อ่านชัด-อ่านครบ กด ดูเวอร์ชั่นสำหรับเว็บ (ด้านล่าง)
เรื่องใหม่น่าสนใจ (ทั้งหมด ที่ )
(เนื้อหา-ข้อสอบ 1,000 ชุุด หมื่นข้อ ภาค กข
+ 40 วิชาเอก) ที่ ห้องสอบด้านขวา หรือ
เว็บฟรีข้อสอบ 1,000 ชุด ที่ ติวสอบดอทคอม คลิ๊ก www.tuewsob.com
-นายกรัฐมนตรีพบเพื่อนครู + การศึกษาไทยศตวรรษ 21 นี่
-กำหนดการสอบครูผู้ช่วย ครั้งที่ 1 ปี 2559
-คู่มือ 4 ชุด นโยบาย บริบริหาร ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
ข้อสอบออนไลน์ ( พัฒนาความรู้ครู - ผู้บริหาร - บุคลากรการศึกษา) ชุดใหม่
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
โฆษกรัฐบาล เผย ยอดผู้ลงทะเบียนรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดทะลุเป้า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สูงที่สุด พร้อมระบุ เด็กที่เกิดในห้วง 1 ตค 58 - 30 กย 59 ยังมีโอกาสถึงสิ้นเดือนนี้ ด้านนายกฯ ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ พร้อมกำชับ พม. เสริมความรู้แก่ผู้ปกครองเพื่อยกระดับ
พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดในปีงบประมาณ 2559 ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี มีผู้มาลงทะเบียนขอรับสิทธิ 136,490 คน ซึ่งมากเกินกว่าเป้าหมายของโครงการที่ตั้งไว้ 128,000 คน โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้มาลงทะเบียนสูงที่สุดคิดเป็นร้อยละ 41.36 ของทั้งหมด เบิกจ่ายเงินอุดหนุนไปแล้วร้อยละ 84.03
“เด็กในครอบครัวรายได้น้อยที่เกิดในช่วงปีงบประมาณ 2559 คือตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 58 – 30 ก.ย. 59 ยังสามารถลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิ์ได้ภายในวันที่ 30 กันยายน 2559 นี้ โดยที่ผ่านมามีผู้ได้รับสิทธิแล้ว 103,389 คน อยู่ระหว่างการพิจารณา 33,101 คน สภาพปัญหาส่วนใหญ่ของผู้มาลงทะเบียน 5 อันดับแรก ได้แก่ ว่างงาน ร้อยละ 44.55 เป็นแม่วัยใส ร้อยละ 22.55 เลี้ยงเดี่ยว ร้อยละ 39.98 ประสบปัญหาที่อยู่อาศัย ร้อยละ 9.85 และ กำลังศึกษาอยู่ร้อยละ 0.75
นอกจากเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแล้วรัฐบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเยี่ยมเยียนครอบครัว เพื่อให้ความช่วยเหลือในด้านอื่นๆ ที่จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กเพิ่มเติม อาทิ ช่วยปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัย จัดให้มีการอบรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์และการเลี้ยงดูเด็ก โดยโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดจะนำร่องใช้ระบบ e-Payment ภาครัฐ ในการจ่ายสวัสดิการให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลสวัสดิการสังคมของกรมบัญชีกลางและจ่ายเงินผ่านบัญชีธนาคารโดยเริ่มตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป”
พลตรี สรรเสริญ กล่าวต่อว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฝากชื่นชมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติงานทั้งส่วนกลางและในพื้นที่ ที่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนทราบและมาลงทะเบียนได้เกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้ โดยจังหวัดที่มีการลงทะเบียนมากที่สุด 5 จังหวัดแรก ได้แก่ ปัตตานี นครศรีธรรมราช บุรีรัมย์ นครราชสีมา และนราธิวาส
“ท่านนายกฯ กำชับ พม. ให้เป็นแกนหลักในการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยใช้กลไกประชารัฐ ในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และความตระหนักให้แก่ครอบครัวของเด็กแรกเกิดที่มีรายได้น้อยในการเลี้ยงดูบุตรหลานให้มีคุณภาพ ซึ่งเด็กในวัยนี้เหมือนฟองน้ำที่จะซึมซับพฤติกรรมทุกอย่างของคนเลี้ยง พ่อแม่ผู้ปกครองจึงควรใส่ใจดูแลให้ความรักความอบอุ่นแก่เด็ก และถือเป็นช่วงเวลาทองของพัฒนาการ ที่ทุกคนในครอบครัวควรมีความรู้จะได้ช่วยกันส่งเสริมพัฒนาการเด็กให้เติบโตอย่างสมวัย เพื่อยกระดับคุณภาพประชากรไทยในอนาคต”
