฐบาลได้อย่างไร ไม่ใช่ดูแล้วโต้งแย้งทุกเรื่อง บางทีก็ไม่เป็นธรรมเหมือนกัน ผมก็พยายามทำให้ อ่านหนังสือบ้างแล้วกัน หนังสือทุกอย่างเป็นประโยชน์ คนเราจะรู้ เรียนรู้อะไรในโลกใบนี้ก็โดยการอ่านหนังสือ อ่านแล้วก็คิดไปด้วย อ่านที่มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ก็น่าจะเป็นแนวทางที่ดี ก็ขอเชิญชวนทุกท่านได้แบ่งสรรเวลาในการเสพสื่อ อย่างสมดุล ผมไปต่างประเทศมา โดยเฉพาะประเทศอาเซียนทุกประเทศดูละครไทย ดูข่าวไทยอะไรทั้งหมด เพราะฉะนั้นเสนออะไรออกไปเสนอให้ดี จะเป็นสิ่งที่บางครั้งที่เราเอาเรื่องที่มันไม่ใช่ออกไปเสนอมันก็ไม่ได้เพราะเราคงจะชมแต่ “บันเทิงคดี”โดยไม่สน “สารคดี” เลย ก็คงเป็นไปไม่ได้อีก เพราะบางอย่างนั้นเป็นข่าวสารจากรัฐบาลซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลไหน ทำแล้วก็พูด แจ้งให้ประชาชนทราบ เพราะต้องการสื่อสารกับพี่น้องประชาชนโดยตรง ให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน อย่าไปฟังความบิดเบือน และความร่วมมือกัน เพื่อประเทศชาติ และลูกหลานของเราในอนาคต และผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนทุกคนที่เป็นคนไทย คงไม่อยากให้ลูกหลานของเรา ต้องมาเหน็ดเหนื่อยเหมือนเราในทุกวันนี้ ดังนั้น การรับรู้ รับฟัง การดำเนินงานของรัฐ ก็จะเป็น “สะพานเชื่อมโยง” ความร่วมมือ ระหว่างภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจเอกชน ตามแนวทาง “ประชารัฐ” ในการแสวงหาความร่วมมือ และความช่วยเหลือเกื้อกูล ซึ่งกันและกัน ตามช่องทางที่เหมาะสมนะครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
ที่มา; เว็บ รัฐบาลไทย
ข้อสอบออนไลน์ ( พัฒนาความรู้ครู - ผู้บริหาร - บุคลากรการศึกษา) ชุดใหม่
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ 9 กันยายน 2559
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2559 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
ผมขอแสดงความยินดีกับคณะเยาวชนไทย จากโรงเรียนสุราษฎร์พิทยา จังหวัด สุราษฎร์ธานี ได้แก่ นางสาวสุรีย์พร ตรีเพชรประภา นางสาวธิดารัตน์ เพียร และ นางสาวกาญจนา คมกล้า ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานวิจัย “นวัตกรรมการกักเก็บน้ำโดยเลียนแบบสับปะรดสี” ซึ่งชนะเลิศจากการประกวดผลงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาทั่วประเทศ ประจำปี 2559 และได้รับ “รางวัลชนะเลิศ” ในการประกวด Stockholm Junior Water Prize ที่เมืองสต็อกโฮม ประเทศสวีเดน ซึ่งนับเป็นเกียรติอย่างสูง ที่ได้รับพระกรุณาธิคุณจากเจ้าฟ้าชายคาร์ล ฟิลิป แห่งสวีเดน ประทานรางวัล ในครั้งนี้อีกด้วย
ผมขอขอบคุณและชื่นชม อาจารย์ที่ปรึกษาทั้ง 2 ท่าน ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ พร้อมทั้ง สสวท. (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันผลงานเยาวชนไทยดังกล่าว สู่สายตาชาวโลก และชนะเวทีการประกวดระดับนานาชาติ ซึ่งผลงานนี้จะเป็นนวัตกรรมด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ สอดคล้องกันการพัฒนาที่ยั่งยืน เกิดจากการเรียนรู้ จากการสังเกตธรรมชาติ และสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน หลายอย่างถ้าทุกคนมองผ่าน ๆ ก็จะไม่เห็นประโยชน์อะไร แต่ถ้าหากมองอย่างพินิจ พิเคราะห์ อาจจะนำมาสู่การคิดการนำสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ หรือโลกอีกก็ได้ ผมเห็นว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่คงต้องเริ่มจากจุดเล็ก ๆ อย่างนี้เสมอ เหมือนการสร้างบ้าน สร้างอาคารสูง ก็ต้องเริ่มจากลงเสาเข็ม ก้อนอิฐ ก้อนเล็ก ๆ มาประกอบกันเช่นกัน
