หากไม่คิดเข้าข้างตนเอง หรือมองอะไรแบบโลกสวยจนเกินไป คงต้องยอมรับว่า หลายปีที่ผ่านมา “ประเทศไทย” ถูกต่างชาติผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์จากทุกมุมโลกโจมตีในเรื่องเป็นแหล่งขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามากที่สุด
สินค้าทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ดัง รุ่นไหน หรือยี่ห้อใด ทั้งหมดสามารถหาซื้อได้ในประเทศไทย โดยเฉพาะ “ตลาดโรงเกลือ” ถือเป็นแหล่งที่มีสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์เลื่องชื่อเป็นอันดับต้นๆ
ทุกวันชาวไทยและชาวต่างชาติต่างเข้าไปจับจ่ายใช้สอยกันอย่างสนุกมือ เรียกได้ว่า “ตลาดโรงเกลือ” แทบจะเป็นแดนสวรรค์ของบรรดานักช็อปของก๊อปกันเลยทีเดียว
“ตลาดโรงเกลือ” เปิดบริการมาหลายสิบปี แต่ละวันมีเงินไหลเข้า-ออกหลายสิบล้านบาท โดยข้อมูลของกรมศุลกากรพบว่า สถานที่แห่งนี้มีมูลค่าการค้าปีละเกือบ “แสนล้านบาท” และด้วยผลประโยชน์จำนวนมหาศาล จึงไม่น่าแปลกใจที่ตลาดแห่งนี้จะมี “มาเฟีย” ระดับบิ๊กๆ เข้ามาเกี่ยวข้องทุกหน้าเสื่อ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การเข้าปราบปรามสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ในตลาดโรงเกลือของเจ้าหน้าที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะเหตุปะทะกันระหว่างพ่อค้าแม่ค้าชาวเขมรกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นตัวอย่างได้ดี เพราะแม้ว่าการกระทำของกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าชาวเขมรจะอุกอาจเพียงใด แต่แทนที่ปัญหาดังกล่าวจะได้รับการสะสางกลับกลายเป็นว่าเจ้าหน้าที่ดีเอสไอกลับต้องมานั่งถกเถียงกับทหารในเรื่องการไม่แจ้งเข้าพื้นที่ก่อน
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดข้อสงสัยต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่
ด้วยเหตุนี้ทำให้ความพยายามในการปราบปรามสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญากลับมาอีกครั้ง ล่าสุด "ภัครธรณ์ เทียนไชย" ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว พร้อมด้วย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรียกประชุมคณะทำงานประสานงานเพื่อบูรณาการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจังหวัดสระแก้ว โดยมีหน่วยงานจากส่วนกลาง อาทิ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร และหัวหน้าส่วนระดับจังหวัดที่เกี่ยวข้องร่วมหารือกันครบถ้วน
จากการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้ตกผลึกความคิดด้วยการแต่งตั้ง “คณะทำงานประสานงาน” เพื่อบูรณาการและป้องกันปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจังหวัดสระแก้วเพิ่มเติมจากเดิมที่แต่งตั้งเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2558 ใน “สระแก้วโมเดล” พร้อมทั้งปรับแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามในโครงการ “สระแก้วโมเดล” ให้สอดคล้องกับระยะเวลาและสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ
คณะทำงานประสานงานชุดนี้ มี “รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว” เป็นประธาน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกำลังเสริม เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ในระยะสั้นให้ได้ภายใน “2 เดือน” นับตั้งแต่เดือนมีนาคม-เมษายน โดยจะใช้มาตรการ “กดดัน” ไม่ให้มีสิ่งของผิดกฎหมาย และสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามาจำหน่ายในตลาดโรงเกลืออย่างเด็ดขาด
“เราจะใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัดอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ส่วนในระยะยาวจะประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา ให้ประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจไปยังพ่อค้าแม่ค้าชาวกัมพูชาที่ตลาดโรงเกลือห้ามขายสินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา สินค้าที่ผิดกฎหมาย ถ้าหากยังฝ่าฝืนจะจับดำเนินคดีและผลักดันออกนอกประเทศทันที โดยจะมีการประเมินผลทุก 3 เดือน” ผู้ว่าฯ สระแก้ว ยืนกรานอย่างหนักแน่น
ทั้งนี้คณะทำงานยังจัดทำแผนเร่งด่วนที่สุดคือ “การจัดแผนตรวจค้นจับกุม” โดยจะต้องบูรณาการทุกหน่วยงานเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการทำงานได้ โดยมีดีเอสไอเป็นที่ปรึกษา “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ในฐานะประธานคณะทำงาน จากนี้ไปเจ้าหน้าที่จะดำเนินการสืบสวนถึงเครือข่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาว่าเชื่อมโยงถึงใครบ้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะสาวไปถึงเครือข่ายการเงิน การฟอกเงิน และกรณีอื่นๆ ด้วย
สำหรับแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในครั้งนี้ จะดำเนินการควบคู่ไปกับโครงการ “สระแก้วโมเดล” ที่ตั้งขึ้นเมื่อเดือนเมษายน 2558 โดยรูปแบบการทำงานของสระแก้วโมเดลเมื่อปี 2558 แบ่งเป็นแผน "ระยะสั้น
1.รณรงค์ประชาสัมพันธ์ ประธานขอให้ที่ทำการปกครองจังหวัดสระแก้ว โดยปลัดจังหวัดสระแก้วเป็นผู้รับผิดชอบ สำหรับงบประมาณในการทำป้ายรณรงค์ประชาสัมพันธ์ จังหวัดสระแก้วจะเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ และที่ประชุมมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ในการทำป้ายรณรงค์ประชาสัมพันธ์นอกจากทำเป็นภาษาไทยแล้ว ควรมีภาษากัมพูชาและภาษาอังกฤษด้วย เนื่องจากผู้ค้าส่วนใหญ่เป็นชาวกัมพูชา และเพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในเร็วๆ นี้