ทั้งนี้ แม่ที่กำลังตั้งครรภ์และมีกำหนดคลอดในช่วง 1 ต.ค. 59 – 30 ก.ย.60 สามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิในปีงบประมาณ 2560 ได้ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 30 ก.ย. 2560 ที่สำนักงานเขต สำนักงานเทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล สอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด และ กรมกิจการเด็กและเยาวชน
ข่าวดี! ครม.เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการจ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ให้แก่ครอบครัวยากจน ที่อยู่นอกระบบประกันสังคม จากเดิมที่กำหนดให้จ่ายเงินตั้งแต่เด็กแรกเกิด จนอายุครบ 1 ปี ที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2558 ถึงวันที่ 30 ก.ย.59 หัวละ 400 บาทต่อเดือน ขยายเป็นตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 3 ปี พร้อมทั้งเพิ่มวงเงินเป็น 600 บาทต่อเดือน
ข้อสอบออนไลน์ ( พัฒนาความรู้ครู - ผู้บริหาร - บุคลากรการศึกษา) ชุดใหม่
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
โฆษกรัฐบาล เผย ยอดผู้ลงทะเบียนรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดทะลุเป้า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สูงที่สุด พร้อมระบุ เด็กที่เกิดในห้วง 1 ตค 58 - 30 กย 59 ยังมีโอกาสถึงสิ้นเดือนนี้ ด้านนายกฯ ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ พร้อมกำชับ พม. เสริมความรู้แก่ผู้ปกครองเพื่อยกระดับ
พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดในปีงบประมาณ 2559 ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี มีผู้มาลงทะเบียนขอรับสิทธิ 136,490 คน ซึ่งมากเกินกว่าเป้าหมายของโครงการที่ตั้งไว้ 128,000 คน โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้มาลงทะเบียนสูงที่สุดคิดเป็นร้อยละ 41.36 ของทั้งหมด เบิกจ่ายเงินอุดหนุนไปแล้วร้อยละ 84.03
“เด็กในครอบครัวรายได้น้อยที่เกิดในช่วงปีงบประมาณ 2559 คือตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 58 – 30 ก.ย. 59 ยังสามารถลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิ์ได้ภายในวันที่ 30 กันยายน 2559 นี้ โดยที่ผ่านมามีผู้ได้รับสิทธิแล้ว 103,389 คน อยู่ระหว่างการพิจารณา 33,101 คน สภาพปัญหาส่วนใหญ่ของผู้มาลงทะเบียน 5 อันดับแรก ได้แก่ ว่างงาน ร้อยละ 44.55 เป็นแม่วัยใส ร้อยละ 22.55 เลี้ยงเดี่ยว ร้อยละ 39.98 ประสบปัญหาที่อยู่อาศัย ร้อยละ 9.85 และ กำลังศึกษาอยู่ร้อยละ 0.75
นอกจากเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแล้วรัฐบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเยี่ยมเยียนครอบครัว เพื่อให้ความช่วยเหลือในด้านอื่นๆ ที่จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กเพิ่มเติม อาทิ ช่วยปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัย จัดให้มีการอบรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์และการเลี้ยงดูเด็ก โดยโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดจะนำร่องใช้ระบบ e-Payment ภาครัฐ ในการจ่ายสวัสดิการให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลสวัสดิการสังคมของกรมบัญชีกลางและจ่ายเงินผ่านบัญชีธนาคารโดยเริ่มตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป”