สำหรับผลงานวิจัยนี้ เกิดจากการศึกษาการกลไกทางธรรมชาติ 2 ประการ คือ (1) การกักเก็บน้ำและรักษาความชื้นของสับปะรดสี ประกอบด้วย การสังเกตคุณสมบัติเฉพาะ ของแผ่นสังกะสีเคลือบอะลูมิเนียมมุงหลังคาบ้านที่มีความจุความร้อนน้อย ในช่วงเวลากลางคืนเมื่อไอน้ำในอากาศมากระทบจึงกลั่นตัวเป็นหยดน้ำได้ง่าย จนนำมาสู่การประยุกต์ เป็นต้นแบบสร้างอุปกรณ์ในการกักเก็บน้ำเลียนแบบสับปะรดสี โดยประดิษฐ์จากแผ่นอะลูมิเนียม นับเป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะในภาคการเกษตรได้ โดยโมเดลจากการวิจัยนี้ช่วยให้เกษตรกรสามารถปลูกพืชได้แม้ในสภาวะแห้งแล้ง จากการนำชุดอุปกรณ์นี้ ที่มีราคาต้นทุนเพียงชุดละ 25 บาท ไปใช้งานจริงติดตั้งบนต้นยางพาราซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ พบว่าสามารถรักษาความชื้นในดินได้ มากกว่าปกติร้อยละ 17 ประหยัดการรดน้ำลงกว่าปกติ ร้อยละ 10 ให้ผลผลิตสูงขึ้น ร้อยละ 57 และสามารถคืนทุนได้ภายใน 6 วัน ผมคิดว่านวัตกรรมนี้ เกิดจากการสังเกตและผลิตอย่างง่าย ๆ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเยาวชนช่วยกันประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ เหล่านี้ และให้ได้รับการพัฒนาด้วยหลักวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่เหมาะสม มีการสนับสนุนสู่การผลิต มีการใช้ผมก็คิดว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ๆ ขึ้นไปหลาย ๆ อย่าง ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาต่อยอดต่อไป อย่างปล่อยให้ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ น่าเสียดาย
จากการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ได้เห็นชอบให้เพิ่มบทบาทของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) นับเป็นกลไกใหม่ ในแต่ละทุกกระทรวงให้มีหน้าที่ประสานงาน เร่งรัด กำกับ ดูแลและติดตาม ให้รัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชนในกำกับของกระทรวง ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ รวมทั้งติดตามประเมินผลการดำเนินงานด้วย โดยจะต้องทำงานประสานสอดคล้องกับ ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ป.ป.ช. ป.ป.ท. สตง. และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย รัฐบาลนี้ถือว่าการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็น “วาระแห่งชาติ” การดำเนินการทุกอย่าง ต้องมิใช่เป็นเพียงแนวนโนบาย หรือเป็นแผนในกระดาษ แต่ต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังเป็นรูปธรรม ในทุกระดับอย่างมีประสิทธิภาพ เราได้ตรวจสอบพบว่า 3 ปีที่ผ่านมา (2556 – 2558) ปัญหาการทุจริตสร้างความเสียหายให้หน่วยงานรัฐ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มากกว่า 200 เรื่อง คิดมูลค่าความเสียหายมากกว่า 5 แสนล้านบาท วันนี้รัฐบาลนี้ทำให้สถานการณ์การทุจริตลดลงเห็นอย่างชัดเจน จากผลสำรวจของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะผลการจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (Corruption Perceptions Index : CPI) เกือบ 180 