2.จัดทำแผนที่ แผนผัง จุดจำหน่ายสินค้าละเมิด ประธานขอให้พาณิชย์จังหวัดสระแก้วเป็นผู้รับผิดชอบ
3.จัดทำบัญชีรายชื่อนายทุนหรือผู้มีอิทธิพล ประธานขอให้สถานีตำรวจภูธรคลองลึกเป็นผู้รับผิดชอบ
4.จัดสัปดาห์รณรงค์ ประธานมอบหมายให้สำนักงานจังหวัดสระแก้วโดยปลัดจังหวัดสระแก้วและที่ทำการปกครองจังหวัดสระแก้วเป็นผู้รับผิดชอบ
5.เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจด่าน ที่ประชุมเห็นสมควรมอบหมายให้ด่านศุลกากรอรัญประเทศ ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจังหวัดสระแก้ว และตรวจคนเข้าเมืองอรัญประเทศ เป็นผู้รับผิดชอบ
6.จัดชุดตรวจร่วมระหว่างหน่วยงาน ประธานมอบหมายให้ทุกหน่วยงานร่วมดำเนินการ โดยมีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นเจ้าภาพ ซึ่งผู้แทนกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นเจ้าภาพ ซึ่งผู้แทนกรมทรัพย์สินทางปัญญาเสนอให้มีการจัดทำแผ่นพับรณรงค์ในเรื่องนี้ด้วย และรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีความเห็นเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การดำเนินการมีความเข้มข้น ในช่วงเดือนแรกอาจจัดชุดตรวจเดือนละ 2 ครั้ง เดือนที่ 2 สัปดาห์ละครั้ง และเดือนที่ 3 สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
7.ติดตามประเมินผลหลังครบ 3 เดือน ประธานได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานเป็นผู้ดำเนินการ และย้ายการปฏิบัติงานตามร่างแผนปฏิบัติการ จากข้อ 7 ไปเป็นข้อ 10
8.จัดทำโครงการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประกอบธุรกิจ นายสมบูรณ์ เฉยเจริญ ผู้อำนวยการสำนักป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา กรมทรัพย์สินทางปัญญา น.ส.มาลา ตั้งประเสริฐ รองประธาน ปปท. (ภาคเอกชน) ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า ส่วนใหญ่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นชาวกัมพูชาไม่ใช่ผู้ประกอบการชาวไทย จึงเห็นสมควรปรับแผนเป็นโครงการประชุมทำความเข้าใจกับเจ้าของพื้นที่หรือเจ้าของตลาดและผู้ค้ารายใหญ่ เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติในการทำการค้าโดยนำสินค้าทางการเกษตรของกัมพูชาเข้ามาจำหน่ายทดแทนสินค้าที่ผิดกฎหมาย หรืออาจปรับเปลี่ยนเป็นการนำสินค้ามือสองของประเทศญี่ปุ่นมาจำหน่าย ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบด้วยและเห็นสมควรมอบหมายให้จังหวัดสระแก้ว กรมทรัพย์สินทางปัญญา และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา หรือ ปปท. (ภาคเอกชน) เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ โดยมีจุดมุ่งหมายว่า ท้ายที่สุดให้ผลักดันสินค้าที่ผิดกฎหมายไปอยู่ฝั่งกัมพูชาเช่นเดียวกับตลาดการค้าชายแดนที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย (ตลาดท่าขี้เหล็ก) ที่สามารถผลักดันให้สินค้าที่ผิดกฎหมายไปอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านได้สำเร็จเมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา โดยกรมศุลกากรและตรวจคนเข้าเมืองต้องดำเนินการกดดันอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง
9.ประชาสัมพันธ์และแถลงผลงาน ที่ประชุมมอบหมายให้จังหวัดสระแก้ว กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ และคณะกรรมการ ปปท. (ภาคเอกชน) เป็นผู้รับผิดชอบร่วมกัน
10.จัดตั้งศูนย์ประสานงาน ประธานมอบหมายให้ที่ทำการปกครองจังหวัดสระแก้วเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เสนอต่อที่ประชุมเพิ่มเติมว่า หากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายมีการจับกุมดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในพื้นที่ จ.สระแก้ว ควรส่งสำเนาบันทึกการจับกุมให้ศูนย์ประสานงานจังหวัดด้วย เพื่อเป็นการประเมินผลการปฏิบัติงานอีกทางหนึ่ง โดยผู้แทนผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรคลองลึก เสนอความเห็นว่า ควรมีแนวทางการควบคุมไม่ให้ตลาดโรงเกลือมีการขยายตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิม โดยมีการจัดชุดตรวจอย่างเข้มข้นและกดดันเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง
แผนระยะยาว 1 ปี ที่ประชุมได้พิจารณากิจกรรมในการดำเนินงาน หน่วยงานผู้รับผิดชอบ และระยะเวลาดำเนินงานของร่างแผนปฏิบัติการระยะยาวแล้วเห็นชอบตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ โดยในแผนข้อ 2 เห็นควรปรับแก้เป็น “จัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (เอ็มโอยู) กับเจ้าของพื้นที่หรือเจ้าของตลาดและผู้ค้ารายใหญ่ในการไม่จำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อเป็นการลดพื้นที่การจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา”
คงต้องติดตามดูกันต่อไปว่า จากนี้ไปอีก 2 เดือน แผนปฏิบัติการปราบปรามสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ในตลาดโรงเกลือของจังหวัดสระแก้ว จะถึงฝั่งฝันได้จริงหรือไม่ งานนี้ใครจะเป็น “ของจริง” หรือ “มวยล้ม” ….?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น