พลตรี สรรเสริญ กล่าวต่อว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฝากชื่นชมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติงานทั้งส่วนกลางและในพื้นที่ ที่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนทราบและมาลงทะเบียนได้เกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้ โดยจังหวัดที่มีการลงทะเบียนมากที่สุด 5 จังหวัดแรก ได้แก่ ปัตตานี นครศรีธรรมราช บุรีรัมย์ นครราชสีมา และนราธิวาส
“ท่านนายกฯ กำชับ พม. ให้เป็นแกนหลักในการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยใช้กลไกประชารัฐ ในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และความตระหนักให้แก่ครอบครัวของเด็กแรกเกิดที่มีรายได้น้อยในการเลี้ยงดูบุตรหลานให้มีคุณภาพ ซึ่งเด็กในวัยนี้เหมือนฟองน้ำที่จะซึมซับพฤติกรรมทุกอย่างของคนเลี้ยง พ่อแม่ผู้ปกครองจึงควรใส่ใจดูแลให้ความรักความอบอุ่นแก่เด็ก และถือเป็นช่วงเวลาทองของพัฒนาการ ที่ทุกคนในครอบครัวควรมีความรู้จะได้ช่วยกันส่งเสริมพัฒนาการเด็กให้เติบโตอย่างสมวัย เพื่อยกระดับคุณภาพประชากรไทยในอนาคต”
ทั้งนี้ แม่ที่กำลังตั้งครรภ์และมีกำหนดคลอดในช่วง 1 ต.ค. 59 – 30 ก.ย.60 สามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิในปีงบประมาณ 2560 ได้ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 30 ก.ย. 2560 ที่สำนักงานเขต สำนักงานเทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล สอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด และ กรมกิจการเด็กและเยาวชน
ข่าวดี! ครม.เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการจ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ให้แก่ครอบครัวยากจน ที่อยู่นอกระบบประกันสังคม จากเดิมที่กำหนดให้จ่ายเงินตั้งแต่เด็กแรกเกิด จนอายุครบ 1 ปี ที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2558 ถึงวันที่ 30 ก.ย.59 หัวละ 400 บาทต่อเดือน ขยายเป็นตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 3 ปี พร้อมทั้งเพิ่มวงเงินเป็น 600 บาทต่อเดือน
เด็กที่มีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดนี้จะต้องเป็นเด็กสัญชาติไทย บิดาและ/หรือมารดามีสัญชาติไทย เกิดระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2558 – 30 กันยายน 2559 และอยู่ในครัวเรือนยากจนและครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน โดยรัฐอุดหนุนรายละ 400 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นเวลา 1 ปี
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 22มี.ค.59 พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พณ.) ให้ขยายระยะเวลาการจ่ายเงินอุดหนุนในโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จากเดิมที่กำหนดให้จ่ายเงินตั้งแต่เด็กแรกเกิด จนอายุครบ 1 ปี ที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2558 ถึงวันที่ 30 ก.ย.59 หัวละ 400 บาทต่อเดือน ขยายเป็นตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 3 ปี พร้อมทั้งเพิ่มวงเงินเป็น 600 บาทต่อเดือนเนื่องจากค่าใช้จ่ายในเรื่องอาหารที่มีผลต่อการเจริญเติบโตต่อการพัฒนาสมอง หัวเฉลี่ยอยู่ที่ 500 – 800 บาท จึงหาเกณฑ์ที่เหมาะสม คือ 600 บาทต่อเดือน
รัฐบาลเล็งเห็นว่า ในปัจจุบันมีเด็กเล็กในช่วงอายุ 0 – 6 ปี เพียง 1.2 ล้านคนเท่านั้น ที่ได้รับการคุ้มครองด้วยเงินสงเคราะห์บุตรจากประกันสังคม ขณะที่อีกกว่า 4 ล้านคน ไม่ได้เงินสนับสนุนจากรัฐ ถือเป็นช่องว่างทางสังคมอย่างหนึ่งที่ควรได้รับการแก้ไข จึงได้ทุ่มเงินงบประมาณถึง 600 กว่าล้านบาท ให้กับโครงการนี้ โดยจะเมื่อจบโครงการคาดว่า ร้อยละ 95 ของเด็กที่ได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดจะได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพและมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย