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2556 – 2558 อันดับของประเทศไทย “ดีขึ้น” ทุก ๆ ปี อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2556 ก่อนที่รัฐบาลนี้ และ คสช. เข้ามาบริหารประเทศ เราอยู่อันดับที่ 102 ปัจจุบันเราอยู่อันดับที่ 76 (“ดีขึ้น” เกือบ 30 อันดับ) โดยเป้าหมายสำคัญในการปราบปรามการทุจริตของ รัฐบาลคือ “คนโกงรายเก่าจะต้องหมดไป คนโกงรายใหม่จะต้องไม่เกิด และไม่เปิดโอกาสให้มีการโกง ในทุกวงการ” เพราะเราต้องทำงานเชิงรุกช่วยกันเฝ้าระวังป้องกันตั้งแต่ต้นทางโดยใช้กฎหมาย
ปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ จำนวน 258 ราย ได้มีการดำเนินการทางวินัยของต้นสังกัดแล้วเสร็จ จำนวน 62 ราย มีผลทางวินัยให้ไล่ออก 8 ราย พ้นจากตำแหน่ง 25 ราย ต้องให้โอกาสและความเป็นธรรมด้วย ที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบของหน่วยงานด้านปราบปรามทุจริต เพื่อความรอบคอบและรัดกุมเป็นไปตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ผมมีความห่วงใยเจ้าหน้าที่ระดับผู้น้อย ปฏิบัติการ ซึ่งบางทีไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือไม่ได้รู้เห็นกับการทุจริต แต่ต้องทำงานตามนโยบาย ตามคำสั่ง ไม่กล้าปฏิเสธ เนื่องจากเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย หรืออาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงสั่งการในที่ประชุม คตช. ให้พิจารณาหากลไกที่เหมาะสมในการให้ความเห็นธรรม แก่เจ้าหน้าที่ระดับล่างเหล่านั้นด้วยทั้งปัจจุบันและอนาคต เขาจะได้ไม่หวากกลัวจนทำงานไม่ได้
ผมเห็นว่าการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นของประเทศเราต้องพิจารณาอย่างเป็นระบบ และครบวงจร อาทิ (1) สภาวะแวดล้อมในปัจจุบัน ซึ่งโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง และสมัยใหม่เป็นเสมือน “ดาบ 2 คม” โดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยฝ่ายที่จ้องกระทำผิด สรรหาเครื่องมืออุปกรณ์สมัยใหม่ ที่มีราคาสูง ฝ่ายปราบปราม ก็ต้องปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานทั้งคน ทั้งเทคโนโลยี ซึ่งก็จำกัดด้วยงบประมาณ ดังนั้น กลไกที่มีศักยภาพ คือ “ประชาชนทุกคน” ที่เป็นเจ้าของประเทศ ต้องเป็นหู เป็นตา ร่วมมือกันช่วยกันเฝ้าระวัง แต่ก็คงต้องรู้กฎหมายด้วย รู้ขั้นตอนการทำงานของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย ไม่อย่างนั้นก็ตีกันไปตีกันมาจนทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน
เรื่องต่อไปคือ ปัจจัยภายในและภายนอก เรามีพื้นฐานที่ต่างกัน มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม คนอาจจะมีความไม่รู้จักพอเพียง ความโลภของมนุษย์ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่สมดุลกับความเจริญทางสังคม รายจ่าย รายได้ไม่สมดุลกัน เกิดเป็นสังคมบริโภคนิยม-วัตถุนิยม ตามมาด้วยการแย่งชิงทรัพยากรไม่เกื้อกูลกันแบ่งปันกัน เป็นโลกแห่งการแข่งขันเสรีอย่างที่ทั้งโลกเขาเป็นอยู่ในเวลานี้ คือประชาธิปไตยอย่างเสรีของตะวันตกหรือของสากล ในอดีตนั้นสังคมไทยเน้นคุณธรรม จริยธรรม แต่ในปัจจุบันเรากลับให้ความสำคัญน้อยลง เป็นไปตามกลไกของโลกใบนี้ที่เปลี่ยนแปลงไปต้องกลับมาที่เดิมด้วย เรื่องการแก้ปัญหาทุกเรื่องต้องเริ่มต้นจากจิตใจ “จิตสำนึก” ของแต่ละคน ครอบครัว โรงเรียน ชุมนชน สังคม และประเทศชาติ เป็นโอกาสและสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม เน้นสร้างการรับรู้ อย่างกว้างขวาง ให้ความสำคัญกับ “การศึกษา” ทั้งในระบบ ทั้งการเรียนรู้จากสังคม ชุมชน และให้มีการศึกษาตลอดชีวิต เพื่อจะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สร้างความเข้มแข็งให้ประชาชน ไม่ว่าเด็ก วัยรุ่น ผู้สูงอายุ ฯลฯ
สรุปสาระสำคัญ คือเราต้องแก้เรื่องนี้ที่จิตใจ ด้วยค่านิยม คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาล ทำอย่างไรถึงจะให้ง่าย เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าต้องเกิดจากใจของทุกคนจากองค์กร เราจะทำอย่างไรให้ง่ายที่จะปลูกฝัง ปลุกเร้าแรงกระตุ้น ที่ไม่มีผลกระทบเรื่องอื่น ๆ เข้าใจหลักการและเหตุผล หลายคนต้องการให้ใช้กฎหมายอย่างรุนแรง บางทีใช้กฎหมายอย่างเดียวก็ไม่สำเร็จ เพราะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ จะทำอย่างไรให้คนไม่ดีจะทำให้เป็นคนดี ดีน้อยก็เป็นดีมากทำได้อย่างไร บางคนทุจริตเพราะคิดว่าจำเป็น หน้าตาในสังคม เป็นความต้องการของครอบครัว บางคนทุจริต เพราะความไม่รู้จักพอเพียง รวยแล้วรวยอีก โดยอ้างความจำเป็นต้องหาเลี้ยงตนเอง หรือครอบครัว บางคนทุจริตด้วยเจตนาไม่รู้จักเพียงพอ เพราะฉะนั้นเราต้องมาพิจารณาว่า เราจะมีมาตรการอย่างไรที่เหมาะสมที่จะตอบโจทย์เหล่านี้ได้ เพราะเราก็มีเป้าหมายหลายกลุ่มด้วยกัน สื่อโซเชียลยุคใหม่ต้องหันกลับมาดูสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เสนอแต่เพียงเรื่องของการลงโทษ คงต้องมาสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจ สร้างจิตสำนึกอันนี้เป็นหน้าที่ของสื่อที่ต้องช่วยผมอยู่แล้ว
ระหว่างวันที่ 4 – 5 กันยายน ที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปร่วมประชุมผู้นำ G20 (G20 Summit) ณ นครหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะประธานกลุ่ม G77 ตามคำเชิญของผู้นำจีนเป็นครั้งแรกที่ประธานกลุ่ม G77 ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทยในฐานะผู้สร้างสะพานเชื่อม (bridge builder) ระหว่างสมาชิก G77 130ประเทศ และ G20 โดยเฉพาะประเด็นความสนใจของประชาคมระหว่างประเทศ ที่มีต่อการเมืองเศรษฐกิจ และวิสัยทัศน์ของรัฐบาลไทยตามหลัก“ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่รัฐบาลได้น้อมนำ มาประยุกต์ใช้ในการบริหารประเทศ ในทุกระดับ ภายใต้แนวทางการส่งเสริมการ “ระเบิดจากข้างใน” และ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” รวมทั้ง ความเชื่อมั่นเชื่อว่าศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาคนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจโลกด้วย เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของ 130 ประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของอาเซียนด้วย
ที่ผ่านมาเวทีการประชุมผู้นำ G20 จะเน้นการหารือเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่มีขนาดเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกรวมกัน คิดเป็นร้อยละ 90 ของเศรษฐกิจโลก และมีจำนวนประชากรรวมกันประมาณ 2 ใน 3 ของโลก อย่างไรก็ตาม โลกใบนี้เป็นของมนุษยชาติทุกคน “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากโลกยังคงเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งในประเทศและแต่ละประเทศด้วยกัน