ทั้งนี้การลงทุนสำหรับเด็กในช่วงวัย 0 – 6 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีความสำคัญที่สุด ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสร้างรากฐานที่สำคัญ ให้เด็กสามารถเติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพของสังคมและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต
ในส่วนของประโยชน์ต่อคุณพ่อคุณแม่ เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดนี้จะช่วยเหลือแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็ก ทำให้เด็กแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ เข้าถึงบริการทางสาธารณสุข ซึ่งจะสามารถส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงวัยอื่นๆ ต่อไป
ที่มา; เว็บ รัฐบาลไทย
เด็กที่มีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดนี้จะต้องเป็นเด็กสัญชาติไทย บิดาและ/หรือมารดามีสัญชาติไทย เกิดระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2558 – 30 กันยายน 2559 และอยู่ในครัวเรือนยากจนและครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน โดยรัฐอุดหนุนรายละ 400 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นเวลา 1 ปี
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 22มี.ค.59 พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พณ.) ให้ขยายระยะเวลาการจ่ายเงินอุดหนุนในโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จากเดิมที่กำหนดให้จ่ายเงินตั้งแต่เด็กแรกเกิด จนอายุครบ 1 ปี ที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2558 ถึงวันที่ 30 ก.ย.59 หัวละ 400 บาทต่อเดือน ขยายเป็นตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 3 ปี พร้อมทั้งเพิ่มวงเงินเป็น 600 บาทต่อเดือนเนื่องจากค่าใช้จ่ายในเรื่องอาหารที่มีผลต่อการเจริญเติบโตต่อการพัฒนาสมอง หัวเฉลี่ยอยู่ที่ 500 – 800 บาท จึงหาเกณฑ์ที่เหมาะสม คือ 600 บาทต่อเดือน
รัฐบาลเล็งเห็นว่า ในปัจจุบันมีเด็กเล็กในช่วงอายุ 0 – 6 ปี เพียง 1.2 ล้านคนเท่านั้น ที่ได้รับการคุ้มครองด้วยเงินสงเคราะห์บุตรจากประกันสังคม ขณะที่อีกกว่า 4 ล้านคน ไม่ได้เงินสนับสนุนจากรัฐ ถือเป็นช่องว่างทางสังคมอย่างหนึ่งที่ควรได้รับการแก้ไข จึงได้ทุ่มเงินงบประมาณถึง 600 กว่าล้านบาท ให้กับโครงการนี้ โดยจะเมื่อจบโครงการคาดว่า ร้อยละ 95 ของเด็กที่ได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดจะได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพและมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย
ทั้งนี้การลงทุนสำหรับเด็กในช่วงวัย 0 – 6 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีความสำคัญที่สุด ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสร้างรากฐานที่สำคัญ ให้เด็กสามารถเติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพของสังคมและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต
ในส่วนของประโยชน์ต่อคุณพ่อคุณแม่ เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดนี้จะช่วยเหลือแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็ก ทำให้เด็กแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ เข้าถึงบริการทางสาธารณสุข ซึ่งจะสามารถส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงวัยอื่นๆ ต่อไป
ที่มา; เว็บ รัฐบาลไทย
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
( คลิ๊ก ) สมัครพัฒนาความรู้
เตรียมติวสอบผู้บริหารสถาน+การศึกษา
เตรียมสอบติวสอบครูผู้ช่วย
ฟรี... ติวสอบครูผู้ช่วย ติวสอบผู้บริหาร บุคลากรการศึกษา-ครูผู้ช่วย-ผู้บริหาร
-คลากรการศึกษา ที่
ฟรี... ติวสอบครูผู้ช่วย ติวสอบผู้บริหาร บุคลากรการศึกษา-ครูผู้ช่วย-ผู้บริหาร
-คลากรการศึกษา ที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น