จะเกิดช่องว่าง ระยะห่าง ที่นับวันจะ “ขยายใหญ่ขึ้น” นำไปสู่ปัญหาระดับโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกประเทศ อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยง และต้องร่วมกันรับผิดชอบ ดังนั้น หัวข้อการหารือในปีนี้ คือ “การประสานนโยบายและแนวทางการพัฒนาใหม่ ๆ เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก”ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว กับประเทศกำลังพัฒนา ด้วยการสร้าง “หุ้นส่วนระดับโลก” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอย่างยั่งยืนและครอบคลุมไปพร้อม ๆ กันนั้นผมเห็นว่าสอดคล้องกับแนวนโยบายของไทย โดยเฉพาะในฐานะประธาน G77 ที่พยายามผลักดันให้ทุกฝ่ายผนึกกำลังกัน เพื่อสร้างความร่วมมือรูปแบบใหม่ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เดินหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่ซึ่งกันและกัน เหมือน “เพื่อน พี่ น้อง ญาติ ” ตามศักยภาพของแต่ละประเทศ และตามความสมัครใจ ในการเผชิญกับความท้าทายในหลากมิติ และเอาชนะสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ต้องกล้าคิดนอกกรอบแต่ต้องนำกลับมาเข้าสู่กฎกติกาแต่ก็ต้องหาวิธีการใหม่ ๆ และก้าวข้ามเส้นแบ่งในรูปแบบเดิมๆ สู่ความเป็น “ยานยนต์แห่งศตวรรษที่ 21” สำหรับขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ในแนวทางการพัฒนาใหม่ ๆ ประกอบด้วย (1) การให้โอกาส เปิดทางเลือกและไม่ปิดกั้นประเทศกำลังพัฒนา ทั้งในด้านนโยบายและความร่วมมือ (2) การปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากภายในโดยให้ความสำคัญแก่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการศึกษา เรียนรู้ โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆไปพร้อม ๆ กับการส่งเสริม SMEs และ Start-up อันจะเป็น “กลจักร” ใหม่ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ระดับฐานรากเชื่อมโยงเข้าสู่ “ห่วงโซ่คุณค่าโลก”และ (3) การสนับสนุนบทบาททุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ตามกลไก “ประชารัฐ”ของรัฐบาลไทย เพื่อให้บรรลุการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกันอย่างเข้มแข็งและสมดุล ซึ่งไทยพร้อมที่จะแบ่งปันประสบการณ์ตาม “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ให้เป็นทางเลือกหนึ่งในการพัฒนาที่ยั่งยืนแก่ประเทศอื่น ๆ ด้วย ดังคำกล่าวที่ว่า เราจะเจริญเติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกัน (Stronger Together)
สำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 28 และ 29 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รวม 15 การประชุม ระหว่างวันที่ 6 – 8 กันยายน 2559 นั้น มีความสัมพันธ์ เชื่อมโยงกันกับการประชุมผู้นำ G20 นอกจากกรอบความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การเงิน การค้า การลงทุน รวมทั้งการพัฒนาที่ยั่งยืนแล้ว เวทีนี้ อาเซียนและประเทศพันธมิตร เน้นความมี “พลวัต” ที่จะต้องดำเนินการสร้างความสมดุลใน 3 ด้านเพื่อนำวิสัยทัศน์ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ (1) การเสริมสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งที่ทุกคนได้รับการดูแลและประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยเฉพาะการส่งเสริมเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย “นวัตกรรม” (2) การสร้างความมั่นคง ที่แข็งแกร่ง เน้นการพัฒนาศักยภาพของคนทุกวัยอย่างสมดุล และส่งเสริมการมีส่วนร่วมในประชาคมอย่างสร้างสรรค์และ (3) การสร้างความเชื่อมโยงและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยไม่ละเลยการรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพภายในภูมิภาค เพื่อให้การไปมาหาสู่ระหว่างประชาชนเป็นอย่างราบรื่น
ทั้งนี้ อาเซียนและประชาคมโลก จำต้องปรับตัวเข้าหากัน มีพลวัต เป็นเอกภาพและเป็นปึกแผ่น ร่วมสร้างโครงสร้างสถาปัตยกรรมในภูมิภาค รวมทั้งมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศนอกภูมิภาคด้วยให้พร้อมรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่อาทิ เช่น การก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมไซเบอร์ การลักลอบค้ามนุษย์และยาเสพติด รวมถึงการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ ซึ่งเราไม่อาจหลีกเลี่ยง หรือแบ่งแยกความรับผิดชอบได้เนื่องจากทุกประเทศจะต้องได้รับผลกระทบร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น ประเทศ “ต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง” ดังนั้น เราได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายไว้เนื้อเชื่อใจกันและดำเนินกิจกรรมร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ (Constructive Joint Activities) ในลักษณะ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ในทุกกิจกรรม เราควรเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ได้รับผลประโยชน์ส่วนแบ่งร่วมอย่าง อย่างเท่าเทียม และไม่ควรแข่งขันกัน แต่ควรเรียนรู้และแบ่งปันแนวปฏิบัติ ประสบการณ์ องค์ความรู้ เทคโนโลยี ในสาขาที่แต่ละฝ่ายมีความเชี่ยวชาญ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เป็นโลกสีเขียว เป็นโลกแห่งสันติภาพ ดังนั้น สิ่งที่ประเทศไทยและประชาชน “คนไทยทุกสาขาวิชาชีพ และทุกเพศวัย” จะได้รับจาการกระชับความสัมพันธ์ จากทุกเวทีการประชุม ในทุกกรอบความร่วมมือในครั้งนี้ ถือว่า “โอกาสใหม่ ๆ” ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ของประชาชนในภูมิภาค จากการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ การเข้าถึงแหล่งทุนในการพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานคุณภาพสูง รวมทั้ง การสนับสนุนการค้าและการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน เพื่อเชื่อมต่อธุรกิจท้องถิ่น OTOP + SMEs + Start-up ให้เข้าสู่ระบบห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งสอดรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 12 นโยบาย “Thailand 4.0” และการบริหารราชการแผ่นดินของไทย ในเชิงบูรณาการโดยน้อมนำหลัก “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” มาประยุกต์ใช้ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่สอดคล้องกับ SDGs 2030 ของ UN เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนควบคู่ไปกับความสามารถในการรับมือกับประเด็นท้าทายต่าง ๆ ในอนาคตด้วย
รัฐบาลจะจัดให้มีการแถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาล ครบรอบ 2 ปี จะมีการถ่ายทอดสด ผ่านสถานีวิทยุและโทรทัศน์ ในเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ รายละเอียดต่าง ๆ ได้รวบรวมเป็นหนังสือ สำหรับเผยแพร่และแจกจ่ายพี่น้องสื่อมวลชน ซึ่งในวันนั้น ผมและ รองนายกรัฐมนตรี ทั้ง 6 ท่าน ชี้แจงสรุปนโยบายและแนวทางการดำเนินงานของ รัฐบาล ตั้งแต่เริ่มเข้ามาบริหารประเทศ จนถึงปัจจุบัน ในแต่ละปัญหาที่สำคัญๆ ของประเทศ ที่ได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน เริ่มต้นกำลังทำแล้วต้องทำต่อไปมีความแตกต่างจากในอดีตอย่างไร ที่ผ่านมา และผลของความคืบหน้าในการดำเนินการอย่างไรทั้งนี้ มีการวางรากฐานการปฏิรูปประเทศ มีการเดินหน้าประเทศสู่อนาคต ให้กับลูกหลานอย่างไร พร้อมทั้ง ได้คัดเลือกผลงานหลักๆ เตรียมนำเสนอในรายการ “เดินหน้าประเทศไทย” เวลา 18.00 น. หลังเคารพธงชาติ “ทุกวัน – เว้นเย็นวันศุกร์” ขอให้พี่น้องประชาชนสามารถติดตามชมรายการ “ย้อนหลัง” จากสื่อออนไลน์ หรือเว็บไซต์ของรัฐบาล
หากพี่น้องประชาชนเห็นด้วยกับผมว่า “เหนื่อยนัก พักก็หาย” แต่จะพักอย่างไร พักมาก พักน้อยเพราะว่าปัญหามีมาก เพราะฉะนั้นเวลาในการพักผ่อนจะน้อยก็ไม่เป็นไร ให้ช่วยกันและเป็นกำลังใจให้กันและกันทำให้เป็นประโยชน์ ใช้เวลาว่างให้มีคุณค่า เมื่อว่างเว้นจากการตรากตรำทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน ผมคิดว่า “พักใจดูละคร เที่ยวพักผ่อนกันบ้าง ถ้าเวลาพักกายดูผลงานรัฐ” อย่าดูให้เหนื่อย ดูว่าเขาทำอะไรกันบ้าง เรามีส่วนตรงไหนจะช่วยรัฐบาลได้อย่างไร ไม่ใช่ดูแล้วโต้งแย้งทุกเรื่อง บางทีก็ไม่เป็นธรรมเหมือนกัน ผมก็พยายามทำให้ อ่านหนังสือบ้างแล้วกัน หนังสือทุกอย่างเป็นประโยชน์ คนเราจะรู้ เรียนรู้อะไรในโลกใบนี้ก็โดยการอ่านหนังสือ อ่านแล้วก็คิดไปด้วย อ่านที่มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ก็น่าจะเป็นแนวทางที่ดี ก็ขอเชิญชวนทุกท่านได้แบ่งสรรเวลาในการเสพสื่อ อย่างสมดุล ผมไปต่างประเทศมา โดยเฉพาะประเทศอาเซียนทุกประเทศดูละครไทย ดูข่าวไทยอะไรทั้งหมด เพราะฉะนั้นเสนออะไรออกไปเสนอให้ดี จะเป็นสิ่งที่บางครั้งที่เราเอาเรื่องที่มันไม่ใช่ออกไปเสนอมันก็ไม่ได้เพราะเราคงจะชมแต่ “บันเทิงคดี”โดยไม่สน “สารคดี” เลย ก็คงเป็นไปไม่ได้อีก เพราะบางอย่างนั้นเป็นข่าวสารจากรัฐบาลซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลไหน ทำแล้วก็พูด แจ้งให้ประชาชนทราบ เพราะต้องการสื่อสารกับพี่น้องประชาชนโดยตรง ให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน อย่าไปฟังความบิดเบือน และความร่วมมือกัน เพื่อประเทศชาติ และลูกหลานของเราในอนาคต และผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนทุกคนที่เป็นคนไทย คงไม่อยากให้ลูกหลานของเรา ต้องมาเหน็ดเหนื่อยเหมือนเราในทุกวันนี้ ดังนั้น การรับรู้ รับฟัง การดำเนินงานของรัฐ ก็จะเป็น “สะพานเชื่อมโยง” ความร่วมมือ ระหว่างภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจเอกชน ตามแนวทาง “ประชารัฐ” ในการแสวงหาความร่วมมือ และความช่วยเหลือเกื้อกูล ซึ่งกันและกัน ตามช่องทางที่เหมาะสมนะครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
ที่มา; เว็บ รัฐบาลไทย
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
ฟรี... ติวสอบครูผู้ช่วย ติวสอบผู้บริหาร บุคลากรการศึกษา-ครูผู้ช่วย-ผู้บริหาร
-คลากรการศึกษา ที่
ฟรี... ติวสอบครูผู้ช่วย ติวสอบผู้บริหาร บุคลากรการศึกษา-ครูผู้ช่วย-ผู้บริหาร
-คลากรการศึกษา ที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น